มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ชอบคุกเข่าให้คนอื่น
แต่เบาะรองถูกโยนลงตรงหน้าแล้ว และคนตรงหน้าก็ไม่ใช่เจี่ยนไท่จวินที่ไร้ซึ่งความสลักสำคัญต่อนาง แต่เป็นท่านย่าของหนิงเซ่าชิง เป็นมารดาของท่านพ่อสามีที่นางยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูล หากไม่คุกเข่าก็เหมือนกับหักหน้าอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย…
หรือกล่าวได้ว่า คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้มีเกียรติที่สุดคือท่านย่าของหนิงเซ่าชิง แม้ว่าจะให้หนิงเซ่าชิงคุกเข่าให้ เขาก็ต้องทำ
ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้จะดีหรือเลว แค่กล่าวถึงฐานะเพียงอย่างเดียว ก็มีคุณสมบัติที่จะได้รับการคุกเข่าจากนางแล้ว
ท่านย่าให้หลานสะใภ้คุกเข่าทำความเคารพก็ไม่มีอันใดผิด หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว แม้ว่าในใจจะรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใด
มั่วเชียนเสวี่ยคิดได้นานแล้ว ในเมื่อต้องคุกเข่า ก็ต้องทำอย่างมีแบบแผน
หลังจากขัดแย้งกับจิ้งฮูหยินและเหมยฮูหยินในครั้งที่แล้ว ก็แสดงให้เห็นชัดเจนนานแล้ว
เพราะเรื่องย่วนอ้ายเวิงจู่อะไรนั่นในงานเลี้ยงดอกท้อครั้งที่แล้ว ก็เกรงว่าเรื่องที่นางไม่ชอบคุกเข่าทำความเคารพผู้อื่นจะถูกโจษจันไปทั่วแล้ว
พวกนางคิดจะหยิบยกเรื่องนี้มาทำให้นางลำบาก จากนั้นก็หาเรื่องบอกว่านางคุกเข่าอย่างไม่เต็มใจ แล้วค่อยมายุยงหรือ
ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน วิ่งรอกทำธุรกิจอยู่ข้างนอกนั่นมาหลายปี มีพ่อค้าต่างถิ่นบางคนจงใจทำให้ลำบากใจขึ้นมา แม้ว่าจะอาเจียนจนกระอักเลือด แต่บนใบหน้าก็ยังต้องยิ้มเหมือนเดิม แถมยังยิ้มอย่างงดงามด้วย
แต่ทว่าขอแค่เขาควักเงินซื้อของ เซ็นสัญญาแล้ว สุดท้ายก็เป็นนางที่มีสิทธิ์ตัดสินใจมากที่สุด
ไม่แตกต่างอะไรกับเรื่องนี้เลย!
นึกเสียว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่ยากจะจัดการคนหนึ่งแล้วกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ทำความเคารพผู้อาวุโสของหนิงเซ่าชิง มีอะไรยากกัน!
มั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนจากท่าย่อตัวของการทำความเคารพแบบวั่นฝูหลี่ เป็นการคุกเข่าลงบนเบาะรอง
โน้มตัวลงไป ศีรษะแตะพื้น
ศีรษะแตะพื้นนี้ของนาง ไม่ใช่การทำความเคารพทั่วไป เพียงแต่โขกลงบนหลังมือของตนเอง หรือท่าทางโขกศีรษะหลอกๆ โดยห่างจากพื้นหนึ่งนิ้ว
แต่การโขกศีรษะลงกับพื้น นั้นโขกจนมีเสียงดัง โขกด้วยความจริงใจ
“เชียนเสวี่ยคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพแข็งแรง มีความสุขตลอดไปเจ้าค่ะ!”
เสียงของนางเปี่ยมไปด้วยการอวยพรอย่างมีความสุข ไม่มีการฝืนทำแต่อย่างใด
และเป็นเพราะเสียงนี้ บรรยากาศจึงพลันชะงักงัน
เห็นได้ชัดเลยว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดไม่ถึงว่า มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับมือได้ยาก ไม่ลงรอยกับคนอื่นไปทั่วอย่างที่ข้างนอกลือกัน ในขณะที่ทำความเคารพก็ไม่ได้มีทีท่าไม่ยินยอมสักนิด ทั้งยังสามารถเอ่ยคำอวยพรที่จริงใจเช่นนี้ออกมาได้ด้วย
หนิงเซ่าชิงก็คิดไม่ถึงว่า มั่วเชียนเสวี่ยจะยินยอมทำความเคารพเช่นนี้ ในใจก็ทั้งตื้นตัน ทั้งสงสาร
หากว่าท่านย่ากล้าหาเรื่องนาง เขาจะต้องจูงนางสะบัดแขนเสื้อจากไปแน่นอน
การเปลี่ยนแปลงของหนิงเซ่าชิง เพียงแค่ครู่เดียวฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกได้ในใจทั้งหมด
นางวางถ้วยชา มองสตรีในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ก้มหน้าโขกศีรษะเงียบๆ ครู่หนึ่ง นางถึงได้สั่งมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งๆ “เงยหน้าขึ้นเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่า แต่ยังคงหลุบตาลงเช่นเดิม
นางรู้ว่าประเพณีนิยมในยุคสมัยนี้ การที่ผู้เยาว์วัยจ้องมองผู้อาวุโสตรงๆ นั้นเป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง
ในเมื่อยอมอ่อนให้อย่างเป็นการถอยเพื่อรุก เช่นนั้นก็ต้องทำให้สมบูรณ์แบบ
ฮูหยินผู้เฒ่าตะลึงอีกครั้ง
สตรีตรงหน้า ไม่เหมือนจิ้งเอ๋อร์กับเหมยเอ๋อร์ และยังมีอวี่เหวินหันเหล่ยที่ใช้การไม่ได้คนนั้น คำบรรยายที่ว่าเป็นสตรีอารมณ์ร้อนที่นิดๆ หน่อยๆ ก็ทุบตีต่อว่า สตรีบ้าเลือดที่ลือไปทั่วท้องถนนข้างนอกคนนั้น สตรีป่าเถื่อนที่ไร้การอบรมสั่งสอนผู้นั้นเลยสักนิด
นางต้องคิดให้ดีสักหน่อย
ดูเหมือนว่านางจะอยู่ในจวนเป็นเวลานานไปแล้ว ถูกล้อมรอบปรนนิบัติจากคนโง่หลายคนนานเกินไป ถึงได้ทำให้เขี้ยวเล็บทื่อไป สมองก็เปลี่ยนไปคล้ายกับคนโง่พวกนั้น
สามารถควบคุมเรือนหลังของตระกูลหนิงที่เป็นตระกูลใหญ่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา
แค่นเสียงเย็นในใจ เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
สตรีเช่นนี้ มิน่าพวกนางถึงได้พ่ายแพ้กันหมด กระทั่งตนเอง วันนี้ก็เกือบจะจบสิ้นเพราะประมาทศัตรูเช่นกัน
สตรีเช่นนี้คู่ควรให้นางทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าเต็มที่
จึงได้สติขึ้นมาทันที ประกายขุ่นมัวในนัยน์ตา กลายเป็นแจ่มใสในเสี้ยวพริบตา
สายตาสำรวจมองมาทางมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง ตามด้วยตะโกนประโยคคำสั่งด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ประโยคหนึ่ง “อนุญาตให้เจ้าเหลือบตาขึ้นมองได้”
มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้ค่อยๆ เหลือบตาขึ้น มองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งหลังตรงอยู่ในตำแหน่งประธาน
ก็เห็นว่านางอายุใกล้จะหกสิบ หน้าตาเข้มงวดกวดขัน หางตามีรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อย ไร้เครื่องประดับใดๆ บนร่าง มวยผมเป็นทรงเมฆาเหินที่พบเห็นได้จากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลชนชั้นสูงบ่อยๆ มีเพียงแต่ใบหูที่แวววาว เห็นได้ชัดว่าต่างหูอัญมณีคู่นี้ไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
และเมื่อไล่มองลงไป ฮูหยินผู้เฒ่าในชุดเสื้อคลุมสั้นหม่ากว้า เสื้อคลุมแขนยาวสีแดงเข้ม คู่กับหม่าเมี่ยนฉวิน กระโปรงจับจีบสีเดียวกัน บนกระโปรงใช้ด้ายปักสีทองเข้มเป็นเมฆามงคล
ดูเหมือนนางจะไม่เหมือนสตรีตระกูลหนิงคนอื่นๆ ที่ชื่นชอบความหรูหรา นางมีบุคลิกสุภาพเรียบร้อย และมีวัฒนธรรมมากกว่าสตรีเหล่านั้น
กายนางแผ่กลิ่นอายฉลาดเฉียบแหลม มองการณ์ไกล และสง่างามสูงส่งของการรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องทางโลก ไม่เพียงแต่จะมีกิริยาท่าทางของนายหญิงที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลชนชั้นสูง แต่ยังมีไหวพริบเฉลียวฉลาดในการชี้แนะเรื่องราวต่างๆ ในโลกด้วย
ต่างจากการคาดเดาของนางก่อนหน้านี้ และการกระทำที่ปฏิบัติต่อตนเองในตอนที่นางเพิ่งจะเข้าประตูมาเมื่อครู่ราวกับคนละคน
มั่วเชียนเสวี่ยมึนงงเล็กน้อย
หากว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเหมือนกับที่นางคิดไว้ก่อนหน้านี้ สร้างความลำบากใจให้นางต่อหน้าหนิงเซ่าชิง เช่นนั้นก็ไม่ควรค่าให้กลุ้มใจ แต่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเหมือนอย่างที่นางเห็นในตอนนี้จริงๆ เช่นนั้นในภายภาคหน้า นางต้องระวังแล้ว
จวนตระกูลหนิงเข้ามายากจริงๆ!
แต่ทว่า จะเข้ายากอย่างไร เพื่อหนิงเซ่าชิง ด้านหน้าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตราย มีขวากหนามแหลมคมขวางกั้น นางก็ยังจะตรงไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญอยู่ดี
และในตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังพิจารณามองมั่วเชียนเสวี่ยเช่นกัน สายตานางลุ่มลึก แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เผยความเข้าใจออกมาอย่างเลือนราง แต่เมื่อมองดีๆ แล้ว กลับคล้ายว่าไม่ใส่ใจ
ทั้งสองคนประลองฝีมือกันเงียบๆ
ภายในห้องเงียบสงัด ให้ความรู้สึกว่าแต่ละฝ่ายมีแผนการในใจอย่างน่าประหลาด
เดือนหกเดือนเจ็ดเป็นฤดูกาลที่บุปผานานาพรรณกำลังผลิบาน ภายในห้องฮูหยินผู้เฒ่าเสียบดอกไม้ไว้หลายดอก กลิ่นของดอกไม้ลอยอยู่ในอากาศตามลมเย็นสดชื่นที่พัดมา
หนิงเซ่าชิงสงสารมั่วเชียนเสวี่ยที่คุกเข่าอยู่นาน ตอนที่กำลังจะเอ่ยขอร้อง คลี่คลายสถานการณ์นี้
ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร สบายๆ ว่า “ลุกขึ้นเถอะ เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดถูกใจคนหนึ่ง”
นางไม่เพียงแต่จะมีสีหน้าเมตตาอ่อนโยน น้ำเสียงก็สนิทสนม ทั้งยังลุกมาประคองมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นมาด้วยตัวเอง
ประโยคธรรมดา ที่ไร้ซึ่งการข่มขู่ และอบรมสั่งสอนแม้แต่น้อยเช่นนี้ประโยคหนึ่ง อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไหนเลยจะกล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าลุกมาประคอง จึงรีบลุกขึ้น ยิ้มหวานให้กับฮูหยินผู้เฒ่า
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีเมตตา เชียนเสวี่ยมิกล้ารับเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งลงยิ้มๆ นางพบเจอผู้คนมามาก แม้จะไม่ได้เปลี่ยนความปรารถนาเดิม แต่กลับเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว
สามารถอยู่ในเรือนหลังโดยไร้ศัตรู ระหว่างนางที่พิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ก็คอยอยู่เบื้องหลังวางอุบายคิดแผนการได้นานแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่สตรีธรรมดา หากตนเองทำให้นางลำบากใจต่อหน้าหลานชาย เช่นนั้นก็จะยิ่งสูญเสียการสนับสนุนจากหลานชายไป
ทำไมไม่อาศัยโอกาสนี้คืนนี้กับหลานชาย
ขอแค่นางแต่งเข้ามา ก็มีโอกาสอีกมาก ยังต้องกลัวว่าจะบีบบังคับไม่ได้ด้วยหรือ ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ เรือนหลังของตระกูลหนิงสายตรงต้องอยู่ในกำมือนาง แม้ว่าหลังจากนางตายไป เรือนหลังนี้ก็ต้องมีตำแหน่งของสตรีตระกูลอวี่เหวิน
ตระกูลอวี่เหวินมิอาจสูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลหนิงได้