เป็นไปไม่ได้!
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนตัวสั่นในทันใด!
แต่เขาพบว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังก้มหน้าลงมองเขาอย่างดูถูกพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า สีหน้าหยิ่งผยองบนใบหน้าอันสูงศักดิ์นั้นดูเหมือนเขากำลังมองเหยื่อที่ใกล้จะสิ้นใจ
ความรู้สึกน่าขนลุกนี้ทำให้ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝันนั้นเอ่ยขึ้นว่า ”ผู้อาวุโสอวิ๋นคิดหรือว่าคุกใต้ดินในศาลาว่าการจะสามารถขังข้าเอาไว้ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้ากลับมาแล้วตวัดสายตามองชายที่ยืนอยู่ข้างนางเมื่อนางได้ยินคำพูดนั้น สำหรับนางแล้วมันค่อนข้างชัดเจนทีเดียวว่าห้องขังธรรมดาขังเขาเอาไว้ไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น องค์ชายสามหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งของจำพวกโซ่และกุญแจมือมาโดยตลอด เขาถึงกับสร้างกรงไว้เหนือเตียงพวกเขาที่ห้องบรรทมเชียวนะ
ต่อให้เขาจะไม่สนใจ แต่เขาก็ยังสามารถบดขยี้ประตูเหล็กที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นผุยผงได้โดยที่เหงื่อไม่ตกสักหยด แล้วนับประสาอะไรกับกุญแจมือธรรมดาๆ แค่อันเดียวหรือ
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าวันนี้องค์ชายสามจะเป็นผู้ปลดล็อกกุญแจนั้นออกด้วยตัวเอง แล้วใช้ทักษะวิชาตัวเบาอันไร้คู่ต่อสู้นั้นออกไปเดินเล่นที่นอกห้องขังอย่างไม่กลัวเกรง
จากนั้นเขาก็กลับมาที่ห้องขัง แล้วจับตัวเองใส่กุญแจมืออีกครั้ง…
หืม ฟังแล้วก็ดูเป็นสิ่งที่เขาน่าจะทำจริงๆ
ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้ ดังนั้นนางจึงเคลื่อนสายตาไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนเองก็ไม่ใช่คนโง่ อันที่จริงนั้นเขารู้ดีทีเดียวว่าองค์ชายสามเก่งกาจเพียงใด และยังรู้อีกด้วยว่าพลังปราณของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
แม้กระทั่งสิบแปดอรหันต์ทองคำแห่งวัดเส้าหลินก็ยังไม่สามารถกักขังชายผู้พิชิตทั่วทั้งจักรวรรดิมาแล้วอย่างเขาได้ แล้วห้องขังธรรมดาๆ เช่นนั้นจะทำอะไรเขาได้หรือ…
ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนรู้สึกเย็นที่หลังคอทันทีที่คิดได้ดังนี้
ในเมื่อเขาสามารถหนีออกไปได้ง่ายๆ ทำไมเขาถึงรอจนกระทั่งถึงเวลาเปิดศาลล่ะ
นอกจากว่า!
นอกจากว่าเขากำลังรอเวลานี้อยู่!
คำตอบนั้นทำเอานัยน์ตาของเขาหดเข้าหากัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสัมผัสแหวนเงินที่นิ้วชี้ด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับไม่ใช่รอยยิ้ม พร้อมกับเอ่ยว่า ”ข้ารู้รายละเอียดทุกอย่างอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เจ้ามาถึงเมืองหลวงประจำมณฑล หรือจะเป็นเวลาที่เจ้าพบกับเลี่ยวฉิงเทียน อย่างไรทุกครั้งก่อนที่เขาจะมาสอบปากคำข้า เขาก็มักจะแวะไปยังที่แห่งหนึ่งก่อนเสมอ”
ดังนั้น… ที่ท่านยอมเข้าคุกโดยสมัครใจก็ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการฆ่าเลี่ยวฉิงเทียน แต่เป็นเพราะว่าการทำเช่นนี้จะทำให้สามารถสะกดรอยตามเขาง่ายขึ้นหรือ
ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกับเฮยเจ๋อสบตากันอย่างเงียบๆ
คนที่ไร้ยางอายเช่นนี้คงมีเพียงแค่องค์ชายคนเดียวเท่านั้น
เลี่ยวฉิงเทียนน่าสงสารขนาดไหนน่ะหรือ ก็ขนาดที่ว่าแม้กระทั่งตายไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกองค์ชายสามสะกดรอยตามอย่างไรล่ะ!
เพราะอย่างนี้เจ้าถึงไม่ควรเล่นแง่กับองค์ชายสาม เพราะสุดท้ายคนที่จะต้องถูกทำลายจนย่อยยับก็คือตัวเจ้านั่นเอง!
“พี่สาม ท่านสุดยอดไปเลย!” เจ้าเจ็ดพูดเสียงดังด้วยความกระตือรือร้น เขามองพี่สามด้วยความเคารพเลื่อมใสมาโดยตลอด จากนั้นเขาจึงเสริมว่า ”นี่สิถึงจะเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับจัดการกับคนพวกนี้!”
ขันทีซุนเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าเขาควรจะเลี้ยงองค์ชายเจ็ดกับองค์ชายสามแยกกันหรือไม่ เพราะองค์ชายเจ็ดนั้นยังคงเป็นเด็กอยู่ มันคงวุ่นวายทีเดียวหากเขามีจิตใจบิดเบี้ยวตั้งแต่อายุยังน้อยถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองคนก็มักจะหาเรื่องปวดหัวมาให้เขาเป็นประจำอีกด้วย
“เจ้าเป็นคนออกคำสั่งกับปากตัวเองให้เลี่ยวฉิงเทียนฆ่าทุกคนที่เข้ามาหาเรื่องภัตตาคารไห่ปิน และเพราะคำสั่งนั้น จึงนำมาสู่การสังหารหมู่ในตรอกนั้นนั่นเอง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดช้าๆ ”เจ้าประเมินใต้เท้าเวยเวยของพวกข้าไว้ต่ำเกินไป เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถก่อความวุ่นวายขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของนางได้”
เขาชมข้าจริงๆ หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลอบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ในฐานะราชินีนักรบ นางย่อมไม่มีวันยอมให้ใครเข้ามาหาเรื่องได้โดยเด็ดขาด นี่คือบรรทัดฐานของนาง!
เมื่อเห็นสีหน้าภูมิใจของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กลั้นยิ้ม ก่อนจะดึงนางเข้ามากอด
สีเลือดบนใบหน้าของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนราวกับถูกดูดหายไปจนหมด เขาพูดตะกุกตะกักว่า ”นี่มัน… มันก็เป็นเพียงแค่คำพูดของท่าน องค์ชายสาม นี่ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้…”
“ดูเหมือนเจ้าคงอยากให้ข้าใช้ไม้ตายสินะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างหลัง แล้วบอกว่า ”นี่คือกู่ที่เจ้ามอบให้เลี่ยวฉิงเทียนตอนที่เจ้ามาถึงเมืองหลวงประจำมณฑล”
มีขวดแก้วใสขวดหนึ่งวางอยู่บนมือของเงาทมิฬ และเมื่อมองให้ดีจะเห็นว่ามีแมลงสีแดงสดตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่ด้านใน แม้จะตัวไม่ใหญ่นัก แต่เขาขนาดใหญ่ที่หัวก็ทำให้มันดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า ”ตอนนี้ข้าจะคืนให้เจ้าก็แล้วกัน”
เขาเปิดฝาขวดทันทีที่พูดจบ และทิ้งแมลงตัวนั้นลงไปบนแขนของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน
ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนจะมีเวลาได้ตั้งตัว มันก็ชอนไชเข้าไปใต้ผิวหนังของเขาในชั่วพริบตา!
“ไม่!” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนกระชากตัวหนึ่งในข้ารับใช้เข้าหาตัวพร้อมกับตะโกนลั่นด้วยความหวาดกลัว ”รีบไปหาร่างของเลี่ยวฉิงเทียนเดี๋ยวนี้ เขามียาแก้พิษอยู่กับตัว! รีบไปสิ!”
แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว กู่ตัวนั้นเคลื่อนที่ไปตามเส้นเลือดของเขา ความเร็วของมันเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจในทันทีที่มันได้ลิ้มรสชาติของเลือด
เสียงดังอึกๆ นั้นทำเอาขุนนางทุกคนถึงกับขนลุกเกรียวไปตามๆ กัน
ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ดวงตาของผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนก็ไม่หลงเหลือแสงสว่างอีกต่อไป เขาทำเพียงมองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ภาพนั้นดูคล้ายกับว่าเขาได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมดสิ้นแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามด้วยท่าทางสบายๆ ว่า ”เจ้าของที่แท้จริงของภัตตาคารไห่ปินคือใครหรือ”
“ข้าเอง” ผู้อาวุโสเฮ่อเหลียนตอบพร้อมกับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
โครม!
เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังไปทั่วศาลาว่าการ
ขุนนางทุกคนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหลังจากได้ยินคำนั้น
เวลานี้ ทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
พวกเขาถึงคราวจบสิ้นเสียแล้ว
อดีตฮ่องเต้ยืนขึ้นแล้วหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะประกาศว่า ”ทุกคนจงฟัง! เฮ่อเหลียนอวิ๋นเข่นฆ่าประชาชน ให้ความร่วมมือกับผู้กระทำผิด และยังทำร้ายองค์ชายรัชทายาทเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของตน ดังนั้นเขาย่อมสมควรได้รับโทษกับความผิดที่เขาได้กระทำ! จากวันนี้เป็นต้นไป ขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภัตตาคารไห่ปินจะต้องถูกสอบสวนโดยละเอียด ข้าไม่สนใจว่าพวกเขาจะมาจากเมืองหลวงประจำมณฑลหรือจะมาจากเมืองหลวง แต่ข้าต้องการให้กำจัดพวกเขาซะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วศาลาว่าการ
ขันทีซุนมองเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วถามว่า ”แล้วพวกเขาล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้องค์ชายสามเป็นคนตัดสินก็แล้วกัน” อดีตฮ่องเต้รู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก ไม่ใช่เพราะร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหาก
เขารู้มาตลอดว่ามีปัญหามากมายเกิดขึ้นทั่วทั้งจักรวรรดิหลังจากที่ลงจากราชบัลลังก์
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังที่สุดนั้นคือการที่ภัตตาคารเล็กๆ อย่างภัตตาคารไห่ปินกลับสามารถทำให้คนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับมันได้มากมายถึงเพียงนี้
หากเป็นเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าคงมีอีกหลายสิ่งที่เขายังไม่รู้อย่างแน่นอน
จะปล่อยสี่ตระกูลใหญ่เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
ถ้าขืนพวกเขายังอยู่ต่อไป ราชวงศ์คงได้ถึงคราวล่มสลายแน่
ขันทีซุนสังเกตเห็นความทุกข์ใจของอดีตฮ่องเต้ได้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วกระซิบคำพูดนั้นกับเขาเบาๆ
หลังจากได้ฟังดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มองไปรอบๆ อย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า ”คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกมาเป็นพยานพิสูจน์ความจริงเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด”
ความหมายในคำพูดนั้นชัดเจนเสียจนขุนนางเหล่านั้นรู้สึกเสียใจในการตัดสินใจของตัวเอง และปรารถนาอยากย้อนเวลากลับไปอย่างยิ่ง
ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วคนที่โง่เขลาจะเป็นพวกเขาเอง
ถ้าพวกเขายืนขึ้นเมื่อถึงเวลาที่จำเป็นและพูดอะไรออกมาเหมือนอย่างที่ขุนนางจางทำ อย่างน้อยพวกเขาก็คงยังมีโอกาสรอดชีวิต
แต่ตอนนี้… สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่มีแค่เพียงความตายเท่านั้น!
พวกเขาค่อยๆ ถอดหมวกขนนกออกทีละคนพลางเตรียมใจพบกับจุดจบที่แท่นประหารชีวิต ในที่สุดตระกูลเลี่ยวที่เคยมีอำนาจปกครองเมืองหลวงประจำมณฑลมาหลายปีก็มาถึงจุดจบ
ว่ากันว่าในวันเดียวกันกับที่ขุนนางทุจริตเหล่านั้นถูกตัดหัว ประชาชนต่างก็ร่วมเฉลิมฉลองและแสดงความยินดีด้วยการจุดประทัดกันอย่างมีความสุข
มิหนำซ้ำ แถวที่บรรดาพ่อค้ายืนต่อกันเพื่อขอบคุณเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังมีความยาวตั้งแต่หน้าประตูไปจนถึงท้ายศาลาว่าการเลยทีเดียว…