หลี่ฮูหยินจะไม่มาหาหากไม่มีเหตุจำเป็น
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าสวีลิ่งอี๋เข้าวังไปแล้ว จึงให้สาวใช้น้อยเชิญหลี่ฮูหยินมานั่งที่ห้องโถงบุปผา จากนั้นก็เรียกผู้ดูแลจ้าวจากแผนกรายงานมา “เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของผู้บัญชาการหลี่ในฝูเจี้ยน”
ผู้ดูแลจ้าวตอบอย่างนอบน้อม “ได้ยินมาว่าผู้บัญชาการหลี่กล่าวหาว่าพลเรือนเป็นโจรสลัดแล้วเข้าปราบปราม จากนั้นก็ไปรายงานภารกิจกับกองบัญชาการทหาร ต่อมาได้ถูกใต้เท้าเจี่ยงรู้เข้า ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาได้แอบมอบหมายให้ขุนนางเดินทางลงใต้อย่างเงียบๆ เพื่อพาผู้บัญชาการหลี่กลับเมืองหลวง นับวันดูแล้วขุนนางเหล่านั้นน่าจะถึงฝูเจี้ยนแล้วขอรับ”
ผู้บัญชาการหลี่กล้าเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ดูแล้วคงจะกังวลอนาคตของหลี่จี้
เมื่อรู้เรื่องราวแล้วนางก็ไปพบหลี่ฮูหยินที่ห้องโถงบุปผา
หลี่ฮูหยินไม่ได้เอ๋ยถึงเรื่องของผู้บัญชาการหลี่เลยแม้แต่คำเดียว พูดเพียงว่าใกล้จะตรุษจีนแล้ว รู้มาว่าสืออีเหนียงเติบโตที่ฝูเจี้ยน ดังนั้นจึงนำผลผลิตท้องถิ่นของฝูเจี้ยนมาฝาก จากนั้นก็ถามถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่ออวี้ “…เขาโดดเด่นกว่าใคร ซ้ำยังมีแม่สามีเช่นท่าน ข้าว่าประตูจวนนี้คงจะถูกแม่สื่อเหยียบจนพังแล้วกระมัง!”
สกุลหลี่เน้นย้ำเสมอว่าสกุลตัวเองไม่อนุญาตให้มีอนุภรรยา คนเป็นมารดาย่อมเต็มใจที่จะให้บุตรสาวของตัวเองแต่งเข้าสกุลนี้ แต่คนเป็นแม่สามีอาจไม่เต็มใจรับลูกสะใภ้เช่นนี้เข้าจวน ดังนั้นบุตรชายคนโตของสกุลหลี่จึงรีบเลือกสตรีจากตระกูลที่มีความมั่นคงมาเป็นลูกสะใภ้ก่อนที่หลี่จี้จะแต่งงาน คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ก็เป็นคนช่างเลือก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย
เมื่อสืออีเหนียงคิดถึงเรื่องนี้ก็นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของผู้ดูแลจ้าว นางเริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที จึงหยุดคำพูดของหลี่ฮูหยินเสียก่อน “มีหลายคนมาพูดเรื่องการหมั้นหมายอยู่เช่นกัน ต่างก็เป็นสหายสนิทที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนอะไร อยากจะค่อยๆ เลือกสักหนึ่งคนในบรรดาพวกเขา”
หลี่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า “นั่นน่ะสิ อย่างไรเสียคุณชายน้อยสองก็เป็นบุตรชายคนโตของท่านโหว จะต้องเลือกให้ดี” ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “จะว่าไปแล้วข้ากับฮูหยินก็นับว่าเป็นคุ้นเคยกัน นิสัยของข้าคาดว่าฮูหยินก็คงจะรู้ เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนอ้อมค้อม ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยสองได้หมั้นหมายแล้วหรือยัง”
“ยังไม่ได้หมั้นหมาย” เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถปิดบังได้ สืออีเหนียงจึงยอมรับตรงๆ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “หลักๆ ก็มีสามคนให้เลือก ต้องรอให้ท่านโหวคิดอย่างละเอียดก่อนแล้วค่อยทำการตัดสินใจ”
หลี่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้า ยิ้มพลางมองไปที่นาง “ในเมื่อยังไม่ได้ตัดสินใจ เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้ท่าน ท่านว่าบุตรสาวคนโตของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่แท้ก็คิดเรื่องแต่งงานจริงๆ ด้วย!
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูหลี่รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีนิสัยร่าเริง ถ้าหากสามารถเข้ากับอวี้เกอของพวกเราได้ เช่นนั้นแล้วจะยังมีปัญหาอะไรอีก เพียงแต่ว่าท่านก็รู้ว่าในจวนของพวกเราเรื่องเหล่านี้ต้องยกให้ท่านโหวเป็นคนตัดสินใจ ที่หลี่ฮูหยินพูดมา ข้าจะต้องไปปรึกษากับท่านโหวก่อนเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ย่อมต้องปรึกษากับท่านโหวก่อน” หลี่ฮูหยินรู้ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถสำเร็จได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าจะรอข่าวจากฮูหยิน” พูดจบก็ลุกขึ้นกล่าวลา
สวีลิ่งอี๋กลับมาจากวังแล้ว เขานำส้มกลับมาสองตะกร้า แล้วหยิบกล่องไม้ออกมาให้สืออีเหนียง “ฮองเฮาประทานให้”
สืออีเหนียงเปิดกล่องไม้ ด้านในมีปิ่นไม้กฤษณาห้าอัน มีสี่อันแกะสลักลายไม้ไผ่ อีกหนึ่งอันแกะสลักลายดอกบัว
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงนำส้มไปแบ่งให้แต่ละเรือนเท่าๆ กัน นำปิ่นปักผมลายดอกบัวส่งไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนอีกสี่อันแบ่งให้สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ อีกสามคนคนละหนึ่งอัน จากนั้นก็เล่าถึงจุดประสงค์การมาของหลี่ฮูหยินให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“ไม่ได้!” สวีลิ่งอี๋ตอบโดยไม่ต้องคิด รีบพูดขึ้นมาว่า “เป็นผู้บัญชาการทหารแล้วยังคิดอยากจะเป็นรองเจ้ากรม พอเป็นรองเจ้ากรมก็อยากจะเป็นอาลักษณ์…มีญาติเช่นนี้ ชีวิตนี้พวกเราอย่าหวังจะได้รับความสงบสุขเลย ไม่แน่สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะถูกพวกเขาทำให้เดือดร้อน”
“ไหนเลยที่ข้าจะไม่เข้าใจ” สืออีเหนียงยิ้มพลางช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อ “เพียงแค่บอกท่านโหวไว้ให้ท่านโหวได้รับรู้”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็พูดอย่างสงสัยว่า “คุณหนูใหญ่สกุลหลี่อายุมากกว่าอวี้เกอกระมัง”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เหมือนว่าจะอายุมากกว่าหนึ่งถึงสองปี”
“เช่นนั้นก็บอกกับหลี่ฮูหยินว่าอวี้เกอของพวกเราเคยทำนายดวงชะตาแล้ว ปรากฏว่าอวี้เกอไม่ควรแต่งงานกับสตรีที่อายุมากกว่าตัวเอง” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “ตอบกลับไปเช่นนี้”
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับคำ “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “หลายวันมานี้เจ้าก็ค่อยข้างยุ่ง รอผ่านตรุษจีนไปแล้วพวกเราค่อยมาวางแผนเรื่องการหมั้นหมายของอวี้เกอ” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ปีหน้าตรงกับปีเฉินพอดี จะมีจัดการสอบฤดูใบไม้ผลิ ลูกเขยใหญ่จะเข้าเมืองหลวงมาเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้ เจ้าต้องเตรียมเสื้อผ้าและอาหารไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาจะได้ส่งไปให้เขา”
สืออีเหนียงกลับนึกถึงเฉียนหมิง “ทางด้านของพี่หญิงห้าก็ต้องไปดูสักหน่อยจึงจะเหมาะสม” ทั้งสองพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนต่อ
วันรุ่งขึ้นหลี่ฮูหยินมาหา สืออีเหนียงปฏิเสธหลี่ฮูหยินตามคำพูดของสวีลิ่งอี๋
หลี่ฮูหยินท่าทางผิดหวังมาก จับมือสืออีเหนียงแล้วร้องไห้ “ความจริงแล้วข้ากลัวว่าเรื่องของนายท่านจะถูกเผยแพร่มาถึงเมืองหลวงทำให้การหมั้นหมายของบุตรสาวยากยิ่งขึ้น” จากนั้นก็ร้องไห้พลางเล่าเรื่องของผู้บัญชาการหลี่ให้สืออีเหนียงฟัง “ตอนแรกเป็นท่านโหวที่แนะนำ ตอนนี้ก็ต้องขอให้ท่านโหวช่วยออกหน้าไปพูดกับผู้บัญชการทหารให้ด้วย” ร้องไห้พลางมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคิดว่าในเมื่อผู้บัญชาการหลี่เป็นเช่นนี้ก็ไม่คุ้มค่าที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเขา
นางปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา “ท่านโหวไม่ชอบให้สตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากที่สุด เกรงว่าข้าจะช่วยอะไรไม่ได้!”
หลายวันมานี้หลี่ฮูหยินไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นทุกหนทุกแห่ง แต่คนที่ปฏิเสธอย่างเถรตรงเช่นสืออีเหนียงกลับมีเพียงนางแค่คนเดียว หลี่ฮูหยินตกตะลึงก่อนจะร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
สืออีเหนียงกัดฟันไม่ยอมตอบตกลง สุดท้ายหลี่ฮูหยินก็จากไปด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง
นางตกใจเล็กน้อย พูดกับสวีลิ่งอี๋อย่างทอดถอนใจ “ต่อให้ช่วยนางสักพันครั้งหมื่นครั้ง พอไม่ช่วยเพียงครั้งเดียว นางไม่เพียงแต่คิดถึงตอนที่ไม่ช่วย ซ้ำยังโกรธแค้นอีกด้วย”
“อย่าไปใส่ใจเรื่องเหล่านี้เลย” สวีลิ่งอี๋ปลอบใจนาง “นางอยากจะโกรธแค้นก็ให้นางโกรธแค้นไป เสียดายก็แต่หลี่จี้ที่ต้องเดือดร้อนเพราะบิดาของตัวเอง”
สืออีเหนียงไม่คิดเช่นนั้น “จะถูกทำให้เดือดร้อนหรือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เกรงว่าจะถูกแบ่งเป็นสองกรณี!”
“พฤติกรรมของคนเป็นบิดาย่อมส่งผลกระทบต่อบุตรอย่างมาก” สวีลิ่งอี๋อธิบายสิ่งที่เขาพูดว่า ‘ทำให้เดือดร้อน’ “มิเช่นนั้นจะมีคำพูดที่ว่า ‘หากคานเพดานไม่ถูกต้อง คานพื้นด้านล่างก็จะไม่ถูกต้องตามไปด้วย’ ได้อย่างไร”
ก็จริงอย่างที่ว่า
สืออีเหนียงถอนหายใจ
เพียงไม่กี่วันข่าวอาชญากรรมของผู้บัญชาการหลี่ก็ค่อยๆ แพร่กระจายออกไป พูดกันไปต่างๆ นานา แต่พวกเขาทั้งหมดก็พากันหัวเราะเยาะเรื่องกฎสกุลของผู้บัญชาการหลี่ที่ไม่รับอนุภรรยา “…ที่แท้ก็เสแสร้งทำเป็นคนดีเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง”
ความสนใจของสืออีเหนียงกลับมุ่งไปที่ซานตง
ชีเหนียงเขียนจดหมายมาบอกว่านางได้ทำตามคำแนะนำของฮูหยินห้า ดูว่าในบรรดาสกุลที่มอบบุตรชายให้ ชอบบุตรชายสกุลไหนมากที่สุดก็เลือกรับบุตรชายสกุลนั้นมาเป็นบุตรบุญธรรม ในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบสองเป็นวันตรุษจีนเล็ก จะมีการเปิดศาลบรรพชนเพื่อทำพิธีสืบทอด ให้นางไปบอกกับฮูหยินห้า
สุดท้ายก็รับเด็กมาเลี้ยง
ต่อไปแม้ว่าชีเหนียงจะให้กำเนิดบุตร แต่ตำแหน่งซื่อจื่อได้ถูกตัดสินก่อนที่เด็กคนนี้จะเกิดแล้ว
สืออีเหนียงนำจดหมายไปให้ฮูหยินห้าดู
ฮูหยินห้าหัวเราะ “ชีเหนียงอย่าได้ล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด มิเช่นนั้นร้อยปีหลังจากนี้นางก็คงมีเพียงแค่เด็กคนนี้เท่านั้นที่จะจุดธูปบูชานาง”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา “ฮูหยิน ผู้ดูแลหญิงจากชังโจวที่นำของขวัญตรุษจีนมาส่งจะเข้ามาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกล่าวลาฮูหยินห้า เซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งเตาไฟ แปะยันต์ใหม่ ปัดกวาดฝุ่น…เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงวันตรุษจีนแล้ว หลังจากรับประทานอาหารส่งท้ายปีเก่า สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควน สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ก็คุยกันอยู่ในห้อง ฮูหยินสองกับฟังซื่อนั่งอยู่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน ส่วนสืออีเหนียงกับฮูหยินห้าก็อุ้มจิ่นเกอกับเซินเกอมายืนใต้ชายคาเรือนดูสวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยที่พาบ่าวรับใช้คนสนิทไปจุดดอกไม้ไฟอยู่ที่ลาน
โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ส่องแสงสีแดงเป็นวงกว้าง เหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานในตอนกลางคืน ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจวนสวีเป็นดั่งความอุดมสมบูรณ์ของโลกใบนี้ มั่งคั่ง สงบสุข ร่มเย็น
ในวันแรกของวันตรุษจีนต้องเข้าวังไปถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮา ในช่วงบ่ายก็จะเริ่มไปอวยพรปีใหม่ให้แต่ละจวน จนถึงวันที่สิบถึงจะได้หยุดพัก
ท่านน้าชายของสวีซื่อฉินมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหัน
“…เด็กๆ โตกันแล้ว ควรจะวางแผนสำหรับอนาคตแล้ว” เขานั่งบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างสงบนิ่ง เป่าใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยชาแล้วพูดว่า “พี่เขยต้องการให้ข้าช่วยหาอาจารย์ที่ดีให้แก่เด็กๆ ไปร่ำเรียนที่ตรอกซานจิ่ง จากนั้นก็สอบเป็นบัณฑิตชั้นสูงหรือจู่เหรินเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่สกุลสวี ก่อนหน้านี้ไม่ได้หาอาจารย์ให้ ต่อมาพอหาอาจารย์ได้แล้วก็ดันใกล้กับช่วงตรุษจีนจึงได้ล่าช้ามาจนถึงวันนี้ ข้าตั้งใจมาปรึกษากับท่านโหว ดูว่าเด็กๆ จะย้ายเรือนเมื่อไรดี เมื่อถึงเวลานั้นท่านน้าชายอย่างข้าก็จะต้องพาบรรดาบ่าวรับใช้มาช่วยงานด้วยอย่างแน่นอน”
หากสวีซื่อฉินต้องการจะย้ายออกไปก็ย่อมได้ แต่สวีลิ่งอี๋ไม่ควรเป็นคนพูดเรื่องนี้ออกมา มิเช่นนั้นคนอื่นจะเข้าใจผิดคิดว่าสวีซื่อฉินถูกเขาไล่ออกจากจวน สวีลิ่งอี๋กำลังรอให้คนหาทางลงให้มาตลอด ตอนนี้สกุลกานหาบันไดทางลงให้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องตามน้ำไปด้วย
“ในเมื่อทำเพื่อการศึกษา จะย้ายออกไปก็ย่อมได้” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นรอให้ผ่านเทศกาลโคมไฟในวันที่สิบห้าไปก่อนแล้วค่อยหารือกันก็ยังไม่สาย”
เป็นเพียงแค่การแสดงฉากหนึ่งเท่านั้น!
ท่านน้าชายของสวีซื่อฉินไม่คิดเช่นนั้น บอกว่าไว้วันที่สิบเก้าเดือนหนึ่งค่อยมาปรึกษากัน จากนั้นก็คุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
ฟังซื่อพึ่งจะรู้แผนของแม่สามี นางอยู่ในช่วงที่ลำบากมากแต่กลับทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเริ่มเก็บของใส่หีบ
โชคดีตอนที่นางพึ่งเข้ามา หีบส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปิดออก ไม่มีอะไรให้ต้องจัดการมากจึงค่อยๆ เก็บของไป ไม่นานก็ถึงวันที่สิบของเดือนแรก
พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของนางนามว่าฟังจี้ออกเดินทางจากเจียงหนานมาเยี่ยนจิงอย่างกะทันหัน
สวีลิ่งอี๋ออกหน้าต้อนรับเขาด้วยตัวเอง
ฟังจี้อายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปร่างหน้าตาเหมือนฟังซื่อเป็นอย่างมาก ยืนข้างกันดูก็รู้ว่าเป็นญาติพี่น้อง
เขาเป็นคนนอบน้อม ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต่ำต้อย “…มาเข้าร่วมการสอบในฤดูใบไม้ผลิ นึกขึ้นได้ว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มก็ไม่สู้เดินทางพันลี้จึงได้เข้าเมืองหลวงมาล่วงหน้า อยากจะชมประเพณีท้องถิ่นของเยี่ยนจิง” จากนั้นก็ให้คนยกอาหารท้องถิ่นของหูโจวมา “ท่านอาหญิงคิดถึงน้องหญิงอยู่เสมอจึงลงมือทำอาหารที่นางชอบด้วยตัวเองแล้วให้ข้านำมาด้วย”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าฟังจี้ท่าทางสง่างามจึงชอบเขาเป็นอย่างมาก แนะนำสวีซื่อจุนให้เขารู้จัก แล้วให้สวีซื่ออวี้พาฟังจี้ไปพบฟังซื่อ
ฟังซื่อดีใจเป็นอย่างมาก นำของกินที่ในวังพระราชทานให้ไท่ฮูหยินแล้วไท่ฮูหยินมอบให้ตนมาต้อนรับฟังจี้ แล้วไปชงชาต้าหงเผาที่สืออีเหนียงให้มาด้วยตัวเอง
ฟังจี้เห็นว่านางร่าเริงกว่าตอนก่อนแต่งงานมาก การตกแต่งในเรือนก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ ในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา ชาบนโต๊ะก็มีราคาสูงจึงได้วางใจ “ดูเหมือนว่าที่ท่านอาหญิงยืนหยัดจะให้เจ้าแต่งเข้าสกุลสวีนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว!”
ฟังซื่อหน้าแดง พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ก็รู้จักแต่พูดเรื่องข้า ทำไมไม่พูดเรื่องของตัวเองบ้างเล่า คราวที่แล้วที่ส่งจดหมายมาไม่ได้บอกว่าจะมาถึงเยี่ยนจิงกลางเดือนสองหรอกหรือ เหตุใดจึงมาถึงเร็วเช่นนี้ หรือว่าอาการเก่ากำเริบจึงต้องมาถึงก่อนล่วงหน้า”
นายท่านฟังที่ลาออกจากฝ่ายตุลาการเหลือเพียงแค่ฟังจี้ที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ส่วนบุตรคนอื่นๆ เป็นของนายอำเภอฟัง เขารักและเอ็นดูอย่างมาก เลี้ยงจนกลายเป็นคนที่มีงานอดิเรกชอบการสะสมทองและอัญมณี เมื่อเห็นของดีก็มักจะนำจี้หยกหรือสิ่งของต่างๆ ที่มีอยู่กับตัวไปแลกมาจนโดนท่านแม่บ่นอยู่หลายครั้ง
ฟังจี้ถูกน้องสาวพูดแทงใจดำจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย มองซ้ายมองขวาแล้วพูดขึ้นมาว่า “อากาศที่เยี่ยนจิงช่างหนาวเสียจริง อาหารการกินของที่นี่เนื้อสัมผัสก็ค่อนข้างหยาบ ข้าว่าพอสอบเสร็จแล้วข้ากลับไปเจียงหนานดีกว่า!”