หากจู๋เซียงไม่ได้มองผิด ฮูหยินสามกลับมาในเวลานี้ ไม่ไปคารวะไท่ฮูหยิน ฟังซื่อก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึง…ต้องเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
จะเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าฟังซื่อมีดวงพิฆาตสามีหรือไม่
สืออีเหนียงครุ่นคิดพลางกำชับจู๋เซียงเสียงเบาว่า “พวกเราก็ไม่กล้าฟันธงว่าฮูหยินสามได้กลับมาเยี่ยนจิงหรือไม่ แม้ว่านางจะกลับมาเยี่ยนจิงแล้ว การทำเช่นนี้แสดงว่าไม่อยากให้พวกเรารู้ พวกเราก็แค่ทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว!”
“ฮูหยินวางใจได้” จู๋เซียงรีบพูดขึ้นมาว่า “บ่าวจะระวังเจ้าค่ะ”
จู๋เซียงไม่เพียงแต่มีไหวพริบ ทั้งยังทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ร่าเริงน้อยกว่าหู่พั่ว แต่อ่อนโยนมากกว่า เหมือนดอกไม้แต่ละชนิดที่มีลักษณะเด่นต่างกัน
สืออีเหนียงพึ่งพาอาศัยพวกนางมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าจู๋เซียงกับหู่พั่วเหมือนกับมือซ้ายและมือขวาของตัวเองที่ไม่สามารถขาดไปได้
นางนึกถึงหู่พั่ว “ผิงอานดีขึ้นแล้วกระมัง”
หู่พั่วให้กำเนิดบุตรชายคนโตเมื่อวันที่สิบเก้าเดือนแปดปีที่แล้ว ตั้งชื่อว่าผิงอานให้คล้องตามชื่อบุตรของปินจวี๋ ตอนนี้ผ่านไปเป็นเวลาแปดเดือนแล้ว ปีที่แล้วบอกว่าเป็นไข้จากลมหนาวจึงขอให้พ่อบ้านไป๋ช่วยไปเชิญหมอหลวงอู๋จากสำนักหมอหลวงมาตรวจให้ เมื่อสืออีเหนียงรู้ก็ให้จู๋เซียงนำสมุนไพรไปส่งให้ ซ้ำยังไปเยี่ยมด้วยตัวเองหนึ่งครั้ง
“แม้ว่าจะดีขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไออยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ” จู๋เซียงยิ้มแล้วพูดว่า “หมอหลวงอู๋บอกว่าตราบใดที่คอยดูแลในช่วงที่ประเดี๋ยวเป็นประเดี๋ยวหาย พอเด็กอายุเลยสิบขวบไปแล้วก็จะสามารถหายขาดได้”
ผิงอานป่วยเป็นโรคไอเรื้อรัง
“เจ้าไปบอกกับหู่พั่วว่าหากเด็กต้องการสมุนไพรอะไรหรือว่าต้องหาหมอแบบไหนก็ให้นางบอกกับพ่อบ้านไป๋ได้เลย ทางฝั่งของพ่อบ้านไป๋ข้าได้ไปพูดไว้เรียบร้อยแล้ว”
จู๋เซียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ตอนที่บ่าวไปเยี่ยมพี่หู่พั่ว พี่เยี่ยนหรงก็ไปเยี่ยมพี่หู่พั่วเช่นกัน ซ้ำยังพาอวี้เจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของนางไปด้วยเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นางก็ไปด้วยหรือ”
“เดิมทีอยากจะกลับมาคำนับฮูหยินพร้อมกับบ่าว แต่อวี้เจี่ยเอ๋อร์งอแงไม่หยุด จึงให้ข้ากลับมาคารวะฮูหยินแทนนาง” พูดพลางยืนตัวตรงจะคำนับสืออีเหนียง
กลัวจะเข้ามาสร้างปัญหาให้นางในจวนเสียมากกว่า!
สืออีเหนียงยิ้มพลางจับมือนาง “เจ้าแค่นำคำมาบอกก็พอ ข้ารู้ถึงความตั้งใจของนางก็เพียงพอแล้ว!”
จู๋เซียงเข้าใจนิสัยของนางดี จึงไม่ได้ดึงดัน พูดขึ้นมาว่า “พี่เยี่ยนหรงยังบอกอีกว่า โชคดีที่มีฮูหยิน พี่เขยเฉาจึงได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้ดูแลเจ้าค่ะ”
“เฉาอานก็นับว่าเป็นคนขยันหมั่นเพียร” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อให้ไม่มีข้า ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ดูแลอยู่ดี”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องทั่วไป เสียงของสวีลิ่งอี๋ดังมาจากด้านนอก “สืออีเหนียง เจ้าล้างหน้าเสร็จแล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงรีบตอบเสียงดัง สวมเสื้ออ่าวแล้วออกมาจากห้องชำระ “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอนั่งอยู่ที่หัวเตียง ซ้ำยังถือหนังสือเล่มหนาอยู่ในมือ
“เจ้ารีบมา” เมื่อเขาเห็นว่าสืออีเหนียงออกมา ก็มีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “จิ่นเกออยากฟังนิทานเรื่องจิงเว่ยถมทะเล…” เขาพูดยังไม่ทันจบ จิ่นเกอที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เบะปากแล้วยืนขึ้น
“ท่านแม่!” เขากางแขนออก ทำท่าทางเหมือนอยากให้อุ้ม “ท่านแม่ เล่านิทาน!” น้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
สืออีเหนียงรีบเข้าไปอุ้มเขา
พึ่งสังเกตเห็นว่าหนังสือที่สวีลิ่งอี๋ถืออยู่ในมือคือตำราขุนเขามหาสมุทร
นางเหงื่อแตกพลั่ก
นิทานเรื่องจิงเว่ยถมทะเลเป็นเพียงนิทานภาษาจีนโบราณสั้นๆ เท่านั้น คนหนึ่งรู้จักแต่อ่านตามหนังสือให้ฟัง คนหนึ่งก็เป็นเด็กที่ฟังได้แต่ภาษาพูดทั่วไป…ไม่แปลกเลยที่สองพ่อลูกจะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
สืออีเหนียงคิดวิธีหาตรงกลาง
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอแล้วนั่งลง หยิบตำราขุนเขามหาสมุทรมา เล่าเป็นประโยคจีนโบราณผสมกับประโยคภาษาพูดทั่วไป
แม้ว่าจะมีบางประโยคที่ฟังไม่เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเนื้อเรื่องที่เขาคุ้นเคยอยู่แล้ว จิ่นเกอจึงสงบลงทันที พอสืออีเหนียงเล่าไปถึงหน้าที่หก เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป
สวีลิ่งอี๋ทำตัวไม่ถูก “ปกติเจ้ากล่อมจิ่นเกอนอนด้วยวิธีนี้หรือ”
สืออีเหนียงกลัวว่าจะทำให้จิ่นเกอที่พึ่งหลับไปตื่นขึ้นมา เลยพยักหน้าพลางตบตูดจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็อุ้มบุตรชายไปวางไว้บนเตียง
“ปกติข้าใช้ภาษาพูดเล่านิทานให้จิ่นเกอฟังเจ้าค่ะ!” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ตอนนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมพูดไม่ใช่หรือ ข้าจึงทำได้เพียงพูดกับเขาบ่อยๆ หวังว่าเขาจะเรียนรู้ได้บ้างสักสองสามคำ” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร มองสืออีเหนียงแล้วลูบศีรษะจิ่นเกออย่างแผ่วเบา
สืออีเหนียงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “ข้าอยากดึงเนื้อหาบางส่วนของตำราปฐมวัยมาทำเป็นสมุดภาพให้จิ่นเกอเรียนรู้ ท่านโหวคิดว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“ความคิดนี้ไม่เลวเลย” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าที่อาจารย์จ้าวสอนเจี้ยเกอจนแตกฉานได้ก็ใช้วิธีนี้เช่นกัน ได้ผลค่อนข้างดีเลยทีเดียว”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นไปคารวะไท่ฮูหยิน ได้พบกับฟังซื่อ แต่กลับไม่เห็นสวีซื่อฉิน หลังจากที่สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนย้ายไปอยู่ที่ตรอกซานจิ่ง จะฝนตกหรือแดดออกทั้งสองคนและฟังซื่อก็จะมาคารวะไท่ฮูหยินอยู่เสมอ
“เหตุใดวันนี้ฉินเกอกับเจี่ยนเกอถึงไม่มาเล่า” สืออีเหนียงยิ้มพลางถามนาง
“วันนี้มีธุระเล็กน้อยเจ้าค่ะ” ฟังซื่อยิ้มแล้วพูดอีกว่า “ปกติจะมาเวลานี้ กลัวว่าหากมาสายท่านย่าจะเป็นห่วงจึงให้ข้ามาก่อน พวกเขาคงใกล้จะมาแล้ว!” จากนั้นนางก็พูดคุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
หลังจากนั้นไม่นาน สองพี่น้องสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนก็มา พูดเหมือนกับที่ฟังซื่อพูด
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกลับเรือนพร้อมกับสวีซื่อเจี้ย
ระหว่างทางนางถามเกี่ยวกับสมุดภาพของอาจารย์จ้าว
“…แต่ละประโยคจะใช้กระดาษแผ่นเล็กๆ มาวาดเป็นรูปภาพ บางครั้งอาจารย์จ้าวก็นำกระดาษเหล่านั้นใส่ไว้ในกล่องไม้สีดำใบเล็ก ใครจับได้ประโยคไหนก็ให้ท่องประโยคนั้น สนุกอย่างมาก” จากนั้นก็ร้อง “เอ๊ะ ท่านแม่จะสอนจิ่นเกอหรือขอรับ” เขามองจิ่นเกอที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้ากับสาวใช้อาจิน เบิกตาโต “พออาจารย์จ้าวกลับมาข้าจะช่วยท่านแม่ไปขอจากอาจารย์จ้าวมาสักชุดดีหรือไม่!” เขาให้คำสัญญาอย่างเต็มใจ
เมื่อสืออีเหนียงเห็นเด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ก็อดหัวเราะไม่ได้ พูดขึ้นมาว่า “ข้าอยากลองให้จิ่นเกอเรียนรู้ตัวอักษรสักหน่อย เมื่อถึงเวลาต้องไปเรียนจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก” ทั้งยังอยากรู้ว่าอาจารย์จ้าววาดภาพอะไรบ้าง พูดต่อไปว่า “อาจารย์จ้าวมีสมุดภาพเช่นนี้หลายชุดหรือ”
สวีซื่อเจี้ยตอบว่า “พี่สี่หนึ่งชุด ข้าหนึ่งชุด แล้วข้ายังเจอในห้องหนังสือของอาจารย์จ้าวอีกหนึ่งชุด!”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าไปขอจากอาจารย์จ้าวสักหนึ่งชุดเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม เมื่อกลับไปที่เรือนก็ให้ชิวอวี่ไปหยิบกระดาษมา “พวกเรามาวาดแบบกัน” พูดพลางจรดพู่กันลงบนกระดาษ “วาดลวดลายพืชน้ำสักสองสามแผ่นให้คนที่ร้านมงคลสมรส ให้พวกเขาปักไว้รอบขอบผ้าสี่ด้าน ตรงกลางเว้นที่ว่างไว้ ทำให้ดูโล่งและเรียบง่าย”
สวีซื่อเจี้ยเห็นสืออีเหนียงลงพู่กันได้อย่างคล่องแคล่วก็เบิกตาโต “ท่านแม่ ท่านเก่งมากขอรับ เหมือนที่อาจารย์จ้าววาดทุกอย่างเลย”
“จะเหมือนทุกอย่างเลยได้อย่างไร!” สืออีเหนียงยิ้มพลางส่งพู่กันให้สวีซื่อเจี้ย “เจ้าวาดตามแบบนี้ได้หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยตอบตกลงแล้ววาดตามนาง
แม้ว่าจะวาดได้ไม่ลื่นไหล แต่หากดูตามอายุของเขาแล้ว นี่ถือว่าหาได้ยากมาก
สืออีเหนียงเอ่ยชมเขาไม่หยุด “นึกถึงตอนนั้นที่ข้าเรียนลากเส้นกับอาจารย์ ใช้เวลาอยู่กว่าครึ่งปีกว่าจะแตกฉาน”
สวีซื่อเจี้ยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมาก แนะนำว่า “วาดแค่ลายพืชน้ำสีเขียวไม่ค่อยสวยเท่าไร ข้าว่าพวกเราวาดดอกจื่อเถิงประดับไว้บนต้นพืชน้ำด้วยดีกว่า เช่นนี้จะทำให้มีสีสันสดใสมากขึ้น”
สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน พวกเราหาดอกไม้อีกสองสามชนิดมาปักดีกว่า!”
“ดอกสายน้ำผึ้งดีหรือไม่ ดอกมะลิเล่าขอรับ”
ทั้งสองคนคุยไปหัวเราะไป พอถึงตอนเย็นก็วาดไปได้เจ็ดแปดรูปแล้ว
ตอนไปคารวะไท่ฮูหยิน ฟังซื่อยืนหยัดที่จะมาคารวะ แต่สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนอ้างว่ามีงานสังสรรค์จึงไม่สามารถมาได้
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “อายุน้อยๆ เช่นนี้ กำลังเป็นเวลาที่ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน มีงานสังสรรค์อะไรที่จำเป็นต้องไป”
ฟังซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ได้ถาม พอกลับไปจะส่งคนไปถามแล้วกลับมารายงานท่านย่าเจ้าค่ะ”
หรือว่าจะเป็นความรู้สึกที่ผู้อาวุโสมีต่อเด็กๆ ไท่ฮูหยินไม่เพียงรักและเอ็นดูซินเจี่ยเอ๋อร์ จิ่นเกอ และเซินเกอ แม้แต่ฟังซื่อก็ยังเอ็นดูเป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ต้องไปถามหรอก!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวเขาจะคิดว่าเจ้ามาฟ้องข้า รอผ่านไปสักสองสามวันข้าจะถามเขาเอง”
ฟังซื่อรีบย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกลับหันไปพูดกับสืออีเหนียงอย่างทอดถอนใจ “มีคนที่ซื่อตรงเหมือนเจ้าอีกคนแล้ว! หากเป็นตานหยางก็คงกอดข้าแล้วทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไปนานแล้ว”
“น้องสะใภ้ห้ามีความเป็นตัวของตัวเอง ข้าไม่อาจเทียบได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างเกรงใจ
ฟังซื่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
ต่อมาอีกไม่กี่วัน สองพี่น้องสวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยน และฟังซื่อก็ไม่ได้มาคำนับไท่ฮูหยินพร้อมกันเช่นเคย อย่าว่าแต่สืออีเหนียง แม้แต่ไท่ฮูหยินที่เห็นเช่นนี้ก็ยังรู้สึกสงสัย
นางถามสืออีเหนียง “เด็กสองคนนี้คงไม่ได้ทะเลาะกันหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนี้ ท่านอาสะใภ้อย่างเจ้าก็คงต้องไปดูแล้วช่วยเกลี้ยกล่อมพวกเขาสักหน่อย”
สืออีเหนียงเหมือนได้รับมันเทศร้อนๆ มาถือไว้ในมือ ในฐานะหย่งผิงโหวฮูหยินที่เป็นผู้ดูแลจวนย่อมไม่มีเหตุผลจะบ่ายเบี่ยงได้
นางยิ้มพลางรับปาก กำลังจะกำชับให้ป้าซ่งไปเตรียมรถม้า สวีซื่ออวี้ก็มาขอพบ
“ท่านย่า ท่านแม่” เขาโค้งคำนับ สีหน้ามีความภาคภูมิใจอย่างปกปิดไม่ได้ “พี่ชายคุณนายใหญ่หรือคุณชายฟังสอบได้อันดับสามขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วก็ดีอกดีใจ “นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” จากนั้นก็พูดกับสวีซื่ออวี้ว่า “เจ้าไปบอกกับท่านพ่อของเจ้าด้วย เขาจะได้ดีใจ”
สวีซื่ออวี้รีบพูดขึ้นมาว่า “ข่าวนี้ท่านพ่อเป็นคนบอกข้ามาขอรับ”
ในเมื่อสวีลิ่งอี๋เป็นคนถามมา เช่นนั้นก็ต้องมีข่าวของเฉียนหมิงอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงให้ชิวอวี่ไปถาม
ชิวอวี่กลับมา “ได้ลำดับที่สามร้อยเก้า เป็นบัณฑิตระดับสามเจ้าค่ะ”
สุดท้ายก็ไม่มีปฏิหารย์เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ทางด้านของฟังจี้ สกุลสวีได้สั่งกล่องเครื่องเขียนจากไม้หวงหยางของร้านตัวเป่าเก๋อส่งไปให้ ทางฝั่งของเฉียนหมิงสวีลิ่งอี๋ได้เดินทางไปหาด้วยตัวเอง
“ขอให้ข้าช่วยให้เขาได้เป็นปลัดอำเภอ” สวีลิ่งอี๋กลับมาพลางยิ้มอย่างลำบากใจ “บอกว่าแทนที่จะไปเป็นหัวหน้ากรมสอบสวนหรือเป็นคณะราชทูต ไม่สู้ไปเป็นปลัดอำเภอที่เขตอำเภอดีกว่า ทำผลงานให้สำเร็จเพื่อจะได้เลื่อนขั้นเป็นนายอำเภอหรือฝ่ายปกครอง”
“แล้วท่านโหวว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าคิดว่าเช่นนี้ก็ดี” สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำว่า “เจิ้นซิ่งจะออกจากตำแหน่งแล้ว ข้าอยากให้เขาไปอยู่ที่หกกรม”
ถ้าหากเฉียนหมิงก็อยู่ที่หกกรม เช่นนั้นก็จะสะดุดตาเกินไป
“แล้วพี่ใหญ่เห็นด้วยหรือไม่”
“ท่านพ่อตาเห็นด้วย” สวีลิ่งอี๋ตอบไม่ตรงคำถาม “ข้าแค่ทำตามความประสงค์ของพ่อตา”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย
มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงาน “บัณฑิตทั่นฮวาคนใหม่มาแล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางไปที่ห้องโถงบุปผาเรือนนอก