ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าฟังซื่อต้องพูดแบบนี้เท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินห้าหันมามองแล้วนั่งลงอีกครั้งจริงๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
เดิมทีฟังซื่อคิดว่า สืออีเหนียงคือหย่งผิงโหวฮูหยิน ไท่ฮูหยินบอกให้ฮูหยินสามกลับไปซานหยาง แน่นอนว่านางต้องมีการเตรียมการอะไรไว้ ดังนั้นจึงมาหาสืออีเหนียง แต่ฮูหยินห้านั่งลงเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าถาม แต่การพูดคุยกับอาสะใภ้ทั้งสองคนในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและปิติเช่นนี้ไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายๆ นางจึงมีสีหน้าที่อ่อนโยนมากขึ้น
ฮูหยินห้าอดไม่ได้ที่จะมองฟังซื่อใหม่
พวกนางสามคนนั่งพูดคุยกันเรื่องพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นป้ารับใช้ของคุณนายใหญ่สกุลหลินก็นำไข่แดงมาให้ “คุณหนูใหญ่ของเราคลอดบุตรสาวเจ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา” ฮูหยินห้ายิ้ม “คุณนายใหญ่สกุลหลินเป็นยายคนแล้ว”
ฟังซื่อจึงถามว่า “คุณหนูใหญ่ที่แต่งงานไปอยู่ที่เมืองซังโจวหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินห้าพยักหน้า จากนั้นก็พูดถึงฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กับนางเบาๆ
ทางสืออีเหนียง นางบอกให้ชิวอวี่นำเงินสองตำลึงให้ป้ารับใช้คนนั้นแล้วถามว่า “คลอดราบรื่นดีหรือไม่ เด็กน้ำหนักตัวเท่าไร” จากนั้นก็ไปรายงานไท่ฮูหยินที่เรือนของไท่ฮูหยินกับฮูหยินห้าและฟังซื่อ คำถามที่ฟังซื่อเตรียมมาจึงไม่ได้ถาม
อีกฝั่งหนึ่ง สะใภ้กานเหล่าเฉวียนถามฮูหยินสามด้วยเสียงกระซิบ “ไม่บอกอะไรคุณชายน้อยใหญ่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามทำสีหน้าลังเล
สะใภ้กานเหล่าเฉวียนเกลี้ยกล่อมนาง “คุณนายน้อยใหญ่ไม่รู้ความ ท่านก็ต้องสั่งสอน แต่คุณชายน้อยใหญ่คือบุตรชายของท่าน ท่านจะโมโหใส่เขาได้เช่นไรเจ้าคะ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งกี่คนที่แต่งภรรยาแล้วลืมท่านแม่ของตัวเอง แต่ท่านดูคุณชายน้อยใหญ่สิเจ้าคะ มาคารวะท่านทุกวันยังไม่พอ แม้แต่วันที่คุณนายน้อยใหญ่ข้อมือพลิก ไม่มารายงานท่านก่อน แม้แต่ท่านหมอก็ยังไม่กล้าเชิญมา เขาพึ่งจะแต่งงาน ท่านปล่อยให้คุณชายน้อยใหญ่สับสนได้เช่นไรเจ้าคะ”
ฮูหยินสามได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปเชิญคุณชายน้อยใหญ่มาเถิด!”
“เจ้าค่ะ!” สะใภ้กานเหล่าเฉวียนยิ้มแล้วขานรับ จากนั้นก็ออกไปเรียกสวีซื่อฉินเข้ามา
“เป็นเจตนาของพ่อเจ้า หากข้าย้ายออกไปแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็ย้ายไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่งเถิด หนึ่งคือที่นั่นคือทรัพย์สมบัติของเรา ไม่มีคนอยู่ดูแล เรือนก็จะทรุดโทรมได้ง่าย สองคือคนในตรอกเหอฮวาหลี่ชอบสังสรรค์ ตอนนี้อาจารย์จ้าวก็สนใจแต่จุนเกอ เขาดูแลไม่ทั่วถึง ข้าอยากเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือพวกเจ้าที่จวน พวกเจ้าอยู่ที่นั่น จะได้เรียนหนังสืออย่างสบายใจ” ฮูหยินสามพูดกับบุตรชายตัวเองเบาๆ “หากข้าย้ายออกไปแล้ว พวกเจ้าทำตามที่ท่านอาสี่ของพวกเจ้าบอกเถิด ไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่ง ขึ้นปีใหม่ก็อย่าลืมมาคารวะไท่ฮูหยิน ฮูหยินและท่านโหว”
สวีซื่อฉินอิจฉาที่สวีซื่ออวี้ได้ไปเรียนหนังสือที่เล่ออานมาตลอด เมื่อได้ยินว่าบิดาของตนวางแผนไว้ให้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะสุขุมเพียงใด แต่ตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข พูดอย่างชอบใจ “ข้าจะไม่ลืมคำสั่งสอนของท่านแม่ขอรับ”
ฮูหยินสามเห็นท่าทีดีใจของบุตรชาย นางก็ดีใจ จากนั้นก็บอกว่า “ดูแลน้องเจ้าให้ดี น้องยังเด็กเรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องบอกเขา” สวีซื่อฉินขานรับ ฮูหยินสามจึงบอกให้คนไปเรียกสวีซื่อเจี่ยนเข้ามา เห็นว่ามันสายแล้ว จึงเชิญบุตรชายทั้งสองคนทานข้าวที่เรือนของตัวเอง
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินแล้วก็ฉงนใจ ถามขึ้นว่า “เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่กลับมาขอรับ”
ฮูหยินสามยิ้มอย่างเยาะเย้ย “นางไปที่เรือนของท่านอาสะใภ้สี่ บอกว่าประเดี๋ยวจะกลับมา คิดไม่ถึงว่าประเดี๋ยวของนางจะนานขนาดนี้”
สีหน้าของสวีซื่อฉินหม่นลง
ฮูหยินสามลอบยิ้มในใจ
บุตรชายของข้าคือคนที่ข้าตั้งครรภ์มากว่าสิบเดือน เขาย่อมกตัญญูรู้คุณ ส่วนลูกสะใภ้อย่างเจ้าจะเลียแข้งเลียขาสืออีเหนียงไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ นางก็ยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้จัดอาหาร “ท่านอาสะใภ้สี่ของพวกเจ้าเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่ส่งคนมารายงานข้า คิดว่าน่าจะเชิญนางทานข้าวที่นั่น เราไม่ต้องรอหรอก…”
ทันทีที่พูดจบ ฟังซื่อก็กลับมา
เห็นแม่สามีและบุตรชายทั้งสองคนนั่งอยู่บนเตียงเตาอย่างอบอุ่น แม่สามีมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา ส่วนสามีมองนางด้วยสายตาที่เคร่งขรึม สวีซื่อเจี่ยนมองนางด้วยสายตาที่เป็นกังวล นางรู้ว่าเพราะตัวเองมาช้า แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ ยิ้มแล้วพูดกอบกู้สถานการณ์ “ท่านแม่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่สกุลเวยเป่ยโหวคลอดบุตรสาวแล้วเจ้าค่ะ…”
ฟังซื่อยิ้ม จนกระทั่งเห็นว่าสีหน้าของสวีซื่อฉินผ่อนคลายลงนางถึงได้โล่งใจ
สีหน้าของฮูหยินสามมีความเย้ยหยัน
เมื่อฮูหยินสามไปคารวะไท่ฮูหยินนางก็ขอให้ไท่ฮูหยินกำหนดวันออกเดินทางให้นาง
ไท่ฮูหยินไม่ดูแม้แต่ปฏิทิน นางยิ้มแล้วพูดว่า “วันอื่นไม่สู้วันนี้ ข้าคิดว่า วันมะรืนเถิด! ข้าจะได้เตรียมตัวขึ้นปีใหม่อย่างสบายใจ”
ฮูหยินสามตกใจ นางฝืนยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าคะ” จากนั้นก็กลับไปบอกให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนเก็บข้าวของ
วันต่อมาสืออีเหนียงและฮูหยินห้าเป็นเจ้าภาพ เชิญฮูหยินสองมาเป็นแขก จัดงานเลี้ยงส่งฮูหยินสาม
ฮูหยินสามดื่มสุราคารวะสะใภ้ทั้งสามคน บอกให้พวกนางช่วยดูแลสวีซื่อฉินสองพี่น้อง ฮูหยินห้าตอบตกลง ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างอบอุ่น เมื่อถึงวันออกเดินทาง สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ก็นำยาและเสบียงออกไปส่งฮูหยินสามที่หน้าประตูใหญ่ด้วยกัน มองดูรถม้าแล่นออกไปแล้ว จากนั้นก็ไปรายงานไท่ฮูหยิน
ไม่มีแม่สามีคอยควบคุม ตั้งแต่นั้นมาฟังซื่อก็มาคารวะไท่ฮูหยินเช้าเย็น วันธรรมดาก็เย็บปักถักร้อย อ่านหนังสืออยู่ที่เรือน ไม่ก็ไปหาสืออีเหนียงและฮูหยินห้า ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจวน
แค่ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันเกิดของสวีซื่ออวี้แล้ว
สืออีเหนียงทำบะหมี่รวมมิตรให้ทุกคนและสวีซื่ออวี้ทานเหมือนเดิม แต่สวีลิ่งอี๋กลับเรียกสวีซื่ออวี้ไปที่ห้องหนังสือ
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
สืออีเหนียงรู้สึกขบขัน บอกให้สาวใช้ชงชาหลงจิ่งต้อนรับเขา “นี่คือชาที่ท่านลุงใหญ่นำมาให้เจ้า ลองชิมดูสิ!”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “ช่วงนี้ท่านลุงใหญ่ทำอะไรขอรับ ทำไมไม่เห็นเขามาที่จวนเลย!”
“ว่ากันว่าใต้เท้าเจี่ยงที่ฝูเจี้ยนกำลังจะกลับมาพระราชสำนัก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบตะกร้าเย็บปักถักร้อยจากเตียงเตามาถักเชือกจีน “ช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงฉลองชัยชนะกับคนของกรมพิธีกรรม คงต้องรอถึงเดือนสิบสองถึงจะมีเวลาว่าง”
เจินเจียเอ๋อร์นั่งลงข้างสืออีเหนียง นางช่วยสืออีเหนียงดึงเชือก
“ท่านแม่ ข้าจำใต้เท้าเจี่ยงได้ขอรับ” สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นเต้น “เขามีนามว่าเจี่ยงอวิ๋นเฟย มีหนวดเครายาวๆ” พูดจบก็ยกมือประกอบท่าทาง วาดหนวดตรงหน้าอกตัวเอง “ทุกคนแอบเรียกเขาว่า ’ท่านเครางาม’ ขอรับ”
สวีซื่อเจี้ยกำลังถือกล่องกระจกที่จิ่นเกอนำมาจากเรือนของไท่ฮูหยินหลอกล่อให้จิ่นเกอเดิน อาจิน สาวใช้ก็เดินตามหลังจิ่นเกออย่างใกล้ชิด
ได้ยินเช่นนี้เขาก็หันหน้ามามองสวีซื่อจุน
“พี่สี่ คิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้จักคนเก่งเช่นนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อิจฉา รู้สึกว่าตั้งแต่พี่ชายของตัวเองย้ายออกไปอยู่ที่ลานข้างนอกก็เปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่รู้จักคนที่ตัวเองไม่รู้จัก แล้วยังพูดจาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น “ข้าได้ยินอาจารย์จ้าวบอกว่า ใต้เท้าเจี่ยงเป็นคนมีความสามารถ มีอนาคตที่กว้างไกล แล้วยังเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงรองจากท่านพ่อขอรับ”
ขณะที่เขาพูด จิ่นเกอก็คว้าเสื้อของสวีซื่อเจี้ยได้แล้ว เขาเขย่งเท้าขึ้นไปคว้ากล่องกระจกในมือของสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยรีบยกแขนขึ้นสูง
สวีซื่อจุนพยักหน้า “ทุกคนล้วนแต่บอกว่าท่านพ่อเก่งที่สุด!”
รู้แค่นี้มันยังไม่พอ
สืออีเหนียงลองแนะนำให้สวีซื่อจุนคิดอะไรที่ลึกกว่านี้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าจุนเกอจะรู้จักใต้เท้าเจี่ยง” จากนั้นก็ทำสีหน้าสงสัย “ใต้เท้าเจี่ยงเป็นคนเช่นไรหรือ”
“เขาเป็นคนเข้มงวดขอรับ” สวีซื่อจุนระลึกความหลัง ยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่เขาดีกับข้ามากขอรับ ยังถามว่าข้าเหนื่อยหรือไม่ หวังอวิ่นอิจฉาข้าอย่างมาก”
สวีซื่อเจี้ยถูกคำพูดของสวีซื่อจุนดึงดูด เขายืนตรงแล้วพูดกับสวีซื่อจุน “หวังอวิ่นคือใครหรือ สหายใหม่ของพี่สี่หรือ”
“ใช่แล้ว” สวีซื่อจุนยิ้ม “เขาคือบุตรชายของหวังลี่ ใต้เท้าหวัง เรียนเก่งอย่างมาก นิสัยดีกับทุกคน ขี่ม้าเป็นแล้วยังดีดพิณเป็นอีกด้วย ครั้งก่อนตอนที่ใต้เท้าหวังมาที่จวนก็พาเขามาด้วย ท่านพ่อบอกให้ข้าตั้งใจเรียนกับเขา” พูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ จากนั้นก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงดังด้วยท่าทีที่ร่าเริง “ข้าเคยพูดถึงเจ้าให้หวังอวิ่นฟัง เขาสนใจเจ้าเป็นอย่างมาก แล้วยังบอกว่าครั้งหน้าให้ข้าพาเขามาหาเจ้า หากครั้งหน้าเขามา ข้าจะบอกให้สาวใช้มาเรียกเจ้าไปหาข้า เราต้องเล่นด้วยกันสนุกแน่นอน”
จิ่นเกอจับเสื้อสวีซื่อเจี้ยแน่น ประเดี๋ยวก็เขย่งเท้า ประเดี๋ยวก็กระโดด แต่ก็คว้ากล่องกระจกในมือของสวีซื่อเจี้ยไม่ได้สักที เขาร้องแอ๊ๆ อย่างใจร้อน
สวีซื่อเจี้ยได้ยินว่าจะได้รู้จักสหายใหม่ เขาก็ไม่สนใจจิ่นเกอ ยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ” ซ้ำๆ จากนั้นก็พูดว่า “เช่นนั้นต้องรอให้ถึงวันหยุดของข้า!”
ทันทีที่พูดจบ จิ่นเกอที่ไม่มีใครสนใจก็ร้องไห้งอแงขึ้นมา
เขาร้องไห้เสียงดัง ทำเอาทุกคนตกใจ
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยตกใจ พวกเขาสองคนทำหน้าอึ้ง
สืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์รีบลงจากเตียงเตา
ฉับพลันก็มีคนเดินเข้ามาตรงผ้าม่านที่ประตูแล้วอุ้มจิ่นเกอ “อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้!” จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกจิ่นเกอ”
สืออีเหนียงมองดู เป็นสวีซื่ออวี้
เขาปลอบจิ่นเกอเสียงเบาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน จิ่นเกอหยุดร้องไห้ทันที จากนั้นก็ชี้ไปที่สวีซื่อเจี้ยอย่างสะอึกสะอื้น
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดง “พี่สองขอรับ ข้า…ข้ากำลังเล่นกับน้องหกขอรับ!” จากนั้นก็รีบยื่นกล่องกระจกให้จิ่นเกอ
จิ่นเกอยิ้มแล้วถือกล่องกระจกมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว
สวีซื่ออวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “น้องหกยังเล็ก ไม่รู้ความ เจ้าเป็นพี่ ต้องยอมเขาบ้าง”
สวีซื่อเจี้ยก้มหน้าก้มตาแล้วขานรับ “ขอรับ” เบาๆ จากนั้นก็เหลือบมองสืออีเหนียง เมื่อเห็นสืออีเหนียงยิ้มให้เขาอย่างแผ่วเบา เขาก็ยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าดีใจ จากนั้นก็ขานรับ “ขอรับ” เสียงดังอีกครั้ง
สวีซื่ออวี้ยิ้มอย่างแผ่วเบา
“คุยกับท่านโหวเสร็จแล้วหรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเข้าไปอุ้มจิ่นเกอ “ทำไมท่านโหวไม่กลับมาด้วยเล่า”
อาจจะเป็นเพราะว่าสวีซื่ออวี้ช่วยปลอบประโลมจิ่นเกอ จิ่นเกอเลยบิดตัวมุดเข้าไปในอ้อมแขนของสวีซื่ออวี้เหมือนเดิม
สืออีเหนียงและสวีซื่ออวี้พลันตกตะลึง หันมามองหน้ากันทันที
สีหน้าของสวีซื่ออวี้ตึงเครียด เขารีบพูด “ใต้เท้าหวังมา ท่านพ่อจึงออกไปลานข้างนอกขอรับ” ราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง รีบพูดต่ออีกว่า “ท่านพ่อมอบสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องตำราให้ข้า อวยพรให้ข้าสอบผ่านระดับราชสำนักของปีหน้าอย่างราบรื่น!” พูดจบ เขาก็ตบหลังจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้น ยกกล่องกระจกในมือขึ้นให้มารดาดูแล้วร้อง “แอ๊ๆ” ราวกับจะพูดว่า ‘ท่านแม่ดูกล่องกระจกของข้าสิ’
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
“เช่นนั้นก็ดี!” นางมองสวีซื่ออวี้ “ช่วงนี้เจ้าตั้งใจอ่านหนังสือ ต้องสอบระดับราชสำนักผ่านแน่นอน”
สวีซื่ออวี้พยักหน้า
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คุณชายน้อยใหญ่ คุณหนูใหญ่ และคุณชายน้อยสามมาเจ้าค่ะ!”