สวีลิ่งอี๋นั่งบนเตียงเตา บีบมือเล็กๆ ของบุตรชาย ยิ้มพลางถามเขาว่า “เจ้าไปพายเรือมาหรือ! กล้าไม่เบาเลย!”
จิ่นเกอยิ้มกว้าง
สวีลิ่งอี๋มองไปรอบๆ
สืออีเหนียงไม่ชอบให้มีบ่าวรับใช้จำนวนมากอยู่รอบตัว โดยเฉพาะห้องด้านใน เมื่อถึงเวลาพักผ่อนตอนกลางคืน จะมีเพียงฟังซีที่มาเข้าเวรช่วยนางปูเตียงเท่านั้น
สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะบุตรชาย พูดเสียงเบาว่า “จิ่นเกอ เจ้าเรียกข้าว่าพ่ออีกครั้งสิ!” ท่าทางจริงจัง แววตามีความคาดหวังที่ไม่สามารถปิดบังได้
จิ่นเกอเอียงคอมองสวีลิ่งอี๋ เหมือนว่าไม่เข้าใจสิ่งที่สวีลิ่งอี๋พูด
สวีลิ่งอี๋มองไปรอบๆ อีกครั้ง
สืออีเหนียงกำลังกระซิบบางอย่างกับฟังซี
ในใจสวีลิ่งอี๋สงบลงเล็กน้อย หันกลับมามองบุตรชาย อยากจะให้เขาเรียกตัวเองอีกครั้ง พึ่งจะเรียกชื่อ “จิ่นเกอ” ก็เห็นบุตรชายคลานไปที่มุมที่เขามักจะซ่อนของเอาไว้ รื้อของออกมาแล้วหยิบกลองป๋องแป๋งส่งให้สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋รับกลองป๋องแป๋งมาอย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ตอนเล็กๆ เวลาจิ่นเกองอแง สืออีเหนียงก็จะเอากลองป๋องแป๋งมาให้เขาเล่น พอเขาโตขึ้นมา เวลามีคนทำหน้านิ่งเขาก็จะเอากลองป๋องแป๋งของตัวเองมาให้คนอื่นเล่น
“เจ้านี่นะ!” เขาอุ้มบุตรชายมากอดเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความเอ็นดู
สืออีเหนียงเดินมา “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านโหวไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่อยากห่างจากบุตรชาย ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ให้จิ่นเกอนอนกับพวกเราเถิด!”
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋มีความสุข จึงให้ฟังซีไปบอกกับแม่นมกู้ให้กางมุ้งแล้วช่วยจิ่นเกอถอดเสื้อผ้า
พอถอดเสื้ออ่าวออกทำให้ตัวเบาลง มือและเท้าก็เป็นอิสระ จิ่นเกอพลันรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที เขาคลานไปที่มุมเตียงแล้วหยิบหนังสือที่สวีลิ่งอี๋วางไว้ข้างหมอน
แม้ว่าในห้องจะจุดเตาให้ความอบอุ่น แต่สืออีเหนียงก็กลัวว่าเขาจะหนาว จึงหยิบหนังสือจากมือเขา แล้วรีบยัดตัวเขาเข้าไปในผ้าห่ม
จิ่นเกอนอนได้ไม่นานก็ลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ซุกซนเหมือนลิงเช่นนี้”
สืออีเหนียงยิ้มพลางยัดเขาเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง
ตอนที่จิ่นเกอยังเด็กเคยนอนกับสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็รู้สึกสนุก ยิ้มพลางปีนขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอนลงข้างๆ จิ่นเกอ จากนั้นก็ตบตูดเขาเบาๆ
จิ่นเกอกลับคลานไปด้านหลังสืออีเหนียงที่พึ่งขึ้นเตียงมา
สืออีเหนียงตกใจจนเกือบจะตกเตียง
“เจ้าเด็กคนนี้ เหมือนใครกันแน่นะ” นางยิ้มพลางกอดจิ่นเกอ รีบดึงผ้านวมมาห่ม “ไม่รู้จักระวังเลย”
“ไม่เหมือนข้าแน่นอน!” ผ้าห่มถูกดึงไป ครึ่งตัวของสวีลิ่งอี๋เลยอยู่นอกผ้าห่ม เขาขยับเข้าไปใกล้สองแม่ลูก “มีแต่คนบอกว่าข้ารู้ความมาตั้งแต่เด็ก!”
“จริงหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเลิกคิ้วเรียวงามแล้วหรี่ตามองเขา “เหตุใดข้าถึงเคยได้ยินมาว่าตอนนั้นมีเด็กซุกซนเอาไม้ไปแทงรังนกในพระตำหนักของอู๋ฮองเฮา…”
“ข้าก็เป็นเพียงลูกหลานสกุลขุนนางเท่านั้น จะไปกล้าขนาดนั้นได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋หน้าแดงพลางหายใจติดขัด “นั่นเป็นฝีมือของซุ่นอ๋องต่างหาก ข้าเป็นเพียงแค่แพะรับบาปเท่านั้น เจ้าไปเชื่อคำเหล่านี้ได้อย่างไร”
“อ้อ!” ใบหน้าสืออีเหนียงเผยให้เห็นรอยยิ้ม “ที่แท้ท่านโหวกับซุ่นอ๋องก็ไปแทงรังนกในวังของอู๋ฮองเฮาด้วยกัน ข้าก็นึกว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้กับโจวซื่อเจิงเสียอีก”
สวีลิ่งอี๋พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ราวกับว่าเขายอมแพ้แล้ว แววตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นมุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีความสุขเช่นกัน
จิ่นเกอเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขา จึงบิดตัวไปมาในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มพลางหอมแก้มเล็กๆ ของจิ่นเกอ ถอดเสื้ออ่าวออกแล้วกอดบุตรชายเข้าไปใต้ผ้าห่ม
ซ้ายมือจิ่นเกอคือบิดา ขวามือจิ่นเกอคือมารดา ประเดี๋ยวก็มองสวีลิ่งอี๋ ประเดี๋ยวก็มองสืออีเหนียง ท่าทางมีความสุขอย่างมาก
สืออีเหนียงให้จิ่นเกอนอนหนุนแขนตัวเอง พูดเสียงเบาว่า “จิ่นเกอ วันนี้เราเล่านิทานเรื่องอะไรดี” ไม่ได้รอให้จิ่นเกอเอ่ยปากตามความเคยชิน พูดต่อไปว่า “เมื่อวานพวกเราเล่าเรื่องหนี่ว์วาซ่อมฟ้า วันนี้พวกเราเล่าเรื่องจิงเว่ยถมทะเลกันเถิด!” จากนั้นก็เขี่ยจมูกน้อยๆ ของเขา ยิ้มแล้วถามว่า “ดีหรือไม่”
จิ่นเกอพยักหน้า นอนอยู่ในอ้อมแขนของมารดาอย่างเชื่อฟัง
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยนามว่าจิงเว่ย...” ท่าทางของสืออีเหนียงอ่อนโยน น้ำเสียงเบาสบายหู ภายใต้แสงไฟสว่างไสวที่สาดส่องมา ร่างกายและจิตใจของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ผ่อนคลาย เปลือกตาของเขาค่อยๆ หนักขึ้น
พอเขาตกใจตื่นก็รีบลืมตาขึ้นมา พบว่าจิ่นเกอที่นอนฟังนิทานอย่างเงียบๆ อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุดเหมือนถูกอะไรบางอย่างทิ่ม
“เป็นอะไรหรือ” สืออีเหนียงก็สังเกตเห็นเช่นกัน นางหยุดเล่านิทานแล้วถามบุตรชายเบาๆ ว่า “ไม่สบายตรงไหนหรือ”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็บิดตัวไปมาแรงกว่าเดิม
สืออีเหนียงปูเตียงด้วยตัวเอง บนเตียงไม่มีทางมีอะไรแน่นอน
สวีลิ่งอี๋ลูบหน้าผากบุตรชาย “เป็นอะไรไป” ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกว่ามือเปียกแฉะด้วยเหงื่อ “ปกติเขานอนคนเดียว” เขาสรุปทันทีว่า “ตอนนี้นอนอยู่ตรงกลางระหว่างเรา ในห้องมีทั้งเตาเผา แล้วก็ยังมีป้ารับใช้มาช่วยอุ่นเตียงให้ก่อน ไม่แปลกที่จะรู้สึกร้อน” พูดพลางลูบหลังของจิ่นเกอ ก็พบว่ามีเหงื่อเช่นกัน รีบกำชับสืออีเหนียง “รีบเรียกฟังซีให้ไปบิดผ้าชุบน้ำอุ่นมา แล้วให้แม่นมกู้ไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
สืออีเหนียงขานรับแล้วออกไป
ฟังซี อวี้เหมย แม่นมกู้ อาจินและคนอื่นๆ เดินเข้ามา คนบิดผ้าก็บิดไป คนเช็ดตัวให้จิ่นเกอก็เช็ดไป คนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็เปลี่ยนไป วุ่นวายมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งถ้วยชากว่าในห้องจะกลับมาสงบลงอีกครั้ง
ทุกคนเปลี่ยนตำแหน่งกัน สวีลิ่งอี๋นอนอยู่ด้านนอกเตียง จิ่นเกออยู่ด้านในเตียง
จิ่นเกอรีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาทันที ทำท่าทางออดอ้อนใส่สืออีเหนียง เหมือนกำลังเร่งเร้าให้นางรีบเล่านิทานต่อ
สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นางไม่ได้เล่านิทานต่อแต่กลับตบหลังจิ่นเกอเบาๆ “จิ่นเกอรีบนอนเถิด!”
จิ่นเกอบิดตัวไปมาในอ้อมแขนของนาง
สืออีเหนียงถามเขาอีกครั้ง “เป็นอะไรหรือ”
สวีลิ่งอี๋กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับแสดงสีหน้าเข้าใจอย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้พูดออกไป เฝ้ามองสองแม่ลูกอย่างระมัดระวังอยู่ข้างๆ
เมื่อจิ่นเกอเห็นว่าความต้องการของเขาไม่ได้สมดังใจจึงร้องไห้ขึ้นมา
สืออีเหนียงปลอบเขาพลางตบหลังเบาๆ “เป็นอะไร จิ่นเกอเป็นอะไร”
จิ่นเกอร้องไห้อยู่นาน สืออีเหนียงถามอยู่เพียงประโยคเดียว
สวีลิ่งอี๋เห็นบุตรชายน้ำตาไหลนองหน้า ทนไม่ได้จึงหันหน้าหนีไปทางอื่น
เสียงสั่นเครือของแม่นมกู้ดังมาจากด้านนอก “ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยหกอาจจะไม่ชินเจ้าค่ะ…”
“ไม่เป็นไร เจ้าไปนอนเถิด!” ไม่รอให้นางพูดจบ สืออีเหนียงก็ตะโกนตอบ “พวกเราจะปลอบโยนคุณชายน้อยหกเอง”
แม่นมกู้นึกขึ้นได้ว่าตอนที่จิ่นเกอยังเล็กก็มีท่านโหวเป็นคนดูแล…จึงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” แล้วกลับห้องหน่วนเก๋อไป
ในคืนที่เงียบสงบ เสียงร้องไห้ของจิ่นเกอทำเอาทุกคนตกใจ แววตาสืออีเหนียงเผยให้เห็นความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว นางถามจิ่นเกอซ้ำๆ ว่าเป็นอะไร
สองแม่ลูกไม่ยอมกันอยู่อย่างนี้มาเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว สวีลิ่งอี๋ทนไม่ไหวแล้ว พูดเสียงเบาว่า “คราวหน้าค่อยว่ากันดีหรือไม่…เด็กบางคนสี่ห้าขวบพึ่งจะเริ่มพูด พอพูดได้ก็พูดไม่หยุด…” ในใจกลับรู้ว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม มีความลังเลแฝงไว้ในน้ำเสียง
“ไม่ใช่ว่าเขาพูดไม่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องพูดเลยต่างหาก” สืออีเหนียงกัดฟันพลางส่ายหน้า “หากพวกเราไม่อาศัยโอกาสนี้ให้เขาพูดออกมา ข้ากลัวว่าเขาจะเลยอายุของการเรียนรู้ที่จะพูด พอโตมาก็จะพูดได้ไม่ชัดเจน อีกอย่างพอเขาร้องไห้เช่นนี้พวกเราก็ยอมถอยให้ ต่อไปพอเขาเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่พอใจเขาก็จะยิ่งร้องไห้รุนแรงมากขึ้น ท่านโหวคงไม่รู้ วันนี้หลังจากที่ท่านกับจุนเกอไปแล้ว อวี้เกอพาจิ่นเกอไปเล่นที่สวนดอกไม้ เด็กอายุน้อยๆ อย่างเขาร้องไห้ตั้งเกือบหนึ่งชั่วยาม ถ้าหากโตขึ้นจะเป็นอย่างไร”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
สืออีเหนียงยังคงถามจิ่นเกอเบาๆ ว่า “ทำไมถึงร้องไห้ เจ้าบอกแม่มา เจ้าไม่บอกแม่ แล้วแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าร้องไห้ทำไม”
จิ่นเกอร้องไห้พลางมองไปที่สวีลิ่งอี๋
ดวงตาของเขารื้นไปด้วยน้ำตาราวกับหยกใส
สวีลิ่งอี๋ไม่กล้ามอง ดังนั้นจึงหันไปทางอื่น เมื่อมองไม่เห็นก็จะไม่เจ็บปวด
จิ่นเกอจึงได้ยอมอ่อนลง ร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดสะอึกสะอื้นว่า “เล่านิทาน เล่านิทาน” สืออีเหนียงสูดลมหายใจลึก รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งมาราธอนสิบกิโลเมตรเสียอีก
สืออีเหนียงหอมแก้มบุตรชาย ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้เขา พูดเสียงเบาว่า “ได้สิ พวกเรามาเล่านิทานกัน พวกเราเล่าไปถึงไหนแล้ว ข้าขอคิดดูก่อน!”
ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะบอกให้จิ่นเกอพูด นางได้พัฒนานิสัยในการพูดให้มากที่สุดต่อหน้าเด็กๆ
ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่สืออีเหนียงพูดจบก็ได้ยินเสียงจากปากเล็กๆ ของจิ่นเกอพูดพึมพำว่า “จิงเว่ยเป็นนกน้อย!”
สืออีเหนียงมองบุตรชายด้วยความประหลาดใจ “จิ่นเกอ!” นางพึ่งพูดถึงตอนที่จิงเว่ยกลายเป็นนกน้อย “เจ้าจำได้ด้วยหรือว่าเมื่อครู่แม่เล่าถึงไหนแล้ว”
จิ่นเกอมองสืออีเหนียงด้วยความกลัว ท่าทางน้อยใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ อุ้มจิ่นเกอมากอด “เจ้าช่างฉลาดเสียจริง รู้ไปซะทุกอย่าง!”
จิ่นเกอกำลังตั้งตารอนิทานของสืออีเหนียง เขาไม่พอใจกับการกระทำของสวีลิ่งอี๋ จึงบิดตัวไปมาจะไปหาสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋หัวเราะพลางปล่อยให้จิ่นเกอคลานไปหาอ้อมแขนของสืออีเหนียง สืออีเหนียงเตือนเขา “ให้เขาพูด ให้เขาพูด” สวีลิ่งอี๋จึงคว้าตัวเขามากอดไว้อีกครั้ง ถามจิ่นเกอว่า “เจ้าจะทำอะไร”
จิ่นเกอมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มพลางถามเขา “จิ่นเกอจะทำอะไรหรือ”
“ข้าจะหาท่านแม่!” พูดพลางจะไปหาสืออีเหนียง
ครั้งนี้สืออีเหนียงกอดบุตรชายด้วยความดีใจ
“กว่าจะพูดคำว่าแม่ออกมานั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับพูดขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้!” ในใจนางตื่นเต้นเล็กน้อย ยิ้มพลางพูดกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ลูบผมสีดำขลับของบุตรชาย พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “แต่ในที่สุดเขาก็พูดออกมาแล้ว!” พูดจบก็ยิ้มให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงมองไปที่เขาพอดี
สายตาของทั้งสองคนมาบรรจบกัน
คนหนึ่งกำลังยิ้มอย่างร่าเริง อีกคนก็สีหน้าดูผ่อนคลายลง
นึกถึงความยืนหยัดเมื่อครู่นี้…สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงต่างก็มีความสุขที่ได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากนี้
ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เหมือนมีอะไรบางอย่างตกลงมาสู่หัวใจ…เป็นความหวานจางๆ…
******
เช้าวันรุ่งขึ้นไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเอาเค้กข้าวสาลีที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ มาให้จิ่นเกอทาน ถามสวีลิ่งอี๋ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ทำไมจิ่นเกอร้องไห้ดังลั่นเช่นนั้น”
คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะจงใจถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินจิ่นเกอที่กำลังทานขนมพูดพึมพำว่า “เล่านิทาน ท่านแม่เล่านิทาน!”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินไหนเลยจะยังสนใจถามสืออีเหนียงอีก อุ้มจิ่นเกอด้วยความดีใจ “จิ่นเกอของพวกเราพูดได้แล้ว!”