เสียงรถม้าวิ่งอยู่บนถนนอิฐแต่ข้างในรถม้ากลับเงียบสงัด
สืออีเหนียงเอนกายพิงหมอนอิงสีแดงลายเมฆ ป้าซ่งนั่งพูดคุยกับนางอยู่ข้างๆ
น้ำเสียงไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป พอดีกับเสียงรถม้า ไม่ถึงขั้นให้หญิงเฒ่าที่เดินตามรถม้าได้ยิน “…บ่าวกับสาวใช้น้อยสองสามคนคุยกันอยู่ที่เรือนด้านข้าง ได้ยินบรรดาสาวใช้น้อยเหล่านั้นบอกว่า พอฮูหยินสามกลับมาก็ชี้หน้าด่าคุณนายน้อยใหญ่ยกใหญ่ จากนั้นก็โมโหจนล้มป่วย คุณชายน้อยใหญ่ก็โกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง คุณนายน้อยใหญ่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างเตียงก็ถูกฮูหยินสามไล่ออกมา แล้วยังบอกอีกว่าแค่เห็นหน้าคุณนายน้อยใหญ่ก็รู้สึกโกรธแล้ว หากคุณชายน้อยใหญ่ไม่อยากให้นางถูกคุณนายน้อยใหญ่ทำให้โกรธจนขาดใจตาย ก็อย่าให้คุณนายน้อยใหญ่เข้ามาในห้องนาง คุณชายน้อยใหญ่จึงให้คุณนายน้อยใหญ่หลบไปก่อนชั่วคราว ส่วนตัวเองกับคุณชายน้อยสามคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินสาม คุณนายน้อยใหญ่คอยปรนนิบัติอยู่นอกห้อง ทุกวันจะไปต้มยาแล้วยกมาส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยให้ซิ่งเจียวนำเข้าไปในห้อง ฮูหยินสามเกลี้ยกล่อมให้คุณชายน้อยใหญ่ปลดภรรยา คุณนายน้อยใหญ่ที่อยู่นอกห้องได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ได้โต้เถียง และไม่ได้พลอยโกรธคุณชายน้อยใหญ่ไปด้วย ยังคงปรนนิบัติเช่นเคยเหมือนทุกๆ วัน สีหน้าของคุณชายน้อยใหญ่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง ต่อมาพอฮูหยินสามรู้ว่าคุณนายน้อยใหญ่เป็นคนต้มยา จึงโยนทิ้งทั้งชามทั้งยา คุณชายน้อยใหญ่ตื่นตระหนกจึงรีบคุกเข่าแล้วโขลกศีรษะเป็นการขอโทษ จากนั้นตัวเองก็ไปต้มยาที่ห้องครัว ฮูหยินสามจึงได้หายโกรธ วันๆ ก็เอาแต่บ่นเรื่องจะให้ปลดภรรยาอยู่ข้างหูคุณชายน้อยใหญ่เจ้าค่ะ”
แสดงว่าตอนแรกสวีซื่อฉินโกรธมาก
สืออีเหนียงลูบกำไลไม้กฤษณาแกะสลักดอกบัวบนข้อมือ ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นคุณชายน้อยใหญ่ว่าอย่างไร”
“ตอนแรกคุณชายน้อยใหญ่เกลี้ยกล่อมไม่ให้ฮูหยินสามโกรธ ดูแลรักษาร่างกายให้ดีก่อน เรื่องพวกนี้รอให้ฮูหยินสามหายดีแล้วค่อยว่ากัน ต่อมาก็เพียงแต่รับฟังอย่างนอบน้อม ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ฮูหยินสามโกรธมากพอสมควรเลยเจ้าค่ะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ป้าซ่งก็โน้มตัวไปข้างหน้า กระซิบข้างหูสืออีเหนียงว่า “อ้างว่าตอนกลางคืนกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ มักจะฝันถึงสิ่งไม่ดี นางกลัวจึงให้คุณชายน้อยใหญ่ไปอยู่เป็นเพื่อน คุณชายน้อยใหญ่ยกเตียงมาวางไว้ข้างเตียงนาง ปรนนิบัติฮูหยินสามดื่มชาทุกคืนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเลิกคิ้วขึ้น “หมายความว่าช่วงนี้คุณชายน้อยใหญ่พักผ่อนอยู่ที่เรือนฮูหยินสามตลอดเลยหรือ”
ป้าซ่งพยักหน้าเบาๆ ยืดตัวตรงแล้วกลับมาพูดน้ำเสียงดังเช่นเดิม “ฮูหยินสามใช้ให้คุณชายน้อยใหญ่ทำโน่นทำนี่ ประเดี๋ยวก็ให้คุณชายน้อยใหญ่ไปเชิญหมอหลวงมา ประเดี๋ยวก็ให้ไปจัดยา บางครั้งเงินในจวนไม่พอใช้ก็ให้เขาไปแลกตั๋วเงินที่คลังเงิน ทุกวันยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง บางครั้งเวลาเจอกับคุณนายน้อยใหญ่ก็มีเวลาเพียงแค่พยักหน้าให้กัน ไม่เพียงเท่านี้ฮูหยินสามมักจะอาศัยโอกาสที่คุณชายน้อยใหญ่ไม่อยู่เรือนพูดจาเสียดสีทิ่มแทงคุณนายน้อยใหญ่ ทำให้คุณนายน้อยใหญ่ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หากคุณชายน้อยใหญ่อยู่เรือน ฮูหยินสามก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอด บ้างก็บอกว่าตัวเองมีชีวิตที่ขมขื่น จนแก่แล้วก็ยังต้องมารองรับอารมณ์บุตรชายกับลูกสะใภ้ บ้างก็บอกว่าสงสารเจี่ยนเกอที่ถูกคุณนายน้อยใหญ่ทำให้ต้องเดือดร้อน แม้แต่จะหมั้นหมายลูกสะใภ้ก็ยังยากลำบาก หากนางตายแล้วจะมีหน้าไปพบกับบรรพบุรุษของสกุลสวีได้อย่างไร วุ่นวายอยู่เช่นนี้มาหลายวัน คุณนายน้อยใหญ่เห็นว่ากำหนดวันสอบเตี่ยนซื่อผ่านไปแล้วจึงส่งคนไปเชิญคุณชายฟังมา ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องเป็นเวลานาน คุณชายฟังไม่พูดอะไรสักคำก็กลับไปเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกได้ว่าสาวใช้น้อยต้องได้รับป้ายคู่จากฟังซื่อก่อนจึงจะกล้าดำเนินการ แล้วนึกได้ว่าซิ่งเจียวต้องดูสีหน้าของฟังซื่อก่อนจึงจะกล้าไปเทชาทิ้ง…พูดอย่างครุ่นคิดว่า “หลังจากที่ฮูหยินสามกลับมา วันๆ ก็เอาแต่เอะอะโวยวายเช่นนี้ ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกเลยหรือ”
ป้าซ่งไม่เข้าใจเล็กน้อย คาดเดาความคิดของสืออีเหนียงพลางพูดว่า “หลังจากที่ฮูหยินสามกลับมาก็ไม่ได้ไปไหนเลย ทุกวันอยู่แต่ในจวน บังคับให้คุณชายน้อยใหญ่ปลดภรรยาเจ้าค่ะ”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่านางไม่เข้าใจความหมายของตัวเอง จึงพูดอย่างมีนัยยะว่า “หากข้าจำไม่ผิด บรรดาสาวใช้ที่ตรอกซานจิ่งเหล่านี้เหมือนว่าจะเป็นผู้ติดตามของคุณนายน้อยใหญ่กระมัง ในเมื่อเป็นผู้ติดตามของคุณนายน้อยใหญ่ สกุลสวีจะไม่ให้เงินเดือน และไม่รับผิดชอบเรื่องของกินของใช้ หากฮูหยินสามมีเรื่องอันใด เกรงว่าจะไม่สามารถสั่งการได้กระมัง บรรดาสาวใช้น้อยที่พูดคุยกับเจ้านั้นเป็นใคร เจ้าไปสืบมาชัดเจนแล้วหรือไม่”
ป้าซ่งเข้าใจแล้วเลยรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าก็กลัวว่าผู้ติดตามของสกุลฟังจะพูดเข้าข้างคุณนายน้อยใหญ่ ดังนั้นจึงได้จงใจเลือกคุยกับสาวใช้น้อยที่ติดตามฮูหยินสามกลับมาจากซานหยาง ว่ากันว่าแม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่รับใช้อยู่ที่ตรอกซานจิ่งจะเป็นผู้ติดตามของคุณนายน้อยใหญ่ แต่คุณนายน้อยใหญ่ก็ให้เกียรติบรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติฮูหยินสามเป็นอย่างมาก ข่าวลือที่แพร่กระจายมาจากเรือนหลักไม่เคยถูกละเลย ในข่าวลือล้วนเป็นคำชื่นชมคุณนายน้อยใหญ่ทั้งนั้น บอกว่าสมแล้วที่คุณนายน้อยใหญ่โตมาจากครอบครัวนักปราชญ์ในเจียงหนาน คำพูดและการกระทำเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและความสง่างามของผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
ป้าซ่งยิ้มเจื่อนๆ
ในเมื่อฮูหยินสามอยากจะปลดสะใภ้ที่เป็นผู้ดูแลจวน สิ่งแรกก็คือเพื่อทวงสิทธิ์ในมือของลูกสะใภ้กลับคืนมา จากนั้นก็กักลูกสะใภ้ให้อยู่แต่ในบ้านแล้วให้คนรอบตัวช่วยคิดหาวิธีให้นางออกจากจวน แล้วค่อยคิดหาวิธีป้ายความผิดในเรื่องอกตัญญู การเอาแต่ดุด่านางเช่นนี้มีประโยชน์อะไรกัน
ตอนนี้คุณนายน้อยใหญ่ขอกำลังเสริมแล้ว เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายที่จะสงบลงได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี”
ในใจของป้าซ่ง แม้ว่าการที่ฮูหยินสามบีบคั้นลูกสะใภ้ลับหลังไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเช่นนี้นั้นไม่ถูกต้อง แต่การที่ฟังจี้มาเอะอะโวยวายต้องการขอหย่าเช่นนี้ก็นับว่าไม่ให้ความเคารพต่อสกุลสวีเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรสกุลสวีก็ไม่สามารถวางอำนาจได้ มิเช่นนั้นใครๆ ก็จะมาตะโกนโห่ร้องต่อหน้าสวีลิ่งอี๋
“ท่านโหวกำลังปรึกษากับไท่ฮูหยินเรื่องนี้อยู่พอดี” สืออีเหนียงตอบไปตามความคิดของตัวเอง เพื่อที่หลีกเลี่ยงปัญหาตอนกลับไปแล้วไท่ฮูหยินถามขึ้นมาแล้วจะตอบไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้ไท่ฮูหยินไม่พอใจ “กลับไปฟังว่าท่านโหวกับไท่ฮูหยินว่าอย่างไรแล้วค่อยวางแผนก็แล้วกัน!”
ก็จริง ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีท่านโหวกับไท่ฮูหยินอยู่
“เป็นบ่าวที่กังวลไปเองเจ้าค่ะ” ป้าซ่งพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบกาน้ำชาลายครามสีฟ้าขาวในถังไม้ที่มีสำลีชุบน้ำอุ่นมารินชาให้สืออีเหนียง
“ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงโบกมือปฏิเสธ “จะถึงเหอฮวาหลี่แล้ว อีกสักครู่ข้ายังต้องไปรายงานไท่ฮูหยิน” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องถามเจ้าอีก”
ป้าซ่งวางกาน้ำชาลง ตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
******
ตอนที่รถม้ามาถึงเหอฮวาหลี่ อวี้ป่านพาสาวใช้น้อยเจ็ดแปดคนถือโคมไฟแดงมารอนางอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา
เมื่อหญิงเฒ่าที่ตามรถม้านำบันไดมาวาง อวี้ป่านก็เข้าไปต้อนรับ พยุงสืออีเหนียงลงจากรถม้าด้วยตัวเอง พูดเสียงเบาว่า “ท่านโหวกับไท่ฮูหยินกำลังรอฮูหยินอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ขึ้นไปนั่งบนรถลากแล้วไปหาไท่ฮูหยิน
มีเพียงป้าตู้คนเดียวที่ปรนนิบัติอยู่ในห้อง
ไท่ฮูหยินส่งสัญญาณให้สืออีเหนียงนั่งลงข้างตัวเอง ป้าตู้รินน้ำชา ปิดประตูเก๋อซ่านแล้วถอยออกไป ไท่ฮูหยินรีบพูดขึ้นมาว่า “ภรรยาของเจ้าสามอยู่ที่จวนหรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงถ่ายทอดคำพูดของฮูหยินสาม “อาจเป็นเพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกล พอกลับมาจากซานหยางก็…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ไท่ฮูหยินก็โบกมือ “ที่นี่ก็ไม่ได้มีคนนอก ไม่จำเป็นต้องพูดคำพูดแก้ตัวสวยงามเช่นนี้หรอก”
สืออีเหนียงตอบรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” พยายามที่จะไม่ดื้อดึง ตอบคำถามของไท่ฮูหยินอย่างกระชับ สุดท้ายก็ถ่ายทอดความต้องการของสวีซื่อฉินให้ไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋ได้รู้ในเวลาที่เหมาะสม “…ฉินเกอบอกว่าข่าวลือที่ไม่มีมูลจะจบลงเพราะนักปราชญ์ เขาไม่อยากปลดภรรยา”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วทันที
ไท่ฮูหยินกลับอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ “เด็กคนนี้ซื่อสัตย์เกินไปหน่อย ต่อไปเกรงว่าจะถูกฟังซื่อจูงจมูก” เมื่อพูดจบสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง ถามนางว่า “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิว่าสกุลฟังมีแผนอย่างไรกันแน่”
สืออีเหนียงเองก็กำลังคิดเกี่ยวกับคำถามนี้อยู่ซ้ำๆ
นางตอบอย่างระมัดระวังว่า “ยอมรื้อถอนวิหารแต่จะไม่ยอมล้มเลิกงานวิวาห์ มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่หวังให้บุตรสาวบุตรชายของตัวเองมีชีวิตที่ดี ข้าคิดว่าการที่สกุลฟังบอกว่าต้องการขอหย่าเพียงเพราะอยากจะลงมือก่อน ใช้กลยุทธ์ลำบากตอนนี้สบายภายหน้าก็เท่านั้น”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย สายตาที่มองสืออีเหนียงแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ
“ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนี้” ไท่ฮูหยินพูดช้าๆ ว่า “หากฟังซื่อถูกปลด นั่นก็เท่ากับว่ายอมรับว่านางมีดวงพิฆาตสามีไปโดยปริยาย นี่คือสิ่งที่สกุลฟังไม่อยากเห็นอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นก็คงไม่ทุ่มเทมากมายขนาดนี้เพื่อให้ฟังซื่อแต่งมาอยู่ทางเหนือ แต่ไม่ว่าสกุลไหนหากเจอเรื่องเช่นนี้เกรงว่าก็จะหาเหตุผลมาปลดภรรยาทั้งนั้น แทนที่จะปล่อยให้สกุลพวกเราหาข้ออ้างในการปลดภรรยา ไม่สู้ให้พวกเขาขอหย่าก่อน ถ้าหากพวกเรายืนกรานว่าไม่เห็นด้วยเพราะกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง เรื่องดวงพิฆาตสามีของฟังซื่อก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะพวกเราต่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ต้องให้ฟังซื่อออกจากจวน ฟังซื่อก็จะสามารถกลับสกุลฟังพร้อมกับสินสอดทองหมั้นได้อย่างสมเหตุสมผล หลังจากนี้อีกหลายปีนางก็มีสินสอดทองหมั้นเป็นสมบัติติดตัว อย่างน้อยก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ไม่ถึงขั้นต้องตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพา” ไท่ฮูหยินหยุดไปครู่หนึ่ง “ไม่แปลกใจเลยที่ฟังจี้จะกล้ามาเอะอะโวยวายต่อหน้าเจ้าสี่ ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดที่เขาปรึกษากับฟังซื่อมา หรือว่าคนในสกุลได้ปรึกษาวิธีการรับมือนี้ไว้นานแล้ว ถ้าหากเป็นความคิดที่ทั้งสองคนปรึกษากันเอง เด็กสองคนนี้ก็นับว่ากล้าหาญมาก ถ้าหากเป็นแผนรับมือที่สกุลฟังปรึกษากันไว้นานแล้ว…แม้ว่าฟังจี้จะเป็นทั่นฮวาคนใหม่ แต่ก็ถือว่าเด็กกว่า เรื่องใหญ่เช่นนี้มีหรือที่จะให้เด็กอย่างพวกเขามาปรึกษากัน เห็นได้ชัดว่ากำลังลองใจพวกเรา”
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างเย็นชา “ต่อให้ภรรยาเจ้าสามจะงี่เง่าแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นต้องให้คนสกุลฟังมาสั่งสอนหรอกกระมัง” สายตาของไท่ฮูหยินมองไปที่สืออีเหนียง “เจ้าเป็นคนดูแลจวน ถ้าหากสกุลฟังได้เตรียมแผนไว้แล้ว เจ้าว่าเรื่องเช่นนี้ควรจะจัดการอย่างไร”
จนถึงตอนนี้ฟังซื่อก็ยังไม่ตั้งครรภ์ ฮูหยินสามก็คิดจะกันท่าบุตรชายกับลูกสะใภ้ท่าเดียว ให้บุตรชายอยู่แต่ในห้องของตัวเอง…สกุลสวีหาข้ออ้างได้แค่ว่าฟังซื่อไม่มีบุตร สุดท้ายสกุลฟังก็ต้องยอมก้มหัว
แต่นี่เป็นวิธีสำหรับคนที่หมดหนทาง
สตรีที่ถูกปลดจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต่อให้เป็นการหย่าก็ยังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นกัน หากเปรียบเทียบกันแล้ว ก็เหมือนกับให้เลือกระหว่างตกลงบนดินหรือตกลงบนเสื่อก็แค่นั้น นางไม่เชื่อข่าวลือเรื่องดวงพิฆาตสามี สวีซื่อฉินก็อยากจะใช้ชีวิตกับฟังซื่อต่อไป สกุลฟังก็เพียงแค่อยากจะใช้การหย่ามาต่อรองราคาให้สกุลฟังมีโอกาสตั้งหลักได้…แต่เพื่อหน้าตาของสกุลสวีแล้ว ไม่ว่าฮูหยินสามจะถูกหรือผิด อย่างไรก็ตามไท่ฮูหยินก็จะไม่ยอมให้สกุลฟังทำตามที่ต้องการได้
“ท่านแม่” สืออีเหนียงมองไท่ฮูหยินอย่างจริงจัง “ข้าว่าเรื่องนี้จะต้องถามให้ชัดเจน ดูว่าจริงๆ แล้วเป็นความคิดของเด็กสองคนหรือว่าเป็นความคิดของสกุลฟังกันแน่ หากเป็นเพียงเด็กสองคนที่ก่อความวุ่นวาย พวกเราทำเช่นนี้จะไม่เป็นการพรากสามีภรรยาหรอกหรือ”