จิ่นเกอส่งยิ้มกว้างให้ไท่ฮูหยิน ในปากยังมีเค้กข้าวสาลีที่ยังเคี้ยวไม่หมด
ไท่ฮูหยินไม่สนใจเรื่องนี้ หอมแก้มเขาไปสองที
รู้สึกได้ว่าท่านย่าชอบเขา จิ่นเกอก็ยิ้มจนตาหยี
“มา” ไท่ฮูหยินลากเสียงยาว “เรียกข้าว่าท่านย่าสิ!”
จิ่นเกอเรียก “ท่านย่า” แต่ไม่ค่อยชัด
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มจนตาหยี รีบกำชับป้าตู้ “เร็ว ไปนำกำไลหินโมราแดงของข้าที่อยู่ในลิ้นชักกระจกมาใส่ให้คุณชายน้อยหก นั่นเป็นของที่ตอนที่ข้ายังเด็กเจ้าอาวาสวัดฉือหยวนซึ่งเป็นอาจารย์ของไต้ซือจี้หนิงปลุกเสกให้ เอามาใส่ให้จิ่นเกอของพวกเรา คุ้มครองให้เขาแคล้วคลาดปลอดภัย!”
“ท่านแม่ ของสิ่งนี้มีค่าเกินไปเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “เขายังเป็นเด็ก หากท่านอยากจะมอบให้เขา ก็รอให้เขาโตอีกสักหน่อยแล้วค่อยมอบให้ก็ยังไม่สาย”
ไท่ฮูหยินลูบศีรษะจิ่นเกอที่นั่งทานเค้กข้าวสาลีอยู่ในอ้อมแขนของนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนโตก็มีของขวัญสำหรับตอนโตที่จะมอบให้ ตอนเด็กก็มีของขวัญสำหรับตอนเด็กที่จะมอบให้” ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของสืออีเหนียง จากนั้นก็สอนสืออีเหนียง “วันๆ เอาแต่บ่นว่าจิ่นเกอของพวกเราไม่ยอมพูด เจ้าดูสิ ตอนนี้เขาก็พูดแล้วไม่ใช่หรือ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่ารีบร้อน เจ้าก็ไม่ยอมฟัง วันๆ เอาแต่เร่งเร้าให้ลูกพูด หากใจร้อนเกินไปจะไม่ได้ทานเต้าหู้ร้อน ทุกอย่างล้วนมีขอบเขตของมัน เมื่อถึงเวลาที่เขาควรพูดก็ย่อมพูดออกมาเอง” แล้วพูดต่ออีกว่า “โบราณกล่าวไว้ว่านกที่ปกติไม่ยอมร้อง พอร้องเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนตกตะลึง ดูจิ่นเกอของพวกเราสิ พอเอ่ยปากพูด ก็พูดเป็นประโยคเลย เหมือนเด็กทั่วไปเสียที่ไหนกัน” ขณะที่พูดในใจก็ปิติยินดีเป็นอย่างมากจึงอุ้มจิ่นเกอขึ้นมาหอมแก้มอีกสองที
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มอยู่ข้างๆ ส่วนจิ่นเกอก็ทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย พอถูกไท่ฮูหยินรบกวนเขาก็ส่งเสียงงอแงเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินรีบปล่อยเขาลง “เจ้ากินเค้กข้าวสาลีไปเถิด ท่านย่าไม่กวนเจ้าแล้ว” จากนั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “เค้กข้าวสาลีทำสดใหม่นี้อร่อยหรือไม่”
จิ่นเกอรีบพยักหน้า
ไท่ฮูหยินหันไปบอกกับอวี้ป่าน “เร็วเข้า ไปนำข้าวสาลีอีกเกือบครึ่งถุงที่ได้รับพระราชทานมาจากในวังมาให้ฮูหยินสี่”
อวี้ป่านรับคำแล้วถอยออกไป
ในจวนยังมีฮูหยินห้าอยู่ด้วย
สืออีเหนียงกำลังจะปฏิเสธ ป้าตู้ก็ยิ้มพลางถือกล่องไม้แกะสลักสีแดงเดินเข้ามา
ไท่ฮูหยินรีบพูดขึ้นมาว่า “เอามาให้ข้า!” จากนั้นก็หยิบกำไลหินโมราขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมา
หากใส่ไว้ที่มือจะใหญ่เกินไป จะแขวนไว้ที่คอก็เล็กเกินไป
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็กำชับป้าตู้ “ไปนำสร้อยลายมังกรเส้นนั้นของข้ามาใส่ให้คุณชายน้อยหก”
ป้าตู้หันไปหยิบสร้อยคอสีทองมา สร้อยคอเส้นนั้นมีขนาดเท่าหัวแม่มือเล็กๆ ของเด็กน้อย สลักลายเกล็ดมังกรอย่างประณีต ภายในห้องไม่ได้มีแสงสว่างมากนัก แต่ราวกับทะเลสาบที่ถูกแสงส่องเป็นประกายระยิบระยับก็ไม่ปาน
จู่ๆ สืออีเหนียงก็นึกถึงปลอกคอสุนัข…
นางรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ให้ข้าถักโซ่ให้จิ่นเกอดีหรือไม่เจ้าคะ” ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ไท่ฮูหยินถือสร้อยไว้ในมือ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ก็ดีเหมือนกัน สร้อยเส้นนี้แกะสลักลวดลาย อาจจะบาดมือได้ เดี๋ยวจะทิ่มคอจิ่นเกอของพวกเรา เจ้าถักโซ่สวยๆ ให้เขา จากนั้นก็ร้อยกำไลหินโมราแดงให้เขาใส่”
สืออีเหนียงรีบรับคำ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินนำสร้อยเส้นนั้นใส่ลงในกล่องไม้แกะสลักสีแดงที่ใส่กำไลหินโมราแดงอยู่ แม้ว่าสร้อยเส้นนี้จะไม่ได้ใช้ แต่ก็มอบเป็นรางวัลให้จิ่นเกอเช่นกัน
“ท่านแม่!” ครั้งนี้แม้แต่สวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกว่าให้มากเกินไปแล้ว “จิ่นเกออยู่ในวัยกำลังซน ระวังเขาจะทำหายขอรับ”
“เหลวไหล” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “ของในห้องจะหายได้อย่างไร เช่นนั้นจะมีบรรดาป้ารับใช้และสาวใช้ของเขาไว้ทำไม…”
ขณะที่ไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋กำลังพูดคุยกันอยู่ จิ่นเกอก็จ้องมองไปยังสร้อยสีทองสว่างไสวที่วางอยู่ในกล่องไม้แกะสลักสีแดงบุด้วยกำมะหยี่
เขาโยนเค้กข้าวสาลีในมือลงบนเตียงเตาแล้วไปคว้าสร้อยเส้นนั้นมา
สร้อยถูกลากออกจากกล่องมาอยู่ในมือของจิ่นเกอ
ข้างในห้องมีเสียงสิ่งของกระทบกันเบาๆ
ไท่ฮูหยินก้มหน้ามามอง
จิ่นเกอกำลังออกแรงดึงสร้อยทองเส้นนั้น
ไท่ฮูหยินหัวเราะเสียงดัง “ดึงไม่ได้นะ ดึงไม่ได้นะ!”
จิ่นเกอเงยหน้ามองไท่ฮูหยิน แววตาเป็นประกาย น่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินให้อวี้ป่านบิดผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดมือให้จิ่นเกอ ยิ้มแล้วพูดว่า “ระวังหากดึงจนขาด จิ่นเกอก็จะไม่มีใส่แล้ว!”
จิ่นเกอกลับพยายามลุกขึ้นจากอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน นำสร้อยทองทาบไว้บนคอของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า
“ไอ๊หยา! จิ่นเกอของข้า” ไท่ฮูหยินกอดหลายชาย “จะสวมสร้อยให้ย่าหรือ!”
จิ่นเกอยิ้มพลางมองไท่ฮูหยิน
“เห็นหรือไม่!” ไท่ฮูหยินหันกลับไปมองสวีลิ่งอี๋ “จิ่นเกอของพวกเราไม่ใช่เด็กที่พอถูกเอาใจแล้วจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้ามีอะไรต้องกังวลอีก เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ป้าตู้ เจ้านำของเหล่านี้ไปเก็บให้คุณชายน้อยหก”
สวีลิ่งอี๋ทำได้เพียงก้มหน้ารับคำ “ขอรับ” ส่วนสืออีเหนียงก็ยิ้มเจื่อนๆ
ฮูหยินห้าพาซินเจี่ยเอ๋อร์กับเซินเกอมาคารวะ เหลือบไปเห็นกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ
ทันใดนั้นนางก็ดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยินพลางออดอ้อน “ท่านมอบของดีให้จิ่นเกออีกแล้วหรือ เซินเกอของพวกเราก็อยากได้เหมือนกัน!”
“เจ้านี่ช่างขี้งกเสียจริง” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางบิดหูฮูหยินห้าเบาๆ “เจ้าวางใจเถิด พอเซินเกอเริ่มพูดเมื่อไร ข้าก็มีให้เช่นกัน”
“จิ่นเกอพูดได้แล้วหรือ!” ฮูหยินห้าสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ยินด้วยเจ้าค่ะพี่สี่ ยินดีด้วยพี่สะใภ้สี่” จากนั้นก็ยิ้มพลางมองจิ่นเกอ “จิ่นเกอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ข้าคืออาสะใภ้ห้าของเจ้า!”
สืออีเหนียงบอกจิ่นเกอ “เรียกอาสะใภ้ห้าสิ”
“อาสะใภ้ห้า!” จิ่นเกอพูดเสียงดังฟังชัด
ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ “เด็กคนนี้ พลังงานเหลือล้นเสียจริง!”
“นั่นน่ะสิ!” ไท่ฮูหยินท่าทางภูมิใจ “ข้าจำได้ว่าตอนเจ้าสี่ยังเด็ก ก็ไม่สูงเท่าจิ่นเกอ…”
“เช่นนั้นก็แสดงว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นทีละรุ่น!” ฮูหยินห้ามองสวีลิ่งอี๋พลางปิดปากหัวเราะ
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งพ่อบ้านไป๋มาเชิญสวีลิ่งอี๋ไปทำธุระที่เรือนนอก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไป
ป้าสือกระซิบเตือนฮูหยินห้า “ท่านพูดคำนี้ออกมาเร็วเกินไป ขอของรางวัลต่อหน้าฮูหยินสี่เช่นนี้ ในใจฮูหยินสี่จะคิดอย่างไรเจ้าคะ”
ฮูหยินห้าไม่คิดเช่นนั้น “พี่สะใภ้สี่นับว่าเป็นคนซื่อสัตย์ ข้าพูดกับนางอย่างชัดเจนเช่นนี้ นางจะได้ไม่ถือสาข้า ข้าไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ จากนั้นก็ไปนั่งรู้สึกไม่ดีอยู่ที่เรือนคนเดียว” พูดพลางหัวเราะ
ป้าสือเห็นว่าที่นางพูดก็มีเหตุผลจึงพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก เรียกสาวใช้มาปรนนิบัติฮูหยินห้าเปลี่ยนเสื้อ
ชิวอวี่นำข้าวสาลีสดใหม่มาส่ง
“ในวังพระราชทานให้ไท่ฮูหยินมาหนึ่งถุง ฮูหยินของพวกเราแบ่งไปส่วนหนึ่ง แล้วให้บ่าวนำส่วนนี้มาให้เจ้าค่ะ” คำพูดคลุมเครือเช่นนี้ไม่สามารถปิดบังคนฉลาดอย่างฮูหยินห้าได้ ป้าสือขอบคุณและให้รางวัลชิวอวี่ เมื่อส่งชิวอวี่ไปแล้วฮูหยินห้าก็เบ้ปากพูดว่า “หากไท่ฮูหยินเป็นคนมอบให้ ยอมให้อวี๋ป่านนำมาส่ง…นับว่านางอยู่เป็น!” ขณะที่พูดก็ยกมุมปากขึ้น กำชับป้าสือว่า “นำใบบัวตากแห้งในฤดูร้อนปีที่แล้วมา ไปแช่น้ำแล้วเอาไปนึ่งทำเค้กข้าวสาลีใบบัว แล้วนำไปส่งให้ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสี่”
ป้าสือขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วไปทำเค้กข้าวสาลีใบบัว
สืออีเหนียงเองก็ทำเค้กข้าวสาลีใบบัวเช่นกัน นอกจากจะส่งให้ไท่ฮูหยินแล้ว ยังส่งไปที่ตรอกกงเสียนกับตรอกซานจิ่งด้วย พวกเด็กๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย สวีซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ฤดูร้อนปีนี้ข้าจะช่วยท่านตากใบบัว!”
สวีซื่ออวี้เสนอความคิดเห็น “เพิ่มใบเอมลงไปด้วยจะยิ่งอร่อย!”
“เอาสิ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า นำโซ่ลายค้างคาวหลากสีมาทาบที่อกของจิ่นเกอ พูดขึ้นมาว่า “เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็เหลือแป้งสาลีไว้ ทำทั้งเค้กข้าวสาลีใบบัวและเค้กข้าวสาลีใบเอมอย่างละนิดละหน่อย!”
สวีซื่อจุนสงสัย ถามสืออีเหนียง “ท่านแม่กำลังทำอะไรหรือขอรับ ทำไมถึงต้องถักโซ่ให้น้องหกด้วย”
เมื่อพิจารณาถึงความสวยงาม สืออีเหนียงตัดสินใจทำเสื้อกั๊กตัวเล็กไว้ใส่ทับเสื้อคลุม จากนั้นก็นำกำไลหินโมราแดงเส้นนั้นแขวนไว้ที่ปกเสื้อด้านซ้าย
“ดูดีหรือไม่” นางถามสวีซื่อจุน
เสื้อกั๊กสีเขียวมรกต กระดุมสีขาวหยก แขวนกำไลหินโมราสีแดงด้วยโซ่หลากสี จุนเกอรีบพยักหน้า “ดูดีขอรับ!”
“แขวนเครื่องประดับหยกอื่นๆ ก็ดูดีเช่นกัน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ให้ข้าถักโซ่ให้พวกเจ้าคนละเส้นดีหรือไม่”
สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าเขาโตแล้ว ย่อมไม่ได้นับรวมเขาเข้าไปด้วย ส่วนสวีซื่อจุนก็รู้ว่าสืออีเหนียงสุขภาพไม่ดี ช่วงนี้ท่านพ่อก็ไม่ให้ท่านแม่ทำงานเย็บปัก มีเพียงสวีซื่อเจี้ยที่รีบพูดขึ้นมาว่า “เอาขอรับ! ท่านแม่ทำให้ข้าสักหนึ่งอัน ตอนตรุษจีนท่านย่ามอบหยกบริสุทธิ์ให้ข้าหนึ่งอัน ข้ามีเสื้อกั๊กสีเหลืองอยู่หนึ่งตัว จะได้เอามาแขวนหยกอันนั้นพอดี”
หากถามว่าในบรรดาเด็กๆ เหล่านี้สืออีเหนียงชอบใครมากที่สุด คำตอบก็คือสวีซื่อเจี้ย ไม่ว่านางจะพูดอะไรสวีซื่อเจี้ยก็จะตอบกลับนางเสมอ ซ้ำยังตอบได้ตรงกับความคิดของนาง ก็เหมือนตอนนี้ที่เขาคล้อยตามความคิดของสืออีเหนียงจับคู่เสื้อผ้าและเครื่องประดับออกมาได้ค่อนข้างโดดเด่น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเริ่มหัดวาดภาพกับอาจารย์จ้าวแล้วหรือ”
“ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วพูดว่า “พึ่งเริ่มฝึกลายเส้น”
“เช่นนั้นผ่านไปอีกสักพักช่วยวาดแบบให้ข้าสักสองภาพหน่อยสิ”
“ได้ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยดีใจมาก ความสุขเหล่านั้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นความจริงใจ “ท่านแม่ต้องการให้วาดลวดลายแบบไหน หากข้าวาดได้ไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปขอให้อาจารย์จ้าวช่วยวาดให้”
“ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นลายที่ง่ายมาก หากเจ้าวาดได้ไม่ดี ข้าจะสอนเจ้าเอง”
สวีซื่อเจี้ยรีบรับปาก วิ่งไปอยู่ตรงหน้านาง “ท่านแม่จะเริ่มวาดเมื่อไรขอรับ”
สืออีเหนียงเห็นว่าเขาเต็มไปด้วยความสนใจ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “วันมะรืนเจ้าหยุดเรียน เช่นนั้นเป็นวันมะรืนดีหรือไม่”
“พรุ่งนี้ก็หยุดเรียนเช่นกัน” สวีซื่อเจี้ยพูดต่อไปว่า “อาจารย์จ้าวมีเพื่อนที่ไปร่วมสอบเตี่ยนซื่อ อาจารย์จ้าวต้องไปส่งเขา”
สืออีเหนียงถามสวีซื่ออวี้ “พรุ่งนี้เจ้าต้องไปส่งคุณชายฟังหรือไม่ จะให้ข้าตระเตรียมรถม้าไว้ให้เจ้าหรือไม่”
สวีซื่ออวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ให้รถม้าไปส่งข้าที่ตรอกซานจิ่งเถิดขอรับ! จากนั้นข้ากับพี่ใหญ่ค่อยไปส่งพี่ใหญ่ฟังด้วยกัน” ไม่ได้เกรงใจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
สืออีเหนียงให้ชิวอวี่นำป้ายคู่ไปจัดการที่เรือนนอก
จากนั้นจู๋เซียงก็กลับมา
“ของได้นำไปส่งหมดแล้วเจ้าค่ะ อี๋เหนียงบอกว่าขอบคุณคุณหนูที่คิดถึง ให้ข้านำถุงหอมที่ทำเองกับมือมาให้บรรดาคุณชายน้อย” ทางด้านตรอกซานจิ่งเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่ได้บอก
สืออีเหนียงก็ไม่ได้ถาม เมื่อถึงกลางคืนจู๋เซียงปรนนิบัตินางล้างหน้าจึงได้ถามเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้นที่ตรอกซานจิ่งหรือ”
จู๋เซียงพูดเสียงเบาลงว่า “ฮูหยิน บ่าวเห็นรถม้าหนึ่งคันจอดอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นฮูหยินสาม คุณนายใหญ่เพียงแค่ขอบคุณที่บ่าวนำของมาส่ง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ได้พูดอะไรเจ้าค่ะ!”