มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา “คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสองเจ้าคะ มีคุณชายน้อยฟังท่านหนึ่งบอกว่าเป็นสหายของท่าน ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ!”
แซ่ฟัง? เป็นสหายของข้า?
คนแซ่ฟังที่ตนรู้จักมีคนเดียวนั่นก็คือฟังจี้ แต่ว่าฟังจี้เป็นพี่ชายของพี่สะใภ้ใหญ่ หากอยากพบตัวเอง เพียงแค่บอกกับคนเฝ้าประตูก็ย่อมมีบ่าวรับใช้พาเขาเข้ามาเอง…
สวีซื่ออวี้อดสับสนไม่ได้ เมื่อเห็นว่าจิ่นเกอกำลังหลับสนิทจึงกำชับอาจินสองสามประโยคแล้วไปที่ห้องโถงบุปผา
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยของฟังจี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “พี่ใหญ่ฟังมีอะไรหรือ ท่านบอกสาวใช้ว่าเป็นสหายของข้า ข้าก็เดาอยู่นาน…” พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ฟัง เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ฟังจี้สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อพบสวีซื่ออวี้ก็ไม่ได้มีรอยยิ้มเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นสวีซื่ออวี้ถามเขา เขาก็ลากสวีซื่ออวี้ไปที่มุมกำแพงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดเสียงเบาว่า “หลิวเส่าเหยียนถูกคนของศาลว่าการควบคุมตัวไปแล้ว!”
หลิวเส่าเหยียนเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมเขียนหนังสือหมื่นอักษร
สวีซื่ออวี้ตกใจจนหน้าซีด แอบรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
“เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร” เขาพูดเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ฟังมาหาข้า มีเรื่องอันใดต้องการให้ข้าทำหรือ”
ถามอย่างตรงไปตรงมา
แววตาของฟังจี้แฝงไว้ด้วยความชื่นชม รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องเหล่านี้ จึงสงบสติอารมณ์แล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่มีคนสนิทในเยี่ยนจิง เจ้าช่วยข้าไปสืบดูได้หรือไม่ว่าหลิวเส่าเหยียนต้องโทษอะไร มีผู้ร้องทุกข์หรือหลักฐานหรือไม่”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้ลังเล พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ฟังจะรอข้าอยู่ที่นี่ หรือจะไปรอที่ตรอกซานจิ่ง”
ฟังจี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าไปรอเจ้าที่หอชุนซีดีกว่า! ตอนนี้ไม่รู้สถานการณ์เป็นอย่างไร เดี๋ยวจะไปทำให้ผู้อาวุโสตื่นตระหนกกัน พวกเขาจะเป็นกังวล”
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของเขา สวีซื่ออวี้ก็นึกถึงมิตรภาพที่เขามีต่อตนในหลายวันมานี้ พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ฟัง มีบางคำไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบฟัง ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องพูดให้ท่านฟัง”
ฟังจี้ตกตะลึง
ในความรู้สึกของเขา สวีซื่ออวี้ไม่เพียงแต่เป็นคนสุภาพ ซ้ำยังระมัดระวังทั้งการกระทำและคำพูด…นึกไม่ถึงว่าจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
“ข้าไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น” เขายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “มีอะไรก็พูดมาได้เลย! พูดจบก็จะได้ไปทำธุระให้ข้า”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นในแววตาของสวีซื่ออวี้
เขาชอบไปมาหาสู่กับคนอย่างฟังจี้
“ข้าว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ต้องบอกกับผู้อาวุโส!” เขาพูดเสียงเบาว่า “มีใครบ้างที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำอะไรโง่งม ข้าเชื่อว่าที่ศาลว่าการควบคุมตัวหลิวเส่าเหยียนไป จะต้องมีผู้ร้องทุกข์และหลักฐานอย่างแน่นอน พี่ใหญ่ฟังจะได้เตรียมการล่วงหน้าได้ถูก”
ฟังจี้เป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป “เจ้าหมายความว่า…”
“แม้ว่าฮ่องเต้จะต้องการกำจัดหลี่จง แต่การที่ต้องการกำจัดหลี่จงกับการถูกบังคับให้กำจัดหลี่จงนั้นไม่เหมือนกัน” สวีซื่ออวี้พูดอย่างมีนัยยะว่า “ข้าจำได้ว่าในช่วงตอนต้นของการก่อตั้งแคว้น บัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิได้เขียนหนังสือหมื่นอักษรเรื่องคดีทุจริตของหลี่หรุ่ย ขุนนางผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาของสำนักศึกษาเหวินหยวนเก๋อ สุดท้ายแล้วแม้ว่าหลี่หรุ่ยจะถูกตัดหัว แต่บัณฑิตบางคนที่เข้าร่วมการสอบถูกห้ามไม่ให้เข้าสอบตลอดชีวิต และบางคนก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมการสอบเป็นเวลาสามปี…”
สวีซื่ออวี้ยังไม่ทันได้พูดจบฟังจี้ก็เหงื่อท่วมหลังแล้ว
เขาโค้งคำนับสวีซื่ออวี้
“บุญคุณนี้ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” ฟังจี้ขัดจังหวะคำพูดของสวีซื่ออวี้ “ข้าจะไปหารองเจ้ากรมหลิวประเดี๋ยวนี้ ทางด้านของพี่เส่าเหยียนต้องรบกวนให้น้องชายช่วยเป็นธุระให้สักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ไม่สามารถวางมือ ไม่เข้าไปยุ่งไม่ได้”
สวีซื่ออวี้พูดขึ้นมาว่า “ข้าจะไปศาลว่าการประเดี๋ยวนี้ เมื่อมีข่าวจะแจ้งให้พี่ใหญ่ทราบทันที” จากนั้นก็ฝากข้อความไว้ให้สืออีเหนียง บอกว่าเขากับฟังจี้ออกไปทานข้าวกันแล้ว จากนั้นก็ออกจากจวนไปพร้อมกับฟังจี้
เมื่อสืออีเหนียงทราบข่าวก็ไม่ได้สนใจมากนัก ประการแรกคือสวีซื่ออวี้โตแล้ว มีสังคมเป็นของตัวเองนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ประการที่สองฟังจี้ก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเจียงหนาน การที่ได้คบค้าสมาคมกับเขาและได้รู้จักกับสหายใหม่ๆ ผ่านทางเขาถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออนาคตของสวีซื่ออวี้ในภายภาคหน้า
นางเพียงเรียกเหวินจู๋มา “หากคุณชายน้อยสองขัดสนเรื่องเงิน เจ้าก็มาเอาเงินสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากข้าได้”
เหวินจู๋รีบพูดขึ้นมาว่า “ปกติแล้วคุณชายน้อยสองไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร มีเงินพอใช้อยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรกับนางมาก หันหลังแล้วไปดูจิ่นเกอ
จิ่นเกอพึ่งตื่น กำลังนั่งทานผิงกั่วอยู่ข้างเตียงเตา เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามาก็กางแขนออกจะให้นางอุ้ม
สืออีเหนียงอุ้มเขาขึ้นมาแล้วป้อนผิงกั่วให้เขา พูดกับเขาตามปกติว่า “…ตอนที่แม่ไม่อยู่จิ่นเกอทำอะไรหรือ วันนี้นอนกลางวันหรือยัง ทานอาหารเย็นหรือยัง นี่เป็นผิงกั่วที่ท่านป้าของเจ้าหรือฮองเฮาองค์ปัจจุบันประทานให้ ว่ากันว่าเป็นเครื่องบรรณาการจากซานตง ท่านป้าเจ็ดของเจ้าแต่งไปอยู่สถานที่ที่หนึ่งในซานตงเรียกว่าเกาชิง พอเจ้าโตแล้วข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นที่นั่น…”
จิ่นเกอเอียงคอ กระพริบดวงตาที่เป็นประกายมองไปยังสืออีเหนียง ราวกับสงสัยว่ามารดากำลังพูดอะไรอยู่ สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้ ลูบศีรษะจิ่นเกอด้วยความทอดถอนใจ “เจ้าอายุเกือบหนึ่งปีครึ่งแล้ว ข้าพูดคุยกับเจ้าอยู่ทุกวัน เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบข้าบ้าง”
******
สวีซื่ออวี้ใช้เวลาตามสืบอยู่ถึงสองวันก่อนจะกลับไปเล่าให้ฟังจี้ฟัง
“รองเจ้ากรมหลิวว่าอย่างไรบ้าง” เขาถามสถานการณ์ของฟังจี้ก่อน
“ตอนนี้ยังไม่รู้เลย” อาจเป็นเพราะว่าการโจมตีในช่วงแรกได้ผ่านไปแล้ว ท่าทางของฟังจี้จึงค่อนข้างสงบ เขายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงหลิวบอกว่า ในเมื่อฮ่องเต้มีความคิดนี้แล้วก็ต้องมีคนที่โชคร้ายอย่างแน่นอน แต่ก็คงไม่ทำเกินไป ให้ข้าวางใจแล้วเตรียมตัวสำหรับการสอบ เรื่องอื่นๆ เขาจะช่วยออกหน้าให้เอง” แล้วพูดต่ออีกว่า “หลายวันมานี้ข้าก็คิดดูอย่างละเอียด หากไม่สามารถเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิได้ก็ไม่เป็นอะไร เพียงแต่ว่าจะทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นัยน์ตาของเขาก็หม่นหมองลง “ไหนจะท่านอาอีก เดิมทีก็เป็นคนไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับใคร หากไม่ใช่เป็นเพราะท่านพ่อไปล่วงเกินผู้มีอำนาจในราชสำนักจนต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับบ้านเกิด เขาก็คงไม่ต้องเดินทางเป็นหมื่นลี้กลับมาและทุกข์ทรมานเพราะได้รับผลกระทบจากเรื่องนั้น เดิมทีคาดหวังว่าข้าจะสอบผ่านจอหงวน เช่นนี้ท่านอาก็จะสามารถปล่อยวางหน้าที่รับผิดชอบในตระกูลได้ เมื่อกลับไปหูโจวก็ทำการเกษตรพลางศึกษาร่ำเรียนไปด้วย ใช้ชีวิตปลีกวิเวกไปตามหาความสงบตามธรรมชาติ…”
สวีซื่ออวี้ตกใจ “พี่ใหญ่หมายถึงบิดาของพี่สะใภ้ใหญ่หรือ”
ฟังจี้พยักหน้า สีหน้ารู้สึกผิด “ท่านอาหวังว่าข้าจะสอบติดบัณฑิตจิ้นซื่อมาโดยตลอด แต่ข้ากลับกลัวข้อจำกัดของตำแหน่งนั้น จึงได้ทำตัวเสเพลมาตลอด ท่านพ่อกับท่านอาก็ทำเป็นไม่เห็น ปล่อยให้ข้าทำตัวไร้สาระ…ถ้าหากครั้งนี้ทำให้ข้าไม่สามารถเข้าร่วมการสอบได้ตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าท่านพ่อกับท่านอาจะผิดหวังมากแค่ไหน…แม้ว่าน้องสองจะอายุยังน้อย แต่ก็เรียนหนังสือได้ไม่ดีเท่าตอนที่ข้ายังเด็ก ไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถค้ำจุนครอบครัวได้หรือไม่…” เขาพูดพึมพำ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ร่าเริงขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเถิดไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ในเมื่อเจ้ามาก็แสดงว่ามีข่าวของพี่เส่าเหยียนแล้ว ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่”
สวีซื่ออวี้รีบสงบสติอารมณ์ พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่หลิวถูกควบคุมตัวเพราะว่าต้องโทษบังคับขู่เข็ญสตรี มีทั้งผู้ร้องทุกข์และหลักฐานครบครัน”
ฟังจี้ได้ฟังแล้วก็ตกตะลึงเล็กน้อย “แม้ว่าพี่เส่าเหยียนจะหลงใหลในสตรี แต่ครอบครัวก็ร่ำรวย ไม่เห็นต้องไปบังคับขู่เข็ญสตรีเลย!”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังดังนั้นก็แอบรู้สึกหวาดกลัว
******
บางทีการดิ้นรนของรองเจ้ากรมหลิวอาจจะเป็นผล บางทีฮ่องเต้อาจจะรู้สึกว่าแค่จับคนที่มีข้อบกพร่องทางศีลธรรมเพียงไม่กี่คนก็พอแล้ว ในวันที่สิบแปดเดือนสาม ฟังจี้เข้าสู่สนามสอบได้อย่างราบรื่น ทำให้สวีซื่ออวี้และสวีซื่อฉินที่มาส่งเขาต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทั้งสองคนไปที่ตรอกซานจิ่ง
เมื่อฟังซื่อรู้ก็พนมมือท่อง “อมิตตาพุทธ” จากนั้นก็ไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ที่ห้องพระ พูดพลางถอนหายใจว่า “หวังว่าครั้งนี้พี่ใหญ่จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เช่นนี้ท่านพ่อก็จะได้กลับหูโจว ส่านซีไม่ใช่สถานที่สำหรับให้คนอาศัย”
สวีซื่อฉินคาดไม่ถึงเล็กน้อย
ฟังซื่อตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองพูดผิดไป
พ่อสามีของตัวเองก็รับราชการอยู่ที่ส่านซี ซ้ำยังมีความสุขในหน้าที่
เหมือนพยายามจะแก้ไข นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่คงไม่รู้ว่าคนเจียงหนานอย่างพวกเรา หากคนในสกุลที่มีฐานะสอบติดบัณฑิตจิ้นซื่อ จากนั้นก็ออกไปรับราชการสักสองสามปี ก็นับว่ามีคำอธิบายให้แก่บรรพบุรุษแล้ว”
สวีซื่อฉินเคยได้ยินคนพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าในราชสำนักก็มีคนเจียงหนานเยอะแยะมากมาย!”
ฟังซื่อเพียงแต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
สวีซื่ออวี้นึกถึงสินสอดทองหมั้นสองหมื่นตำลึงของฟังซื่อ ยิ้มแล้วพูดว่า “เกรงว่าส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวที่ยากจนกระมัง!”
ฟังซื่อรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูตัดสินมากเกินไป ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าคนสกุลเดิมของข้ารักความสะดวกสบาย ดังนั้นจึงได้เป็นเช่นนี้” แต่ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ดี เลยถามสวีซื่ออวี้ว่า “ข้าเชิญคนครัวเยี่ยนจิงคนใหม่มา ทำขาหมูอร่อยมาก ท่านพี่อยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันดีหรือไม่”
สวีซื่ออวี้คิดว่าตัวเองกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ จึงยิ้มพลางตอบตกลง
ออกเรือนแต่เช้าแล้วกลับมาตอนค่ำ ไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่งสามวันแล้ว ตอนเย็นก็ไปรับฟังจี้กลับจากสนามสอบ
“พี่ใหญ่ฟัง วันนี้สอบหัวข้ออะไรหรือ” สวีซื่ออวี้รับตะกร้าสัมภาระมาจากฟังจี้
ฟังจี้ดวงตาพลันเป็นประกาย “คัมภีร์วิจารณ์พจน์คือหัวข้อ ‘หากประเทศมีคุณธรรม คำพูดก็เพียงพอที่จะเชื่อถือได้’ คัมภีร์ทางสายกลางคือหัวข้อ ‘ทุกอย่างจะสำเร็จได้หากเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าและสามารถล้มเหลวได้หากไม่มีการเตรียมพร้อม’ คำกล่าวของเมิ่งจื่อคือหัวข้อ ‘ทุกคนมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่หัวใจของความเมตตาก็คือจุดสิ้นสุดของความเมตตาเช่นกัน’ หัวข้อประพันธ์บทกวีคือ ‘เฝ้ามองหิมะละลายหลังฝนตกที่หนานซาน’”
“อ้อ!” สวีซื่ออวี้สนใจเป็นอย่างมาก “แล้วพี่ใหญ่ฟังตอบว่าอย่างไรบ้าง”
แต่สวีซื่อฉินกลับเห็นว่าฟังจี้มีสีหน้าเหนื่อยล้า รีบพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลังเถิด กลับไปทานข้าวก่อน ทานข้าวแล้วพวกเจ้าจะจุดเทียนคุยกันทั้งคืนก็ย่อมได้!”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปที่ตรอกซานจิ่ง สุดท้ายก็จุดเทียนคุยกันทั้งคืนจริงๆ ฟังจี้รู้ว่าสวีซื่ออวี้ต้องการรวบรวมข้อสอบจึงอาสาช่วยเขา สวีซื่ออวี้กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นแน่นอนว่าเขาคาดไม่ถึง ทั้งสองคนปรึกษากันอยู่นาน ตัดสินใจว่าฟังจี้จะรับผิดชอบรวบรวมข้อสอบเตี่ยนซื่อสามอันดับแรก ส่วนสวีซื่ออวี้จะรับผิดชอบรวบรวมข้อสอบฮุ่ยซื่อสิบอันดับแรก เมื่อถึงวันประกาศรายชื่อ ทั้งสองคนก็รีบไปดูผล แม้ว่าผู้คนจะเยอะแยะมากมาย แต่สวีซื่ออวี้ก็สังเกตเห็นชื่อของฟังจี้อย่างรวดเร็ว เพราะชื่อของเขาอยู่อันดับหนึ่งในตำแหน่งฮุ่ยหยวนหรือผู้ที่สอบได้อันดับสูงสุด
เขาตะโกนเรียกฟังจี้ด้วยความตื่นเต้น ฟังจี้กลับยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็โอบไหล่สวีซื่ออวี้อย่างมีความสุข “ไปกันเถิด พวกเราไปดื่มสุราที่หอชุนซีกัน วันนี้ไม่เมาไม่กลับ ข้าเลี้ยงเอง”
สวีซื่ออวี้ปิติยินดีเป็นอย่างมาก พยักหน้าตอบรับอย่างไม่หยุด
สวีซื่อฉินกลับลากทั้งสองคนมา “พวกเจ้ารอก่อน พวกเจ้ารอก่อน ข้าจำได้ว่าปีนี้สามีของพี่หญิงห้าของอาสะใภ้สี่ก็เข้าร่วมการสอบด้วยเช่นกัน นามว่าเฉียนหมิง พวกเราหาชื่อของเขากันเถิด จะได้ไปบอกข่าวดีกับท่านอาสะใภ้สี่”
สวีซื่ออวี้พึ่งจะนึกขึ้นได้ ฉับพลันก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ฟังจี้ที่ได้รับข่าวดีกำลังดีใจเป็นอย่างมาก เห็นอะไรก็เจริญหูเจริญตาไปหมด รีบกำชับสวีซื่ออวี้ “เจ้าหารายชื่อทางด้านนี้ ข้าจะหารายชื่อตรงนี้ ส่วนน้องเขยไปหารายชื่อด้านนั้น รีบดูให้เสร็จจะได้ไปดื่มสุรากัน”
ทั้งสองคนขานรับพร้อมกัน เบียดเข้าไปในฝูงชน ไม่ง่ายเลยที่จะหาชื่อเฉียนหมิงเจอในความแออัดเช่นนี้
“เฉียนหมิงเมืองอี๋ชุนลำดับที่สามร้อยสามสิบสอง” ฟังจี้ตะโกนเสียงดัง “คงจะเป็นคนผู้นั้นที่เจ้าพูดถึง ดูจากลำดับรายชื่อแล้วคาดว่าน่าจะเป็นบัณฑิตระดับสาม”
สวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้อดหันมามองหน้ากันไม่ได้ “เช่นนั้นพวกเราควรจะไปรายงานดีหรือไม่”
ฟังจี้ไม่เห็นด้วย “บัณฑิตระดับสามมีข่าวดีอะไรต้องไปบอกกัน พวกเจ้าทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว พวกเราไปดื่มสุรากันเถิด!”