พอได้เป็นทั่นฮวาแล้วก็มาเยี่ยมสวีลิ่งอี๋?
สืออีเหนียงอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
แม้ว่าทั้งสองสกุลจะเป็นดองกันแต่ก็ส่งของขวัญแสดงความยินดีไปแล้ว นอกเสียจากว่าฟังจี้จะมีเรื่องขอร้องสวีลิ่งอี๋ มิเช่นนั้นเวลานี้ควรจะไปเยี่ยมอาจารย์และสหายร่วมชั้นเรียนจึงจะถูก…แม้ว่าจะมีเรื่องขอร้องสวีลิ่งอี๋ แต่เพื่อแสดงความเคารพก็ควรจะมาแต่เช้าตรู่!
นางบ่นพึมพำในใจ นำโซ่ค้างคาวหลากสีที่ถักเสร็จแล้วใส่ลงในถุงเงินสีแดงปักลายดอกกล้วยไม้หยกสีขาว กำชับจู๋เซียงว่า “เจ้านำไปส่งให้คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยเจ็ด คุณหนูใหญ่ และคุณหนูสองคนละอันด้วยตัวเอง”
จู๋เซียงยิ้มพลางรับโซ่ถักมา
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงผ้าม่านถูกเปิดออก สวีลิ่งอี๋สีหน้าดูไม่พอใจ เดินก้าวเข้ามาในห้อง สาวใช้ที่ยืนเวรอยู่ตรงประตูมองมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
สวีลิ่งอี๋เป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า
สืออีเหนียงใจเต้นตึกตัก รีบเข้าไปต้อนรับ “ท่านโหว”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ดูผ่อนคลายลง แต่กลับเย็นชามากขึ้น เขากำชับสาวใช้ที่ปรนนิบัติในห้องด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทุกคนออกไปให้หมด!”
จู๋เซียงรีบรับคำ “เจ้าค่ะ” แล้วพาบรรดาสาวใช้และหญิงสูงวัยถอยออกไปด้วยความหวาดกลัว
แววตาสวีลิ่งอี๋เย็นชา
“ฟังจี้มาหาข้า บอกว่าภรรยาของฉินเกอต้องการหย่ากับฉินเกอ!”
“อะไรนะ” สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
ที่ตรอกซานจิ่งมีรถม้าที่เหมือนของฮูหยินสามจอดอยู่ สวีซื่อฉินกับฟังซื่อแยกทางกัน ข่าวลือเรื่องดวงพิฆาตสามีของฟังซื่อ…วนเวียนอยู่ในหัวนาง
“สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเย็นชา “ข้าเพียงแค่ได้ยินจากที่ฟังจี้เล่าให้ฟัง บอกว่าฮูหยินสามไม่พอใจฟังซื่อ บังคับให้ฉินเกอปลดภรรยา ตั้งแต่สมัยโบราณการหย่าภรรยามีหลัก ‘เจ็ดขับ สามไม่หย่า[1]’ หากสกุลสวีต้องการปลดภรรยา พวกเราต้องยกหลักฐานขึ้นมา หากเป็นเรื่องจริงสกุลฟังก็จะไม่คัดค้านอะไร รีบพาฟังซื่อกลับหูโจวทันที ถ้าหากไม่มีหลักฐาน…ฟังซื่อไม่สามารถทำให้แม่สามีพอใจได้ ดังนั้นแม่สามีจึงไม่อยากเจอนาง ในอนาคตทั้งสองคนก็จะขัดแย้งกันอยู่เสมอ แค่เห็นหน้าในใจก็รู้สึกไม่ชอบ ทำอะไรก็ไม่เข้าตา พูดอะไรก็ผิดไปหมด สกุลฟังก็คงไม่ยอมให้บุตรสาวของตัวเองต้องมาแบกรับความน้อยใจเช่นนี้ ไม่สู้พูดให้ชัดเจนไปเลย นับแต่นี้เป็นต้นไปต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก เช่นนี้จะดีต่อทุกฝ่าย”
“ดังนั้นจึงต้องหย่า!?” สืออีเหนียงพูดพลางครุ่นคิด
การหย่าต้องใช้หนังสือสัญญาหย่าโดยสมัครใจทั้งสองฝ่าย แต่การปลดภรรยากลับต้องใช้เพียงเอกสารจากฝ่ายชายฝั่งเดียว แม้ว่าจะเป็นการหย่าทั้งคู่ แต่ในสายตาคนกลับมีความแตกต่างกันอยู่ การหย่า หมายความว่าภรรยาไม่ได้มีความผิดอะไร แต่เป็นเพราะว่าระหว่างสามีภรรยาไม่สามัคคีซึ่งกันและกันจึงไม่เต็มใจที่จะอยู่ด้วยกัน แต่การปลดภรรยานั้นหมายถึงการที่ภรรยาทำผิด ‘เจ็ดขับ’ ซึ่งมีความผิด ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของสามี แต่ไม่ว่าจะเป็นการหย่าหรือการปลดภรรยา สำหรับผู้ที่ใส่ใจกับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลแล้ว ต่างก็เป็นเรื่องเสื่อมเสียทั้งนั้น
การหย่า หากไม่ใช่แม่สามีก็เป็นสามีที่มีปัญหาทางด้านคุณธรรม มิเช่นนั้นสตรีที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยจะไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้อย่างไร ต่อให้จะไม่มีคนจุดธูปบูชาหลังเสียชีวิตก็ยืนยันที่จะแยกทางกับสามี สำหรับการปลดภรรยา ก่อนหน้านี้ไม่เคยสอบถามเกี่ยวกับภูมิหลังของครอบครัว ไม่เคยไปดูตัว เหตุใดสตรีที่ดีนางหนึ่งพอแต่เข้าตระกูลพวกเจ้าได้ไม่กี่ปีจึงได้มีนิสัยแย่ๆ เช่นนี้ออกมาได้ หากเป็นสกุลเล็กๆ ก็ยังบอกได้ว่าอาจเป็นเพราะไม่มีบุตรชาย หากเป็นสกุลใหญ่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาเลี้ยงอนุภรรยา ในเมื่อไม่ได้มีผลกระทบต่อการให้กำเนิดบุตร เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของฝ่ายหญิง การปลดภรรยาด้วยเหตุผลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าครอบครัวนี้ไม่มีความอดทนและใจร้ายแค่ไหน ต่อไปหากฝ่ายชายต้องการจะหาคู่หมั้นหมายที่ดีอีกครั้ง สกุลที่รักและเอ็นดูบุตรสาวเหล่านั้นก็จะหลบเลี่ยงไปให้ไกล
นอกจากนี้ก็ยังมีบรรดาสกุลเดิมที่แข็งแกร่ง สามารถเปลี่ยนจากการปลดภรรยากลายเป็นการหย่าได้ แต่สวีซื่อฉินเป็นหลานชายของหย่งผิงโหว อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์อย่างนายอำเภอบังคับให้ต้องมาถึงจุดนี้กระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจี้ก็เป็นทั่นฮวาคนใหม่ในปีนี้ สกุลฟังให้เขาออกหน้า…แล้วด้วยนิสัยของฟังจี้…
สืออีเหนียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
นี่เป็นสังคมที่ผู้ชายมีอำนาจสูงสุด สกุลฟังเคยมีผู้ที่เป็นฝ่ายตุลาการ ฟังจี้ก็เป็นคนที่สกุลฟังเลี้ยงดูและปลูกฝังอย่างดี ในฐานะคนที่เป็นครอบครัวของเจิ้นซิ่งขุนนางในราชสำนัก จึงรู้ดีว่ากฎหมายของต้าโจวนั้นไม่ดีสำหรับสตรี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขายังกล้าเสนอขอหย่า…เป็นเพราะเตรียมตัวไว้แล้วอย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบ
“ท่านโหว หลายวันมานี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่าง เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องใหญ่และยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จ จึงไม่ได้บอกกับท่าน” สืออีเหนียงบอกสวีลิ่งอี๋เรื่องที่ฟังซื่อมีดวงพิฆาตสามี แล้วยังบอกเรื่องที่จู๋เซียงเห็นตอนที่ไปส่งข้าวสาลีที่ตรองซานจิ่ง
สวีลิ่งอี๋ตบโต๊ะบนเตียงเตาเสียงดัง “เหลวไหล!”
สืออีเหนียงไม่เคยเห็นเขาโมโหเช่นนี้มาก่อน นางใจสั่นเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “เจ้าไปตรอกซานจิ่งประเดี๋ยวนี้ ดูว่าพี่สะใภ้สามอยู่หรือไม่ ถ้าหากอยู่ก็นำคำพูดของฟังจี้ไปเล่าให้นางฟังอย่าให้ผิดแม้แต่คำเดียว”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ”
อาจจะรู้สึกว่าตัวเองจริงจังเกินไป สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นมาบ้าง “กลับมาเกรงว่าคงจะมืดแล้ว พาบ่าวรับใช้ตามไปปรนนิบัติหลายๆ คนด้วย”
“ข้าจะระวังตัวเจ้าค่ะ” คนหนึ่งกำลังโมโห อีกคนหนึ่งก็ไม่ควรไปเพิ่มเชื้อเพลิงใส่กองไฟแล้ว สืออีเหนียงพยายามทำเสียงของนางให้อ่อนโยน “ท่านว่าทางฝั่งผู้อาวุโสสกุลฟัง พวกเราจะต้องไปทักทายหรือไม่”
“แน่นอน” สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง “หูโจวอยู่ไกลถึงเจียงหนาน ถ้าหากเป็นเพียงแค่อารมณ์เพียงชั่ววูบของฟังจี้ก็ยังอธิบายได้ง่าย แต่ถ้าหากสกุลฟังก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เกรงว่าพวกเราต้องเตรียมรับมือสำหรับเรื่องนี้แล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้าจากนั้นก็ไปหาจิ่นเกอ
จิ่นเกอกำลังเล่นกับสวีซื่อเจี้ยอย่างสนุกสนาน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา กำชับสวีซื่อเจี้ย “ดูแลน้องชายด้วย” เรียกสาวใช้น้อยเข้าไปเปลี่ยนชุด
สวีลิ่งอี๋มาส่งนางที่ประตูใหญ่ “ทางฝั่งท่านแม่ ข้าจะไปพูดให้เอง”
สืออีเหนียงพบว่ามีองครักษ์อยู่ข้างรถม้ามากกว่าปกติ พูดเสียงเบาว่า “ท่านโหววางใจเถิด” มีป้าซ่งช่วยพยุงขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปยังตรอกซานจิ่ง
******
ฟังซื่อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสืออีเหนียง
นางคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อมตามปกติ เชิญสืออีเหนียงเข้าไปนั่งที่ห้องโถงหลัก
“ท่านแม่สามีกลับมาได้สองสามวันแล้ว ไม่ได้ไปคารวะท่านย่า ข้าที่เป็นลูกสะใภ้ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก” นางรับถ้วยชาจากสาวใช้น้อย ยกให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง “ขอท่านอาสะใภ้สี่อย่าได้ตำหนิเจ้าค่ะ” จากนั้นก็บอกกับสาวใช้น้อย “ไปบอกท่านแม่สามีของข้าว่าอาสะใภ้สี่มา”
มีความสงบนิ่งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางรู้ทุกอย่างแล้ว
สืออีเหนียงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณชายฟังพี่ชายเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการหย่า ท่านโหวสับสนไปหมดจึงให้ข้ามาดูโดยเฉพาะ”
แววตาของฟังซื่อไม่สั่นไหวและไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะดูสงบแต่ก็มีความเฉยชาเล็กน้อย
“ข้าถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายท่านย่ามาตั้งแต่เล็ก มีครั้งหนึ่งท่านย่าพาข้าไปเยี่ยมญาติสกุลเดิมที่หนิงไห่ ในงานเลี้ยงมีเด็กคนหนึ่งในจวนท่านลุงที่เป็นญาติห่างๆ เกิดวันเดียวกันกับข้า ทุกคนต่างประหลาดใจ บอกว่านี่คือพรหมลิขิต ท่านป้าภรรยาท่านลุงบอกว่า ‘สกุลฟังแต่งงานกับบุตรสาวของสกุลพวกเรา คงจะดีหากคืนบุตรสาวอีกคนให้เรา’ ทุกคนต่างเห็นด้วย แม้ว่าท่านย่าจะไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้คัดค้านผู้คนไร้สาระเหล่านั้น ไม่เพียงแค่นั้น ตอนจะไปยังมอบแท่นฝนหมึกให้คุณชายหูด้วย ให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ ให้สอบผ่านจิ้นซื่อ เป็นชื่อเสียงแก่วงศ์ตระกูล” นางพูดอย่างช้าๆ น้ำเสียงเคร่งขรึมแต่กลับดูเบื่อหน่าย “ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่พวกเรากลับไปถึงหูโจวได้ไม่นาน คุณชายหูก็ป่วยจนเสียชีวิต”
ในเมื่อสามารถอยู่ในงานเลี้ยงของสตรีได้ แสดงว่าอายุยังไม่มาก!
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าไร”
ฟังซื่อได้ฟังดังนั้นก็มองนางด้วยท่าทีบางอย่าง “ตอนนั้นข้าอายุห้าขวบ จำอะไรได้ไม่มากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ได้ฟังที่แม่นมเล่าหลังจากที่เรื่องผ่านไปแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า
“พอข้าโตขึ้นอีกสักหน่อย ท่านแม่ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับงานแต่งของข้า” อาจเป็นเพราะรู้สึกอาย แต่ก็ไม่พูดไม่ได้ ฟังซื่อจึงหน้าแดงเล็กน้อย “เลือกไปเลือกมา ท่านย่าก็ไปถูกใจบุตรชายคนโตของสกุลฮั่ว ตอนที่ทั้งสองสกุลกำลังจะดูความสมพงษ์ของวันตกฟาก คุณชายฮั่วกับสหายร่วมชั้นก็ไปเก็บกระจับเขาควายที่แม่น้ำ ผลก็คือ…ลงไปแต่ไม่ได้ขึ้นมา…ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนเอาเรื่องที่หนิงไห่มาพูด บอกว่าข้ามีดวงพิฆาตสามี ท่านแม่ของคุณชายฮั่ว…”
ขณะที่กำลังพูด ทันใดนั้นในห้องก็มีเสียงเล็กแหลมดังขึ้น “สกุลฟังก็เป็นสกุลนักปราชญ์ คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวที่สั่งสอนมาจะเอาแต่พูดจาไร้สาระ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังกล้าอ้างไปเรื่อย…”
สืออีเหนียงมองไปตามเสียง
เห็นฮูหยินสามที่มีสาวใช้ข้างกายอย่างซิ่งเจียวพยุงอยู่ที่หน้าประตูห้องปีกตะวันออก
นางใส่เสื้อกั๊กผ้าฝ้าย สีหน้าดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก
“พี่สะใภ้สาม!” สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นทักทายนาง
ฟังซื่อเม้มริมฝีปาก คำนับฮูหยินสามด้วยสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
ฮูหยินสามแสยะยิ้ม หันไปพยักหน้าให้สืออีเหนียงแล้วนั่งลงตามลำดับ
ฟังซื่อให้คนยกชามา
ฮูหยินสามสาดน้ำชาลงที่พื้น ตำหนิซิ่งเจียวว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ต่อไปหากเป็นของของฟังซื่อเจ้าไม่ต้องให้ข้า ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายปี”
ซิ่งเจียวแอบเหลือบมองฟังซื่อ ตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปเทชาทิ้ง
ฟังซื่อไม่สนใจ ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
สืออีเหนียงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ พูดถึงจุดประสงค์ของการมา “คุณชายฟังพึ่งจะไปที่เหอฮวาหลี่ บอกว่าหลานสะใภ้ใหญ่ต้องการหย่ากับหลายชายคนโต ท่านโหวจึงให้ข้ามาถามพี่สะใภ้สามโดยเฉพาะว่าทำไมเรื่องใหญ่เช่นนี้จึงไม่ไปบอกไท่ฮูหยิน…”
นางยังไม่ทันได้พูดจบ ฮูหยินสามก็พูดแทรกขึ้นมา “อะไรนะ นางยังจะขอหย่าอีกหรือ ไม่มีทาง ฉินเกอของพวกเราทำผิดอะไร” พูดพลางจ้องฟังซื่อด้วยสายตาอาฆาต ราวกับว่าต้องการจะฉีกเนื้อนาง “ข้าก็ว่า เจี่ยนเกอของพวกเรามีข้อดีมากมายเช่นนี้ จะพูดอย่างไรสกุลนี้ก็ไม่ตกลง ไปพูดกับสกุลนั้นก็เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้า หากไม่ใช่เป็นเพราะกลัวดวงพิฆาตของเจ้า คนอื่นจะรังเกียจเจี่ยนเกอของพวกเราได้อย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าเรื่องนี้ข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสกุลฟังของพวกเจ้าแน่!” นางหายใจแรง เห็นได้ชัดว่าโกรธเป็นอย่างมาก “เจ้ารอหนังสือปลดภรรยาจากฉินเกอได้เลย!”
ฟังซื่อกลับไม่มองฮูหยินสามแม้แต่แวบเดียว แต่มองตรงไปที่สืออีเหนียง
“ท่านอาสะใภ้สี่เจ้าคะ ข้ากับท่านพี่แต่งงานกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว หากข้าเป็นคนเช่นนั้น ท่านพี่จะยังมีชีวิตยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แม้แต่ปวดหัวตัวร้อนก็ไม่มี ดูจากที่ท่านอาสะใภ้สี่ปฏิบัติต่อคุณหนูใหญ่ นับว่ามีเมตตา แม้ว่าสกุลฟังของพวกเราจะเป็นสกุลเล็กๆ แต่ว่าข้าก็เป็นแก้วตาดวงใจของท่านแม่ ในเมื่อท่านแม่สามีไม่เต็มใจพบข้าเช่นนี้ ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะมีประโยชน์อะไร!” นางพูดพลางคุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง “ท่านอาสะใภ้สี่ ท่านเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นับว่าสงสารคนในครอบครัวข้าและท่านแม่ที่คอยเป็นห่วงข้า ช่วยส่งเสริมข้าด้วยเถิด!”
[1]เจ็ดขับ สามไม่หย่า คือข้อกำหนดเงื่อนไขการหย่าร้างของคนจีนสมัยก่อน ‘เจ็ดขับ’ คือฝ่ายสามีเป็นฝ่ายไล่ภรรยาออกจากบ้านหากมีพฤติกรรมตรงกับข้อใดข้อหนึ่งใน โดยเจ็ดข้อที่ว่านั้นมี ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี ไม่มีบุตร คบชู้ อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง ปากคอเราะร้าย และลักขโมย ซึ่งหากภรรยาตรงกับข้อใดข้อหนึ่งใน ‘เจ็ดขับ’ แต่ในทางเดียวกันก็ตรงกับข้อใน ‘สามไม่หย่า’ ก็เลิกไม่ได้เช่นกัน ‘สามไม่หย่า’ ได้แก่ ภรรยาไร้ญาติให้พึ่งพิง ภรรยาเคยไว้ทุกข์ให้พ่อสามีแม่สามีสามปี หรือในกรณีที่สามีภรรยาเดิมทีอยู่ด้วยกันฐานะยากจนแต่ต่อมาร่ำรวยขึ้น