สืออีเหนียงรีบจับมือฟังซื่อ
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน” นางพูดตำหนิ “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้ผู้อาวุโสเป็นคนตัดสิน ใช่บอกว่าจะหย่าก็หย่าได้ ใช่ว่าบอกว่าจบก็จบได้ ในเมื่อเจ้ากังวลเกี่ยวกับมารดาที่เป็นห่วงเจ้า ก็ไม่ควรจะทำตามใจตัวเองเช่นนี้” แล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าถอยออกไปก่อนเถิด! ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับแม่สามีเจ้า!”
ฟังซื่ออยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
ทางฝั่งของฮูหยินสามอดไม่ได้จึงพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อย่างไรเสียก็ต้องเขียนหนังสือปลดภรรยา!”
ฟังซื่อที่เดินไปถึงหน้าประตูหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดม่านแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงส่งสายตาให้ป้าซ่ง ส่งสัญญาณให้นางออกไปก่อนพลางพูดว่า “พี่สะใภ้สามอย่าโกรธไป นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ อย่างน้อยท่านก็บอกข้าสักหน่อยเถิด ให้ข้าได้รู้ขอบเขตของเรื่องนี้”
“เมื่อครู่นางก็บอกเจ้าทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ” ฮูหยินสามแสยะยิ้ม “นางมีดวงพิฆาตสามี แต่สกุลฟังกลับปิดบังพวกเราแล้วให้นางแต่งเข้าจวนเรามา” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย “หากไม่ใช่เพราะไปพูดหมั้นหมายให้เจี่ยนเกอ ข้าก็คงถูกสกุลฟังปิดบังต่อไป เกรงว่าจนตายก็คงไม่รู้…” พูดพลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้สืออีเหนียงฟัง
ที่แท้ตั้งแต่ที่ฮูหยินสามกลับมาจากซานหยางก็เริ่มไปดูตัวให้สวีซื่อเจี่ยน อยากจะหาลูกสะใภ้คนที่สองที่รูปร่างหน้าตางดงามพอๆ กับฟังซื่อ สุดท้ายเมื่อคนอื่นได้ยินว่าลูกสะใภ้คนโตของนางมีสินสอดทองหมั้นสองหมื่นตำลึง พวกเขาต่างก็แสดงท่าทีว่าไม่สามารถจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นเช่นนี้ได้ นางจึงกำชับกับแม่สื่อว่านางเลือกสตรีที่นิสัยใจคอ ไม่ได้เลือกที่สินสอดทองหมั้น แต่ว่าคนเหล่านั้นก็ยังคงปฏิเสธการหมั้นหมายของแม่สื่ออย่างอ้อมค้อม ไปๆ มาๆ นางจึงอดกังวลไม่ได้ โดยเฉพาะบุตรสาวคนเล็กของข้าหลวงเฟิ่งเสียง ที่มีความโดดเด่นยิ่งกว่าฟังซื่อ นางคิดว่าแม้ว่าตัวเองจะบรรดาศักดิ์ต่ำกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส จึงได้อาศัยโอกาสตอนงานวัดตั้งใจไปพบกับฮูหยินของข้าหลวงเฟิ่งเสียงถึงได้รู้เรื่องดวงพิฆาตสามีของฟังซื่อ
“…พวกสกุลฟังหลอกให้พวกเราแต่งงาน สะใภ้เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรสกุลของพวกเราก็ไม่ต้องการ!” ฮูหยินสามพูดด้วยความขุ่นเคือง “ฮูหยินของข้าหลวงเฟิ่งเสียงบอกว่าจะไม่ให้บุตรสาวของนางเป็นญาติกับคนเช่นนี้เด็ดขาด หากเป็นอะไรขึ้นมา จะเสียใจภายหลังก็คงไม่ทันแล้ว”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก จึงถามเพียงว่า “คุณชายสามรู้หรือไม่”
ฮูหยินสามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกผิด “เรื่องเช่นนี้ข้าจะกล้าไปบอกคุณชายสามได้อย่างไร ถ้าหากฟังซื่อรู้จักละอาย เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาเช่นนี้ก็ควรจะเป็นฝ่ายมาขอจากไปเอง ยังมีหน้าเรียกพี่ชายจากสกุลเดิมมาพูดเรื่องขอหย่ากับสกุลเราอีก พวกเขาเห็นหัวจวนหย่งผิงโหวของพวกเราเสียที่ไหนกัน หากพวกเราไม่สั่งสอนสักหน่อย เกรงว่าจะถูกสกุลฟังเหยียบหัวเอา!”
พูดง่ายๆ ก็คือคุณชายสามไม่รู้
หรือเป็นเพราะว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นนางที่เป็นคนตัดสินใจเอง ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น นางจึงไม่กล้าที่จะพูดกับคุณชายสามกระมัง
สืออีเหนียงครุ่นคิด ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้สามได้ตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดให้มากความ เพียงแต่ว่าจะหย่าก็ดี จะปลดภรรยาก็ดี อย่างไรเสียก็ต้องบอกท่านโหวกับคุณชายสามจึงจะถูก แล้วทางฝั่งไท่ฮูหยินก็ต้องไปบอกท่านด้วยจึงจะเหมาะสม”
ฮูหยินสามได้ฟังดังนั้นก็ไม่สบายใจเล็กน้อย รีบพูดขึ้นมาว่า “ช่วงสองวันนี้ไม่รู้ว่าข้าถูกฟังซื่อทำให้โกรธจนสับสน หรือว่าเป็นเพราะอาการเหนื่อยล้าที่รีบกลับมาจากซานหยางทำให้รู้สึกเจ็บที่หน้าอกอย่างรุนแรง กลัวว่าไท่ฮูหยินจะเป็นห่วง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปคารวะไท่ฮูหยิน เจ้ากลับไปบอกไท่ฮูหยินสักหน่อย พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ข้าจะไปคารวะท่าน”
“ข้าจะนำคำของพี่สะใภ้สามไปบอกอย่างแน่นอน” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดว่า “แต่ว่าในเมื่อพี่สะใภ้สามตัดสินใจจะปลดภรรยา มีบางเรื่องที่ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบจึงจะถูก ใน ‘เจ็ดขับ’ คุณนายน้อยใหญ่ทำผิดข้อไหนกันหรือ”
ฮูหยินสามตกตะลึง
สืออีเหนียงพูดพลางครุ่นคิด “หากจะบอกว่าไม่มีบุตร คุณนายน้อยใหญ่แต่งงานได้ยังไม่ถึงหนึ่งปี นี่จึงไม่นับว่าเป็นเหตุผล หากจะบอกว่าไม่เชื่อฟังพ่อสามีกับแม่สามี ก่อนที่พี่สะใภ้สามจะไปก็ยังชมว่าคุณนายน้อยใหญ่เป็นคนกตัญญูรู้ความ หลังจากที่พี่สะใภ้สามไปแล้วคุณนายน้อยใหญ่ก็ไปคารวะไท่ฮูหยินเป็นประจำเช้าเย็นไม่เคยขาด ดังนั้นข้อนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม หากจะบอกว่าเป็นโรคร้าย ตั้งแต่ที่คุณนายน้อยใหญ่แต่งเข้าสกุลสวีมา แม้แต่ปวดหัวตัวร้อนก็ไม่มี หากจะบอกว่าเป็นคนอิจฉาริษยา ฉินเกอก็ไม่ได้มีอนุภรรยา สาวใช้ห้องข้างทั้งสองคนตอนนี้ก็สุขสบายดี นี่ก็ไม่ใช่เหตุผล หากจะบอกว่าเป็นคนปากคอเราะร้าย ในจวนตั้งแต่ไท่ฮูหยินไปจนถึงเด็กๆ มีใครบ้างที่เมื่อเห็นฟังซื่อแล้วจะไม่ชอบ ส่วนเรื่องที่ไม่อยู่ในกฎระเบียบหรือลักขโมยก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ พี่สะใภ้สาม ท่านลองพูดมาสิว่าสะใภ้คนนี้จะถูกปลดด้วยเหตุผลอะไร”
“คือ คือ…” ฮูหยินสามคิดอยู่นาน แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้
“อาจจะเป็นเพราะข้าคิดมากไป บางทีตอนที่พี่สะใภ้สามไปพบไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินอาจจะไม่ถามถึงเรื่องพวกนี้” สืออีเหนียงยิ้มพลางลุกขึ้น “นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว หากสายกว่านี้ก็จะถึงช่วงเวลาห้ามสัญจรบนท้องถนนแล้ว ตราบใดที่ฟังซื่อยังเป็นลูกสะใภ้ท่าน นางก็คือคุณนายน้อยใหญ่ของสกุลสวี หากไม่เห็นแก่หน้านางก็ควรจะเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ บางเรื่องก็ต้องเหลือทางออกไว้ให้นาง หากไปบีบบังคับนางเหมือนวันนี้ ฉินเกอเองก็จะเสียศักดิ์ศรีด้วยเช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะรอพี่สะใภ้สามไปหา จะได้ปรึกษาเรื่องการรับมือเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามรีบรับปากตกลง แล้วไปส่งนางด้วยตัวเอง
ฟังซื่อยืนอยู่ที่ลาน เมื่อเห็นพวกนางสองคนออกมา ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปหา “ท่านอาสะใภ้สี่ ให้ข้าไปส่งท่านเถิด!”
ฮูหยินสามไม่มองฟังซื่อแม้แต่นิดเดียว มุ่งหน้าเดินตรงไปพลางยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “…ตอนข้าไป จิ่นเกอพึ่งจะทำพิธีครบรอบหนึ่งปี เด็กน้อยมักจะเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ตอนนี้เกรงว่าคงจะพูดได้เดินได้แล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้าให้ฟังซื่อ แล้วพูดคุยกับฮูหยินสาม “พึ่งเริ่มฝึกพูดเมื่อไม่กี่วันก่อน พึ่งจะเริ่มพูดก็พูดได้ทีเดียวสี่พยางค์เลย เสียงดังและชัดเจน ช่วงนี้ข้าอยากจะสอนเขาพูดให้มากขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าต่อไปจะกลายเป็นคนไม่ชอบพูดหรือไม่!”
ฮูหยินสามเห็นดังนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงด้วยท่าทีสนิทสนมกว่าเดิม “สกุลเรามีเด็กไม่ชอบพูดจาเสียที่ไหนกัน…”
พูดคุยกับสืออีเหนียงพลางมุ่งหน้าไปที่ประตูฉุยฮวา
ฟังซื่อรู้ว่าฮูหยินสามต้องการจะใช้วิธีนี้ทำให้นางขายหน้า จากนั้นก็จะบรรลุจุดประสงค์ที่จะกำจัดนาง
นางไม่ได้พูดอะไร เดินตามหลังทั้งสองคนไปถึงประตูฉุยฮวาอย่างเงียบๆ
มีสาวใช้น้อยรีบวิ่งเข้ามา “ฮูหยิน คุณชายน้อยสามบอกว่ารู้สึกไม่สบายท้องเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา “ไม่สบายอย่างไร เจ้ามาบอกข้ามีประโยชน์อะไร ยังไม่รีบไปบอกให้เรือนนอกเตรียมรถแล้วไปเชิญหมอหลวงมาตรวจดูคุณชายน้อยสามอีก” พูดพลางยิ้มขอโทษสืออีเหนียง “ข้าไม่ไปส่งเจ้าแล้ว เจ้าค่อยๆ เดินเถิด”
สาวใช้น้อยผู้นั้นไม่ขยับไปไหน มองไปที่ฟังซื่อ
ฟังซื่อรีบหยิบป้ายคู่มาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้สาวใช้น้อยผู้นั้น
สาวใช้น้อยจึงได้รีบไป
สืออีเหนียงสีหน้านิ่ง พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเจี่ยนเกอป่วย เช่นนั้นข้าก็ควรไปดูสักหน่อย!”
ฮูหยินสามเป็นห่วงบุตรชาย จึงไม่ได้มีท่าทีเกรงใจสืออีเหนียงแล้ว ทั้งสองคนไปหาสวีซื่อเจี่ยนด้วยกัน
มองดูแล้วสีหน้าของสวีซื่อเจี่ยนยังดีอยู่ แต่เขาเอามือกุมท้องแล้วเอาแต่ร้องโอดครวญว่าปวด เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ทำให้อาสะใภ้สี่ต้องเดินทางล่าช้าแล้ว”
“เจ้าพูดอะไรกัน!” สืออีเหนียงพูดกับเขาด้วยความเกรงใจ ฮูหยินสามเข้าไปจับมือเขาแล้วพูดด้วยความกังวลว่า “หลายวันมานี้เจ้าทานอะไร เริ่มปวดท้องตั้งแต่เมื่อไร มีอาการท้องเสียหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ” สวีซื่อเจี่ยนพูดต่อไปว่า “เพียงแค่ปวดท้องเป็นพักๆ”
ฮูหยินสามก็ไม่ได้ถามสาเหตุ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นฟังซื่อที่ยืนอยู่เงียบๆ รีบพูดตำหนิขึ้นมาทันที “เจ้าดูแลเรือนประสาอะไร ถึงปล่อยให้น้องสามีของเจ้าทานของที่ทำให้ปวดท้อง…”
ฟังซื่อยืนให้นางตำหนิอยู่ตรงนั้น
สวีซื่อเจี่ยนดึงแขนเสื้อของมารดา “ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้สี่ยังอยู่ตรงนี้นะขอรับ”
สืออีเหนียงเห็นว่าท่าทางของสวีซื่อเจี่ยนดูสบายดี จึงไม่ยืนอยู่ตรงนี้ฟังฮูหยินสามตำหนิฟังซื่อ กล่าวลาฮูหยินสามอีกครั้ง
ฮูหยินสามเป็นห่วงสวีซื่อเจี่ยน กล่าวกับสืออีเหนียงด้วยความเกรงใจสองสามประโยค แล้วให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนไปส่งนาง
แม้ว่าสืออีเหนียงจะเป็นน้องสะใภ้ แต่ก็เป็นนายหญิงของจวนสกุลสวี เป็นหย่งผิงโหวฮูหยิน การให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนไปส่งนั้นค่อนข้างเสียมารยาทเล็กน้อย
ฟังซื่ออยากจะเตือนฮูหยินสาม แต่ฮูหยินสามพูดตำหนินางขึ้นมาว่า “เจ้าก็เอาแต่ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น ท่านแม่ของเจ้าสอนเจ้ามาอย่างไร น้องสามีไม่สบายเจ้าก็ปรนนิบัติเช่นนี้หรือ…”
นางอดเลิกคิ้วไม่ได้ พูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านแม่สามีพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าไม่ได้สอนข้า น้องสามีที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับข้าไม่สบายกลับต้องให้ข้าเป็นคนไปดูแล?”
ฮูหยินสามได้ฟังดังนั้นก็ชะงักไป เงียบไปอยู่พักใหญ่
สืออีเหนียงที่ได้ยินอยู่ด้านนอกก็อดส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้ เดินไปที่ประตูฉุยฮวากับสะใภ้กานเหล่าเฉวียน
ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
สืออีเหนียง ป้าซ่งและคนอื่นๆ ต่างพากันตกใจ เดินถอยไปสองสามก้าว อีกทั้งสาวใช้น้อยที่ขี้กลัวก็กรีดร้องเสียงดัง
“ท่านอาสะใภ้” คนผู้นั้นคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม “ข้าเอง สวีซื่อฉิน”
“เจ้าเองหรือ!” สืออีเหนียงสูดหายใจลึก ลูบหน้าอกพลางพูดว่า “ทำไมเจ้าโผล่มาเช่นนี้” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ทำให้คนตกใจเช่นนี้อาจมีคนตายได้เลยนะ!”
เขารีบเดินเข้ามา “ทำให้อาสะใภ้ต้องตกใจแล้ว” ใบหน้าถูกเปิดเผยภายใต้โคมไฟใหญ่สีแดงที่แขวนอยู่บนประตูฉุยฮวา
“ท่านอาสะใภ้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านขอรับ” สวีซื่อฉินมองนางอย่างจริงจัง ท่าทีจึงได้ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
“มีเรื่องอันใดหรือ” สืออีเหนียงเดาว่าสิ่งที่เขาจะพูดนั้นเกี่ยวข้องกับฟังซื่อ
สวีซื่อฉินพูดกับสะใภ้กานเหล่าเฉวียน “เจ้าถอยออกไปก่อนเถิด!”
สะใภ้กานเหล่าเฉวียนมองสวีซื่อฉินด้วยความลังเลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป
ป้าซ่งและคนอื่นก็ไปยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินตรงประตูฉุยฮวาอย่างมีไหวพริบ
ในคืนต้นฤดูร้อน ท้องฟ้าสีครามจะเต็มไปด้วยดวงดาวปกคลุมอยู่
สวีซื่อฉินเงียบไปนานก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ ท่านยังจำน้องสาวลูกพี่ลูกน้องคนที่สามของข้าได้หรือไม่”
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์?
สืออีเหนียงตกตะลึง
ไม่ทันรอให้นางตอบ สวีซื่อฉินก็พูดขึ้นมาว่า “ข้ายังจำได้ว่าทำไมนางถึงต้องแต่งงานไปอยู่แดนไกล!”
ใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยที่ไม่ตรงกับอายุที่แท้จริงของเขานั้นเคร่งขรึม
“ท่านอาสะใภ้” เสียงของสวีซื่อฉินเบาและช้าลงราวกับแม่น้ำที่ค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งก็ไม่ปาน เขายกมือคำนับสืออีเหนียงอย่างจริงจัง “ขอให้ท่านช่วยไปพูดกับท่านอาสี่ให้ข้าทีว่าข้าจะไม่ปลดภรรยาขอรับ”
สืออีเหนียงมองสวีซื่อฉินที่โค้งคำนับต่อหน้านาง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีน้ำตาคลอเล็กน้อย
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าการตัดสินใจเช่นนี้ของเจ้าต่อไปจะทำให้ฟังซื่อใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก!”
“ข้ารู้ขอรับ!” เขายืดตัวตรง “ข้าจะดูแลนางอย่างดี”
“เจ้าต้องจำคำของเจ้าไว้” ขณะที่สืออีเหนียงกำลังพูดดวงตาของนางก็เหลือบไปมองที่ประตูฉุยฮวาโดยไม่ได้ตั้งใจ ฟังซื่อยืนอยู่เงียบๆ บนบันไดประตูฉุยฮวา กระโปรงของนางพัดปลิวไปตามลมในยามค่ำคืนราวกับผีเสื้อที่กางปีกพร้อมจะโบยบิน