ทันใดนั้นอากาศในศาลาว่าการก็ราวกับถูกแช่แข็ง
ไม่มีขุนนางคนใดคาดคิดว่าจะมีคนยอมพูดชื่อของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนออกมา
ทันทีที่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนได้ยินชื่อของของตัวเอง เขาก็กำที่เท้าแขนของเก้าอี้เอาไว้แน่น และพยายามทำเป็นไม่สะทกสะท้านต่อข้อกล่าวหาของคนคนนั้น
เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองย่อมรอดพ้นจากความผิดนั้นได้
ณ เวลานี้ ต่อให้มีคนกล่าวหาเขา แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด คำพูดนั้นย่อมไม่อาจส่งผลกระทบอันใดต่อเขาได้มากนัก
แต่ทุกอย่างอาจพังไม่เป็นท่าได้ หากเขาลุกลี้ลุกลนขึ้นมาในตอนนี้
อดีตฮ่องเต้กลับดูเยือกเย็นยิ่งกว่า เขาดูเหมือนไม่สะทกสะท้านกับเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหันไปมองเขา แล้วถามว่า ”ผู้อาวุโสอวิ๋น ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายป้ายสีมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เป็นผู้อาวุโสมา ตระกูลของกระหม่อมก็ใหญ่โตขึ้นเสียจนกระหม่อมไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ทุกคนทำได้พ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนพูดต่ออย่างช้าๆ ”คนบางคนก็เชื่อคนง่าย ทันทีที่ชื่อของกระหม่อมถูกเอ่ยถึง พวกเขาก็จะหลับหูหลับตาเชื่อในข่าวลือนั้นทันที ดังนั้นบรรดาคนทุจริตเหล่านั้นจึงใช้โอกาสนี้เพื่อกุข่าวเกี่ยวกับกระหม่อมขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จึงย่อมมีคนสงสัยเคลือบแคลงในตัวกระหม่อมอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ อย่างไรเสียกระหม่อมก็มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเลี่ยวจริง แต่กระหม่อมก็มีคำถามที่ต้องถามกับคนผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ หากท่านบอกว่าเจ้าของที่แท้จริงของภัตตาคารไห่ปินคือข้า แล้วท่านมีหลักฐานหรือเปล่า”
เมื่อคนคนนั้นได้ยินคำถามของเขา เขาก็หันไปมองบรรดาเพื่อนร่วมอาชีพที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างเขา
แต่คนพวกนั้นกลับทำเพียงส่ายหน้าให้กับเขา
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสรู้คำตอบในสิ่งที่ตัวเองถามอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
เพราะบทสนทนาเหล่านั้นล้วนแต่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร
ไม่มีการบันทึกคำพูดของพวกเขาเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด
อีกอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากภัตตาคารไห่ปินตรงๆ หากในเวลานี้มีคนนำบัญชีของภัตตาคารไห่ปินและบัญชีของศาลาว่าการมาเทียบกัน มันก็ยังพอหาเจอว่าเงินที่หายไปจากศาลาว่าการนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ภัตตาคารนี่เอง แต่ด้วยสาเหตุที่เงินจำนวนนั้นถูกซ่อนเอาไว้อย่างปลอดภัยลับหลังสายตาของทุกคน มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจนำมาใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้
“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเย้ยหยัน ”ข้ารู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์ย่อมออกมาเป็นเช่นนี้” พอพูดจบ เขาก็หันหน้าไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับระบายออกมาว่า ”องค์ชาย กระหม่อมขอยอมรับในสิ่งที่ได้ทำผิดไป มันเป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะที่ไม่สามารถอบรมสั่งสอนคนของตัวเองได้อย่างเหมาะสม แต่กระหม่อมไม่เคยทำร้ายประชาชนเพียงเพราะเห็นแก่เงิน กระหม่อมไม่ค่อยรู้กฎของกรมขุนนางมากนัก แต่คนพวกนี้ก็ควรมีหลักฐานก่อนให้การปรักปรำผู้ใดนะพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าผู้นี้ไม่มีหลักฐานแม้แต่อย่างเดียว แต่เขากลับเชื่อในข่าวเท็จเหล่านั้น และพยายามกล่าวหากระหม่อม เขาทำให้ชื่อเสียงของกระหม่อมเสื่อมเสียอย่างมาก กระหม่อมหวังว่าองค์ชายจะให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!
เมื่อคนคนนั้นได้ยินดังนี้ เขาก็รีบตะโกนขึ้นมาว่า ”ท่านโกหก! องค์ชาย! อย่าไปฟังเขา เขาโกหก! สิ่งที่กระหม่อมพูดล้วนแต่เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ! ตอนที่กระหม่อมมาถึงเมืองหลวงประจำมณฑล กระหม่อมเองก็อยากเป็นขุนนางที่ดีเหมือนกัน แต่ในเมืองหลวงประจำมณฑลกลับมีรากของความทุจริตฝังลึกเกินไป กระหม่อมไม่สามารถขัดขืนพวกเขาได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเข้าร่วมกับพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ! ตอนอยู่ที่ภัตตาคารไห่ปิน ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนยังเคยให้สัญญากับพวกกระหม่อมด้วยตัวเองด้วยซ้ำว่า ตราบใดที่พวกกระหม่อมไม่นำความลับของภัตตาคารแห่งนั้นไปแพร่งพรายให้ใครรู้ อนาคตราชการของพวกกระหม่อมก็จะราบรื่นไม่มีอะไรมาขวางกั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใต้เท้า ข้านับถือในความพยายามเอาตัวรอดจากการถูกลงโทษของท่านยิ่งนัก” ผู้อาวุโสเหลือบตามองผู้คนที่อยู่รอบตัวพร้อมกับเอ่ยอย่างเหน็บแนมว่า ”ถ้าตอนอยู่ที่ภัตตาคารไห่ปิน ข้าเอ่ยเช่นนั้นกับพวกท่านจริง ทำไมถึงมีเพียงท่านคนเดียวที่ออกมากล่าวหาข้าหรือ”
คนคนนั้นมองไปรอบๆ แล้วถามกับชายที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวเองว่า ”ใต้เท้าหลี่ พูดอะไรบ้างสิ ตอนนั้นท่านก็อยู่ที่นั่นเหมือนกันมิใช่หรือ”
“ข้า ข้า…” ใต้เท้าหลี่กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความประหม่า แต่สุดท้ายก็เบือนสายตาไปอีกทางเมื่อได้เห็นสีหน้าของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน จากนั้นจึงพึมพำขึ้นมาว่า ”ใต้เท้าจาง ท่านแน่ใจหรือว่ามิได้จำผิด วันนั้นผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนมาที่นั่นก็จริง แต่ข้าดื่มหนักมากจนจำอะไรแทบไม่ได้ ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนอาจจะ… ไม่ได้พูดเช่นนั้นก็ได้กระมัง”
ใต้เท้าจางตกตะลึง เขาค้านกลับทันทีว่า ”ตอนนั้นท่านก็ตอบคำถามได้ชัดเจนฉะฉานดี ท่านจะเมาได้อย่างไร”
“ข้าจำไม่ได้จริงๆ” ใต้เท้าหลี่ยืนกรานพร้อมกับก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
รอยยิ้มของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเต็มไปด้วยความเย็นชาชั่วร้ายขณะเอ่ยอย่างอวดดีว่า ”ใต้เท้าจาง พวกเราไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ท่านกลับพยายามใส่ความข้าแบบนี้ คนอื่นๆ ก็บอกว่ามันไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น แต่ท่านกลับบังคับให้พวกเขาโกหกเพื่อเข้าข้างท่าน หากคนชั่วร้ายอย่างท่านตายไปคงจะส่งผลดีต่อทุกคนมากกว่า!”
“ท่าน!” ขุนนางจางไม่สนใจคำพูดของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน เขากลับคว้าคอเสื้อของขุนนางหลี่ขึ้นมาแล้วตะคอกใส่ว่า ”ทำไมเจ้าถึงไม่พูดความจริง ทำไม! มาถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรพวกเราก็คงไม่รอดแน่! เราควรลากตัวคนที่มันทำให้เราต้องทรมานลงนรกไปด้วยกันไม่ใช่หรือ”
อย่างที่ขุนนางจางว่า เขาเคยต้องการที่จะเป็นขุนนางที่ดี
แต่บางครั้งมันก็ช่วยไม่ได้ หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันแล้วครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะยิ่งถลำลึกลงไปอีกเรื่อยๆ เท่านั้น
ตอนนี้เขาอยากทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนตาย กระนั้นเขากลับยังพบว่ามันช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ตระกูลใหญ่เหล่านี้มีอำนาจและอิทธิพลต่อขุนนางมากเกินไป ไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้
ขุนนางหลี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ
เขาทำได้เพียงแค่ทำตามคำสั่งนั้นเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
เขาคิดจะแนะนำให้ขุนนางจางไตร่ตรองเรื่องนี้ดูให้ดีอีกที เพราะอย่างไรมันก็มีเหตุผลที่ทุกคนไม่ยอมลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้
ถ้าความผิดของพวกเขามีเพียงแค่การทุจริต อย่างมากที่สุดก็คงถูกโยกย้ายไปอยู่ในเขตทุรกันดารใกล้แนวชายแดน
แต่ถ้าพวกเขาเข้าไปยุ่งกับผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนโดยไม่มีหลักฐานแน่นหนาละก็ ผลที่ตามมาย่อมมีได้เพียงอย่างเดียว สุดท้ายเขาย่อมไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงอันใดจากเรื่องนี้ แต่เป็นคนที่กล่าวหาเขาเสียอีกที่จะสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพยย์สินของตัวเองไป
ผลลัพธ์ทางไหนเบากว่า ย่อมเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว
แม้ขุนนางทุกคนจะสามารถยืนขึ้นเพื่อเป็นพยานยืนยันให้กับใต้เท้าจางได้ แต่พวกเขากลับยังคงทำเพียงแค่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเท่านั้น
เพราะไม่มีใครกล้าที่จะแหย่รังแตน
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนพอใจกับการเชื่อฟังของพวกเขาอย่างมาก
แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ไม่ยอมเชื่อฟังเขาอยู่
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนมองคนคนนั้นอย่างข่มขู่ แล้วเอ่ยว่า ”เอาล่ะ ใต้เท้าจาง การแสดงจบลงแล้ว”
ขุนนางจางกำหมัดแน่น แล้วทุบกำปั้นนั้นลงกับพื้นอย่างแรงด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนยิ้มเย้ยหยันอยู่ในใจ แต่เขากลับทำหน้าเศร้ายิ่งนักขณะเอ่ยว่า ”องค์ชาย ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตาลงเมื่อสบเข้ากับตาของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน
แต่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนกลับไม่ยอมถอยเลยแม้แต่น้อย เขารู้จักวิธีการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดี ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาได้ไกลเพียงเท่านี้เพราะใช้วิธีการนั้นเพียงวิธีเดียว หากองค์ชายไม่เข้าใจหัวใจคนและไม่เข้าใจวิถีทางทางการเมือง เขาเองก็คงไม่มีหนทางที่จะทำอะไรเขาได้
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับจ้องอยู่ที่เขาราวสามวินาที ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นว่า ”เงาทมิฬ นำตัวใต้เท้าจางไปขัง ข้าจะสอบปากคำเขาทีหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬขานรับคำสั่งด้วยความเคารพ
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนกระตุกยิ้มพร้อมกับมองขุนนางจางด้วยสายตาพอใจ
เขาดูท้อแท้และสิ้นหวังอย่างยิ่ง
คนอื่นๆ กำลังคิดกับตัวเองว่า แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องกลายเป็นเช่นนี้ โชคดีที่พวกเราไม่ได้โง่เหมือนอย่างคนแซ่จางที่ฉวยโอกาสตรงหน้ากล่าวหาผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน!
แต่สีหน้าของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เขากล่าวว่า ”เขาอาจไม่มีหลักฐาน แต่ข้ามี”