เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าเป็นการบอกว่านางเข้าใจแล้ว
สิ่งที่นางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำส่งผลกระทบต่อคนหลายฝ่ายเป็นอย่างมาก
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาผู้อาวุโสที่เหลืออยู่จะเริ่มนั่งไม่ติดที่
นางแค่ยังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนการอะไรอยู่ก็เท่านั้น…
ยามค่ำคืน ชายสวมเสื้อคลุมตัวยาวยืนอยู่กลางป่าไผ่ เขายืนหันหลังให้กับแสงสว่างและถือม้วนกระดาษม้วนหนึ่งเอาไว้ในมือ
“คุณชาย” องครักษ์เงากระโดดลงมาแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ”พบที่อยู่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วขอรับ นางไม่ได้อยู่ในวังจริงๆ ความจริงแล้วนางเพิ่งจะกลับเข้ามาในเมืองหลวงได้ไม่นานนี่เอง ส่วนนางไปอยู่ที่ไหนมานั้น ตอนนี้ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ขอรับ”
ชายคนนั้นมองกลับไป แล้วไอออกมาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาชัดเจนราวกับเสียงของน้ำที่หยดลงบนแผ่นหยก ”ไม่ต้อง ถ้านางเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่า…”
ความเป็นไปได้หรือ องครักษ์เงาไม่เข้าใจคำพูดของเขาแม้แต่นิดเดียว
ชายคนนั้นพูดต่อ ”ในเวลาไม่ถึงสิบวัน บรรดาผู้มีอิทธิพลทางตะวันตกของเมืองหลวงตั้งแต่เมืองฟู่ผิงไปจนถึงเมืองหลวงประจำมณฑลต่างก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นด้วยฝีมือของคนแซ่เว่ย ยิ่งกว่านั้นนางก็เพิ่งจะกลับมาจากนอกเมืองในเวลาเดียวกัน ฮ่าๆ ช่างเป็นการลงมือครั้งใหญ่ยิ่งนัก”
“คุณชาย ท่านหมายความว่าคนแซ่เว่ยผู้นั้นคือเฮ่อเหลียนเวยเวยหรือขอรับ” องครักษ์เงารู้สึกกังวลใจ ”เช่นนั้น สิ่งที่เราเตรียมการเอาไว้ในวังหลวงก็เท่ากับสูญเปล่าหรือขอรับ”
ชายคนนั้นละสายตาออกจากเขา แล้วตอบอย่างเรียบๆ ว่า ”ใช่ว่าจะสูญเปล่าไปเสียหมด ช่วงนี้สถานการณ์ของห้องทรงอักษรทางทิศใต้ค่อนข้างวุ่นวายเลยมิใช่หรือ ในไม่ช้าแม้แต่คนที่อยู่ในวังหลวงก็จะกลายมาเป็นหนึ่งในพวกเรา…”
เปรี๊ยะ!
ธูปในกระถางไหม้จนหมดดอก
ท้องพระโรงของของวังหลวงยังคงยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นเคย
เสาแกะสลัก ม่านกำมะหยี่คุณภาพสูง และผ้าไหมสีทองชั้นแล้วชั้นเล่าห่อคลุมโลกทั้งใบเบื้องหลังของพวกเขาเอาไว้ราวกับดินแดนสวรรค์ของเหยาฉือ
ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำในแม่น้ำที่อยู่นอกวังหลวงก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง รอยเลือดจางๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากใต้น้ำ
สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแปลงดอกไม้คือลำธารที่แยกออกมาจากแม่น้ำสายนั้น น้ำในนั้นควรจะใสราวกับแก้ว
แต่เมื่ออยู่ลับหลังสายตาผู้คน มันกลับคล้ายจะมีร่องรอยของเลือดปรากฏขึ้นจากในนั้น
แม้จะไม่รู้ที่มา แต่เลือดที่ไหลมาจากต้นแม่น้ำก็ย้อมแม่น้ำที่เคยใสสะอาดจนเปลี่ยนเป็นสีแดง รสชาติของเลือดยังสดใหม่ ราวกับเมฆที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า ราวกับบทเพลงอันแสนหวาน…
กร็อบ!
เสียงล้อรถเหยียบลงบนกิ่งไม้
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาตื่นขึ้นจากฝันร้าย รถม้าก็เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่นั่งติดกับนางยกมือขึ้นจับใบหน้าของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของนาง พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”ยังไม่อยากบอกข้าอีกหรือว่าเจ้าเห็นอะไรในความฝันนั้น”
“คราวนี้ข้าจำไม่ได้จริงๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบตามความจริง ในสมองของนางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีก็แต่เพียงความรู้สึกรางๆ เท่านั้น
ดูเหมือนฝันร้ายจะตามหลอกหลอนนางทันทีที่พวกนางถึงเมืองหลวง
พูดแล้วนางก็ชักอยากตรวจสอบดูว่าฮวงจุ้ยในเมืองหลวงเหมาะให้นางอยู่อาศัยหรือไม่…
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ฮวงจุ้ยในเมืองหลวงดีมากอยู่แล้ว ที่ไม่ค่อยดีมีเพียงแค่พลังปราณของที่นี่เท่านั้น” หยวนหมิงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าพลังปราณในเมืองหลวงจะกลายเป็นเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งออกจากเมืองไปได้เพียงแค่สิบวันเท่านั้น
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ในสำนัก หยวนหมิงเคยพูดถึงผลกระทบที่พลังปราณสามารถสร้างให้กับเมืองเมืองหนึ่งเอาไว้
ทันทีที่ปราณมงคลถูกทำลาย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่สถานที่แห่งนั้นจะดึงดูดการรุกรานจากเหล่าปีศาจ…
“ฟังดูไม่ค่อยถูกต้องนัก ที่เมืองหลวงมีผู้คนอยู่มากมาย ดังนั้นปราณหยางเองก็น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดเหมือนกันมิใช่หรือ มันจะขุ่นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร” หยวนหมิงพูดกับตัวเองเพราะสถานการณ์นี้นับว่ายากจะเกิดขึ้นได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ดูเหมือนว่าท้องฟ้าภายในเมืองหลวงกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง…
เสียงฟ้าร้องคำราม
ที่ภาคเหนือ สายฝนหลังสิ้นฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาและผ่านไปภายในชั่วพริบตา อากาศหลังฝนตกนั้นค่อนข้างเย็นทีเดียว
สายฝนชะล้างทุกสิ่งไปจนหมดสิ้น
อย่างน้อยก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นในห้องที่วังหลวง
องค์ชายสามถูกเรียกตัวไปที่ท้องพระโรงเพราะเขาจำเป็นต้องอยู่ที่นั่นเพื่อลงโทษผู้อาวุโสเฮ่อเหลียน
อดีตฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใคร
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ไปกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่กลับถอดชุดสามัญชนที่ใช้ปลอมตัวออกแล้วเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดที่นางใส่เป็นประจำ ร่างสูงเพรียวของนางนางยืนอยู่หน้าทางเข้าของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์พร้อมกับองค์ชายเจ็ดตัวน้อยเพียงสองคน
แต่แค่เจ้าเจ็ดเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะทหารได้เป็นร้อยคน
“พี่สะใภ้สาม วันนี้พวกเราจะมากินข้าวกันที่นี่หรือ” เจ้าเจ็ดยังกอดของฝากที่เขาได้มาจากเมืองหลวงประจำมณฑล.. หรือก็คือปูตัวใหญ่เอาไว้แน่น!
ปูตัวนั้นชูก้ามตัวเองขึ้นตลอดทาง ถ้าคนธรรมดาเดินเข้ามาดู เจ้าปูตัวนั้นคงได้หนีบพวกเขาเข้าแน่ๆ
องค์ชายเจ็ดก้มหน้าลง แล้วกัดขาเจ้าปูตัวนั้นไปข้างหนึ่ง
ทำให้เจ้าปูตัวนั้นรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
คนคนนี้สามารถทำให้ปูกลัวได้ด้วยการงับขาเพียงครั้งเดียว…
องครักษ์เงาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเหม่อมองท้องฟ้า คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ บนโลกนี้ก็คงมีเพียงแค่ผู้เป็นนายตัวน้อยของพวกเขาคนเดียว ด้วยความสามารถราวกับมีเวทมนตร์นี้จึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับพระชายาได้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาก็สามารถจัดการกำราบบรรดาผู้นำเหล่านั้นได้ด้วยการกัดให้จมเขี้ยว…
เฮ่อเหลียนเวยเวยจูงมือเด็กชายแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ทุกย่างก้าวทำให้นางนึกถึงภาพในวันที่ตัวเองถูกขับไล่ออกจากที่นี่ได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
และตอนนี้… ในที่สุดนางก็ได้กลับมา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหายใจเข้าลึกๆ แล้วกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของตัวเองแน่น ขาเรียวยาวคู่นั้นพานางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
เบื้องหลังของนางคือภาพตะวันตกดิน แสงตะวันกระทบกับเงามืด เกิดเป็นภาพอันสวยงามเหนือคำบรรยาย
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ตระกูลเฮ่อเหลียนมีผู้นำอยู่ทั้งสิ้นสี่สิบเก้าคน วันนี้มีคนมาปรากฏตัวที่นี่จำนวนสี่สิบเอ็ดคน
พวกเขามาเพื่อยื่นขอให้ถอดถอนนางออกจากการเป็นผู้สืบทอดของตระกูล ในสายตาที่พวกเขามองมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเต็มไปด้วยความดูถูกเกลียดชัง
องค์ชายสามจัดการปัญหาทั้งหมดได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ บรรดาผู้นำเหล่านั้นก็ยังไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่า ’ใต้เท้าเว่ย’ คนที่พวกเขาได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ พักนี้นั้นที่จริงแล้วจะคือเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง พวกเขายังคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงแค่พระชายาผู้โง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจใด
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาพร้อมหน้ากันที่นี่เพื่อโค่นล้มเฮ่อเหลียนเวยเวย
หากไม่มีชื่อเสียงและคุณงามความดี คนคนนั้นย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฮ่อเหลียน
นี่คือคำพูดที่นายท่านอาวุโสเฮ่อเหลียนพูดเอาไว้ก่อนสิ้นใจ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในกฎของตระกูลเฮ่อเหลียนมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ตราบใดที่ผู้นำมากกว่าสี่สิบคนส่งคำร้องนี้พร้อมกันละก็ แผนการของพวกเขาจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน
ปัง
ใครคนหนึ่งฟาดมือที่ถือกล้องยาสูบลงกับโต๊ะ แล้วจากนั้นจึงอ้าปากพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า ”คุณหนูใหญ่ ท่านทำให้พวกเรารอนานจริงๆ”
“เฮ้อ พี่กัว ในเมื่อตอนนี้คุณหนูใหญ่ก็มาถึงแล้ว เราอย่าเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระกันเลย แจ้งจุดประสงค์ของพวกเราให้คุณหนูใหญ่เข้าใจ และให้นางลงจากตำแหน่งด้วยตัวเองดีกว่า พวกเราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย”
“พี่หลี่พูดถูก คุณหนูใหญ่ ข้าคิดว่าท่านก็คงรู้กฎของตระกูลเราเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แม้เวลานี้ท่านจะเป็นพระชายาและอยู่ในราชวงศ์ แต่กฎที่ตั้งเอาไว้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถละเมิดได้ ข้าขอแนะนำให้คุณหนูใหญ่ทำการส่งมอบอำนาจมาให้พวกเราแต่โดยดี ทุกคนจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่นางกลับเดินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประมุขแทน นางยกขาเรียวได้รูปนั้นขึ้นไขว่ห้าง และยกมือซ้ายที่สวมแหวนสีเงินนั้นขึ้นเท้าคางอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับเอ่ยอย่างชั่วร้ายด้วยท่าทางสบายๆ ว่า ”เมื่อครู่นี้ท่านว่าอะไรนะ ส่งมอบอำนาจหรือ”