เลี่ยวฉิงเทียนกลับขึ้นมานั่งด้วยสีหน้าไม่น่ามอง แม้กระทั่งริมฝีปากของเขาก็ยังซีดจนไร้สีเลือดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป มันเหมือนกับการตบหน้าตัวเขาเองไม่มีผิด!
ชายคนนี้เป็นรัชทายาทของจักรวรรดิจ้านหลง และจะได้เป็นผู้ปกครองจักรวรรดิจ้านหลงทั้งหมดในอนาคต แล้วเขาจะเอาเงินงบประมาณไปทำไม
เขาไม่มีทางยักยอกเงินพวกนั้นอยู่แล้ว!
ทันทีที่เลี่ยวฉิงเทียนคิดได้เช่นนี้ เขาที่ไม่เคยหวาดกลัวแม้กระทั่งเวลาอยู่ในสงครามก็ยังถึงกับตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ สุดท้ายเมื่อเขาเรียกสติกลับมาได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือการวางฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองแนบลงบนพื้น
ปัง ปัง ปัง! เขาโขกศีรษะลงคำนับอีกฝ่าย
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตาบอดราวกับนกฮูกถึงได้เสียมารยาทต่อองค์ชายสามเช่นนั้น ได้โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ อดีตฮ่องเต้ เห็นแก่ผลงานที่กระหม่อมเคยทำเอาไว้ในการศึกเมื่อก่อนหน้านี้ ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด!”
เลี่ยวฉิงเทียนพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง เขาหวังว่าอดีตฮ่องเต้จะไตร่ตรองสถานการณ์ทุกอย่างให้ดีและเลือกที่จะไว้ชีวิตเขา
แต่เขาก็ลืมไปว่าคนที่เขาเสียมารยาทด้วยนั้นไม่ใช่อดีตฮ่องเต้ แต่เป็นองค์ชายสามผู้ทรงอำนาจแห่งจักรวรรดิจ้านหลง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มลงมองเขาอย่างไม่แยแส ”เจ้าคิดว่าการที่เจ้ามีความดีความชอบในศึกสงครามจะทำให้เจ้าสามารถเข่นฆ่าใครก็ได้เพื่อผลประโยชน์ของภัตตาคารไห่ปินหรือ เลี่ยวฉิงเทียน ใครมอบสิทธิพิเศษเช่นนั้นให้เจ้ากัน”
เสียงของเขายังคงเฉยชาเหมือนอย่างเคย
น้ำเสียงนั้นเย็นชาจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
เลี่ยวฉิงเทียนหาทางปกป้องตัวเองอย่างไม่คิดที่จะยอมแพ้ ”กระหม่อมไม่ได้ฆ่าใครนะพ่ะย่ะค่ะ มีคนตั้งใจใส่ความกระหม่อม! อาหารในภัตตาคารไห่ปินราคาแพงก็จริง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ใครตายพ่ะย่ะค่ะ!” เขาเงยหน้าขึ้น หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด พร้อมกันนั้นเขาก็รีบพูดต่อว่า ”อดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทน่าจะรู้ดีว่าอาหารทะเลของภัตตาคารไห่ปินนั้นสดใหม่ที่สุด มันไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอันใดขึ้นได้…”
“เจ้าโกหก!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยพาขาสั้นๆ และศีรษะโล้นเป็นประกายของตัวเองเดินเข้ามา เขาพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า ”ตอนที่ข้าไปกินข้าวที่ภัตตาคารไห่ปิน ข้าเคยได้กินกุ้งที่ตายแล้ว!”
เลี่ยวฉิงเทียนถึงกับชะงักเมื่อได้ยินดังนั้น
องค์ชายเจ็ดไปกินกุ้งตายที่ภัตตาคารไห่ปินตอนไหนกัน
เป็นไปไม่ได้!
เขากำชับคนที่ทำงานในภัตตาคารไห่ปินเป็นอย่างดีว่าให้ปรุงอาหารทะเลที่สดใหม่ที่สุดให้กับบรรดาคนใหญ่คนโตทุกคน
ตั้งแต่ตอนที่องค์ชายเจ็ดก่อความวุ่นวายขึ้นที่ภัตตาคารไห่ปินในตอนนั้น โดยปกติแล้วทุกคนย่อมจำเขาได้
จะมีใครกล้าเอากุ้งตายไปให้เขากินได้อย่างไร…
นอกเสียจากว่าเขาจะอยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลมาก่อนหน้านั้น!
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเลี่ยวฉิงเทียน!
วันแรกที่เจ้าคนแซ่เว่ยเข้ารับตำแหน่งที่นี่ เขาเคยบอกว่าเขามากินข้าวที่ภัตตาคารไห่ปิน แล้วจากนั้นเขาก็ใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างให้ปิดภัตตาคารแห่งนี้… เป็นไปได้หรือไม่ว่าในระหว่างนั้นองค์ชายเจ็ดก็อยู่ที่ภัตตาคารไห่ปินเหมือนกัน
ทันใดนั้นเลี่ยวฉิงเทียนก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งหลัง หากมันเป็นเรื่องจริง พวกเขาพยายามจัดการให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้วหรือ
สรุปว่าคนที่เป็นเต่าที่รนหาที่ตายก็คือเขานี่เอง…
เมื่อคิดได้ดังนี้ ใบหน้าของเลี่ยวฉิงเทียนก็ยิ่งซีด!
อดีตฮ่องเต้ยังคงรักษาความเยือกเย็นในน้ำเสียงเอาไว้ได้ ”เลี่ยวฉิงเทียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงมาที่เมืองหลวงประจำมณฑล สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเจ้าเจ็ดท้องเสียหลังจากมาทานอาหารที่ภัตตาคารไห่ปินของเจ้าอย่างไรล่ะ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงยังพูดจาเล่นลิ้นเช่นนี้อยู่อีก! ในฐานะแม่ทัพของกองทหารรักษาการณ์ ประชาชนควรจะมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับเข่นฆ่าพวกเขาเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น! ความหน้าด้านหน้าทนที่เจ้ามีต่อข้อกล่าวหาจากแม่เฒ่านางนั้นช่างน่าเหลือทนยิ่งนัก เจ้ากล้าพูดถึงผลงานในสนามรบของตัวเองต่อหน้าข้าได้อย่างไร”
เพล้ง!
อดีตฮ่องเต้ปาถ้วยชาในมือลงพื้นด้วยความโกรธ!
“ใครก็ได้! มาพาตัวแม่ทัพชั่วจอมละโมบที่ดีแต่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติของเราคนนี้ออกไป แล้วจัดการตัดคอเขาซะ! ข้าอยากเห็นนักว่าจะมีคนอื่นกล้าทำอะไรตามอำเภอใจเพียงเพราะพวกเขาเคยมีผลงานในศึกสงครามเช่นนี้อีกหรือไม่!”
ตุ้บ!
ขาของเลี่ยวฉิงเทียนอ่อนยวบจนกลายเป็นวุ้น!
ขุนนางคนอื่นๆ เหงื่อท่วมไปทั้งตัวทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้!
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าที่ปรึกษาหลงที่พวกเขากล่าวหาไปเมื่อก่อนหน้านี้จะเป็นองค์ชายสาม!
ตอนนี้พวกเขาควรทำอย่างไรดี
เหล่าขุนนางที่เข้าร่วมการไต่สวนในวันนี้ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวจนแทบประคองถ้วยชาในมือเอาไว้ไม่อยู่
โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกลิ้งอยู่ข้างนอกศาลาว่าการ มือของพวกเขาก็ยิ่งสั่นอย่างแรงจนทำถ้วยตกลงบนโต๊ะไม้!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองไปทางพวกเขาทุกคนอย่างช้าๆ…
ขุนนางทั้งหมดนั่งนิ่งพร้อมกับยิ้มแข็งๆ ให้เขา พวกเขาลูบมือของตัวเองอย่างประหม่าก่อนจะพูดเอาใจว่า ”องค์ชายสามช่างทรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะที่สามารถเปิดเผยธาตุแท้ของเลี่ยวฉิงเทียนได้ด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ! หากองค์ชายปรากฏตัวขึ้นไม่ทันกาล พวกกระหม่อมคงยังคิดว่าเลี่ยวฉิงเทียนเป็นแม่ทัพมีฝีมือที่พร้อมทุ่มเทตัวเองให้กับประเทศชาติและผู้คนต่อไปแน่ ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะถูกเขาหลอกได้อย่างแนบเนียน! เลี่ยวฉิงเทียนช่างเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์จริงๆ!”
“จริงแท้แน่นอนที่สุด! คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เลี่ยวฉิงเทียนเป็นอันธพาล! แต่เขาก็สามารถแสดงละครได้ดีไม่มีที่ติ โชคดีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะที่องค์ชายมาที่นี่!”
ในเวลานั้นบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างก็หันหลังให้กับเลี่ยวฉิงเทียนและเอาตัวออกห่างจากเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองบรรดาขุนนางจอมเสแสร้งพวกนั้น แล้วกระตุกริมฝีปากขึ้นพร้อมกับพูดว่า ”ขุนนางที่รักทั้งหลาย พวกท่านช่างน่าสนใจจริงๆ! เมื่อครู่นี้พวกท่านยังเอาแต่ปกป้องเลี่ยวฉิงเทียน และยืนยันว่าที่ปรึกษาของข้ากับข้าเป็นขุนนางทุจริตที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัยอยู่เลย! แต่จู่ๆ พวกท่านกลับหันหลังให้กับเลี่ยวฉิงเทียน และกล่าวว่าเขาเป็นผู้ที่ได้ทำความผิดร้ายแรงจนสมควรตาย! ข้าได้เห็นแล้วว่ามาตรฐานการตัดสินใจของพวกท่านนั้นช่างเรียบง่ายยิ่งนัก ท่านตัดสินคนจากฐานะและรับฟังแต่คนที่มีฐานะสูงส่งเท่านั้น”
คำพูดเหล่านั้นไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าเข้าอย่างจัง ใบหน้าของขุนนางส่วนใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับสีของตับหมู ก่อนที่สุดท้ายจะกลายเป็นสีม่วงคล้ำ!
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเริ่มจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว
และด้วยเหตุนั้นเขาจึงเริ่มนั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หากจุดประสงค์ของพวกเขาเป็นเพียงแค่การต่อต้านเลี่ยวฉิงเทียน เช่นนั้นองค์ชายสามก็คงเปิดเผยฐานะของตัวเองออกมาตั้งแต่ตอนที่ถูกจับไปแล้ว
ทำไมพวกเขาถึงยืนกรานที่จะรอมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ล่ะ
เขากำลังรอให้อดีตฮ่องเต้หรือไม่ก็เขามาอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ
นิ้วของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนสั่นระริก เขาสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนได้อย่างชัดเจน
เขารู้จักกลอุบายและวิธีการขององค์ชายสามดี มันไม่เรียบง่ายถึงเพียงนี้แน่
ถ้ามีใครมาถามว่าตอนนี้เขาเสียใจเรื่องอะไรที่สุด คำตอบของเขาก็คงเป็นความโลภมากไม่รู้จักพอของตัวเองที่ทำให้เขามาที่เมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้นี่เอง!
ถ้าเขารู้ว่าองค์ชายสามอยู่ที่นี่ ต่อให้ยกเงินทองกองมาเป็นภูเขาเลากาเขาก็ไม่มีทางมา!
มันเป็นเพียงแค่คดีเล็กๆ เท่านั้น
มันไม่สมควรจะได้รับความสนใจจากเขาเลยด้วยซ้ำ
เขาตรวจสอบเบื้องลึกเบื้องหลังของเจ้าคนแซ่เว่ยนี้ด้วยตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ มันสะอาดหมดจด ไม่มีอะไรสำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว…
แต่ใครจะคิดออกล่ะว่าองค์ชายจะมาอยู่ข้างกายขุนนางต่ำต้อยเช่นนี้ได้!
ความรู้สึกเสียใจถาโถมเข้าใส่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน
แต่โชคดีที่เขายังไม่ได้ติดอยู่ในนั้นอย่างสมบูรณ์
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นฝีมือของเลี่ยวฉิงเทียน และเขาสามารถกล่าวได้ว่าเขาถูกอีกฝ่ายแสดงละครตบตาจนทำให้เผลอใส่ความองค์ชายสามเหมือนกับขุนนางคนอื่นๆ
อย่างร้ายที่สุด เขาก็คงถูกตำหนิในความประมาทเลินเล่อและมองไม่เห็นความจริงเท่านั้น
อดีตฮ่องเต้ย่อมไม่สามารถสั่งลงโทษเขาอย่างรุนแรงเพียงเพราะเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน!
ทันทีที่คิดได้ดังนี้ ในที่สุดผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็รู้สึกผ่อนคลาย เขาพยายามทำให้ตัวเองดูสงบเยือกเย็นเพื่อไม่ให้ตกเป็นที่สงสัย…