ตอนที่ 553 พบกู้ม่านชือโดยบังเอิญ
ทั้งสองเลือกโต๊ะตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
ฟางจั๋วหรานมักมาแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ จึงสั่งอาหารตะวันตกเป็น และยังกินอาหารตะวันตกเก่งอีกด้วย
เขากินอาหารไปพลาง สอนหลินม่ายใช้มีดและส้อมอย่างนุ่มนวลไปพลาง
หลินม่ายกินอาหารตะวันตกเป็น แต่เธอไม่สามารถแสดงมันออกมาได้
ไม่อย่างนั้นฟางจั๋วหรานคงจะถามว่าเธอใช้มีดและส้อมเป็นได้ยังไง เธอก็ต้องพูดโกหกอีก คงเหนื่อยใจน่าดู
ดังนั้นเธอจึงแกล้งทำเป็นกินอาหารตะวันตกไม่เป็น แล้วเรียนรู้กับฟางจั๋วหราน
กินออร์เดิร์ฟเสร็จแล้ว ก็มาถึงจานสเต็กเนื้อ
หลังจากสเต็กเนื้อมาเสิร์ฟแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ทำการสาธิตให้หลินม่ายดู เขาหั่นเนื้อวัวอย่างบรรจง
หลินม่ายแกล้งทำท่าทางเงอะงะแล้วหั่นเนื้อวัวเช่นกัน
เธอหั่นชิ้นหนึ่ง แล้วส่งเข้าปากชิ้นหนึ่ง
อาหารตะวันตกที่เธอชอบกินมีไม่มากนัก ซึ่งสเต็กเนื้อก็เป็นหนึ่งอย่างที่เธอชอบกิน
ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ ฟางจั๋วหรานหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นเล็กโดยที่ไม่ได้กิน
เมื่อถามเขา เขาก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า คุณค่อยๆ กินเถอะ ไม่ต้องสนใจผม
และในขณะที่หลินม่ายกำลังกินด้วยความเอร็ดอร่อยนั้นเอง ฟางจั๋วหรานก็ยกสเต็กที่หั่นเสร็จแล้วนั้นมาไว้ตรงหน้าเธอ แล้วยกสเต็กที่เธอยังกินไม่หมดไปตรงหน้าตัวเองหั่นไปกินไป
หลินม่ายอึ้งไปสองสามวินาที และพลันเข้าใจขึ้นมา ที่แท้ที่ฟางจั๋วหรานเอาแต่หั่นสเต็กไม่ยอมกินเมื่อครู่นี้ ก็เพื่อจะช่วยหั่นให้เธอนี่เอง
หลินม่ายกินสเต็กที่ฟางจั๋วหรานหั่นให้เธอพร้อมกับเลิกคิ้วยิ้มแป้น รู้สึกมีความสุขยิ่ง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเพลินเพลินกับอาหารเลิศรสอยู่นั้น ที่มุมห้องของภัตตาคารมีดวงตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องพวกเขาอยู่ตลอด
เจ้าของดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น ก็คือกู้ม่านชือนั่นเอง
เมื่อครู่นี้ตอนที่ฟางจั๋วหรานปรากฏตัวขึ้นในร้าน หล่อนก็เห็นเขาในทันที
หล่อนไม่อยากให้ฟางจั๋วหรานเห็นสภาพตกอับที่มาเป็นพนักงานบริกรในร้านอาหารของหล่อน จึงหลบซ่อนตัวไป
จนเมื่อฟางจั๋วหรานและหลินม่ายไม่สนใจหล่อนแล้ว หล่อนจึงแอบหลบอยู่ในมุมมุมหนึ่งพิจารณาพวกเขาสองคนอย่างละเอียด
หล่อนรู้ว่าฟางจั๋วหรานมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ปู่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจระดับสูง
ไม่อย่างนั้นตอนนั้นหล่อนก็คงไม่ตามจีบเขา ให้เขามาเป็นแฟนหนุ่มของตนหรอก
แต่ต่อให้ฐานะของเขาจะดีแค่ไหน แต่ก็จำกัดอยู่เพียงในประเทศ ฐานะนั้นของเขาเทียบกับอะไรไม่ได้เลยในอเมริกา
นี่จึงทำให้ตอนนั้นหล่อนทิ้งฟางจั๋วหรานไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วแต่งงานกับครูชาวต่างชาติคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของหล่อน
แค่เพราะอยากมาอเมริกา ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งยิ่งกว่าในประเทศ
หล่อนตามสามีผมสีดอกเลามาที่อเมริกา และได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยมั่งคั่งจริงๆ อยู่สองปี
แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ นั้นอยู่ได้ไม่นาน สามีที่อายุเกินครึ่งร้อยของหล่อนกลับเบื่อหน่ายหล่อนอย่างรวดเร็ว
เขาให้เงินหล่อนมาก้อนหนึ่ง แล้วหย่ากับหล่อน
ในตอนนั้นหล่อนได้คลอดชงชงลูกของพวกเขาออกมาแล้ว
หล่อนนึกว่าเมื่อมีลูกอยู่ในมือแล้ว จะสามารถขอค่าเลี้ยงดูจากอดีตสามีได้ตลอด
ไม่นึกว่าอดีตสามีจะแกล้งหายตัวไป จนหล่อนตามหาเขาไม่เจออีกเลย
เงินค่าเลี้ยงดูก้อนนั้นที่อดีตสามีให้หล่อนมาไม่นานก็ถูกใช้จนหมด หล่อนจึงจำเป็นต้องออกมาทำงาน
หาเงินเดือนมาเลี้ยงชีพตนและลูกชายสองคน ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างลำเค็ญ
ชีวิตสุขสบายที่หล่อนเฝ้าปรารถนานั้นไม่มีอีกแล้ว เหลืออยู่เพียงความยากลำบาก
แต่เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานดูเหมือนจะไปได้ดี และยังสวมเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถันอย่างมาก
ต่อให้เขาจะมีความสามารถแค่ไหน มีฐานะในประเทศดีแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแต่งตัวประณีตดูดีขนาดนี้
สายตาของกู้ม่านชือจึงเบนไปยังหลินม่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวไม่เลวเหมือนกัน หรือว่าหล่อนจะเป็นคุณหนูบ้านรวยกัน? ฟางจั๋วหรานอยู่กับหล่อนก็เลยใช้ชีวิตได้อย่างชื่นมื่นขนาดนี้สินะ?
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานนั้นไม่ได้รู้เลยว่ากู้ม่านชือกำลังสังเกตการณ์พวกเขาอยู่ เมื่อกินอาหารเสร็จก็เดินออกไป
กู้ม่านชือแอบตามอยู่ข้างหลังอย่างลับๆ ล่อๆ อยากจะเห็นว่าพวกเขาไปที่ไหน
และยิ่งอยากรู้ว่าสาวสวยที่อยู่ข้างกายฟางจั๋วหรานคนนั้นจริงๆ แล้วเป็นลูกสาวเศรษฐีหรือไม่
หากว่าใช่ หล่อนก็อยากจะเป็นเพื่อนกับเธอ
แต่นึกไม่ถึงว่าฟางจั๋วหรานและผู้หญิงข้างหายจะออกจากร้านไปแล้วโบกรถแท็กซี่ไปทันที หล่อนอยากจะตามไปก็ตามไม่ได้
กระทั่งเมื่อกลับไปที่ภัตตาคารด้วยความไม่พอใจ ก็ถูกหัวหน้าพนักงานที่เป็นคนขาวจับได้พอดี
หัวหน้าพนักงานนั้นเป็นพวกเหยียดผิว เขาด่าทอหล่อนเสียเละเทะ แถมยังด่าว่าหล่อนเป็นหมูขี้เกียจอีกต่างหาก
กู้ม่านชือฟังอย่างเงียบเชียบ หล่อนโดนจนชินแล้วล่ะ
……
หลังจากทำความสะอาดหลุมศพเสร็จ จากนั้นก็เป็นการรับสืบทอดมรดกมหาศาลของคุณยายของฟางจั๋วหรานอย่างเป็นทางการแล้วของเขาแล้ว
หลังจากฟางจั๋วหรานรับมรดกทั้งหมดแล้ว เขาก็สะสางเรื่องบริษัทให้เป็นระเบียบอย่างละเอียดด้วยความช่วยเหลือของหลินม่าย โดยเฉพาะการตรวจสอบรายการบัญชี ซึ่งทั้งหมดล้วนไม่มีปัญหา
แต่ก็ไม่ใช่เพราะชาวต่างชาตินั้นซื่อสัตย์สุจริตมาก แต่เพราะคุณยายของฟางจั๋วหรานมีความสามารถในการมองคน มือซ้ายมือขวาที่ว่าจ้างนั้นล้วนเป็นเพื่อนร่วมชาติที่นางพามาจากประเทศจีน
และก็เพราะมีผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ที่มีน้ำใสใจจริงต่อกันเหล่านี้อยู่ ต่อให้คุณยายของฟางจั๋วหรานจะจากโลกนี้ไปแล้วกว่าครึ่งปี บริษัทก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ
ฟางจั๋วหรานไม่เข้าใจการทำธุรกิจ จึงมอบหมายบริษัทให้หลินม่ายจัดการดูแล
กลุ่มขุนนางผู้จงรักเหล่านั้นของคุณยายเขากลัวว่าหลินม่ายจะใช้ความสวยมาล่อลวงฟางจั๋วหรานเพื่อที่จะฮุบสมบัติมากมายมหาศาลที่คุณยายของฟางจั๋วหรานทิ้งไว้ให้เขา จึงพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างหนักไม่ให้เขามอบบริษัทให้หลินม่าย
ความจริงแล้วหลินม่ายไม่ได้ปรารถนาในเงินทองมากขนาดนั้น
สิ่งที่เธอชอบคือความรู้สึกของการหาเงิน หาเงินได้ยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและคุณค่าในชีวิตของตนได้มากเท่านั้น
ในเมื่อคุณลุงคุณอาพวกนี้กลัวว่าตนจะแย่งทรัพย์สมบัติที่คุณยายของฟางจั๋วหรานทิ้งไว้ให้เขาไปขนาดนั้น อย่างนั้นก็ทำข้อตกลงไปเลย ว่าตนจะไม่มีวันแตะต้องทรัพย์สินที่คุณยายฟางจั๋วหรานทิ้งไว้ให้เขา
ฟางจั๋วหรานไม่ได้แสดงความเห็นคัดค้าน
หากสาวสวยไม่ทำข้อตกลงเอาไว้ คุณลุงคุณอาพวกนั้นคงจะห่อเหี่ยวใจ ไม่เป็นอันทำงานกันแน่
พวกเขายังคงซื่อสัตย์ภัคดี และพยายามทำงานหนักเพื่อบริษัทแม้หลังจากที่คุณยายจากไปแล้ว ทั้งหมดก็เพื่อลูกหลานของคุณยาย
เหมือนกับที่ขงเบ้งตอบแทนเล่าปี่ด้วยสำนึกในบุญคุณ
หากบริษัทเปลี่ยนเจ้าของ พวกเขาจะมีใครรับได้?
เพื่อให้บริษัทมั่นคง ฟางจั๋วหรานเองก็ทำได้เพียงยอมรับให้หลินม่ายทำเช่นนั้น
ฟางจั๋วหรานคิดว่า รอให้เขากับหลินม่ายแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกันอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะยกสมบัติทั้งหมดให้หลินม่าย คุณลุงคุณอาพวกนั้นเองก็คัดค้านอะไรไม่ได้อีก
หลินม่ายสิ่งแรกที่หลินม่ายทำเมื่อรับช่วงบริษัท ก็คือให้เงินรางวัลมหาศาลก้อนใหญ่แก่“ขุนนางผู้จงรัก”ทุกคน เป็นการขอบคุณในความทุ่มเทของพวกเขาหลังจากที่คุณยายจากไป
เธอคิดอยู่เสมอว่า ต้องมีการเสียสละให้ก่อนจึงจะได้รับกลับมา
บุคลากรทำได้ดี รางวัลที่ควรให้ก็ต้องให้ เขาถึงจะมีแรงจูงใจ ถึงจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น
ความสามารถในการทำงานของเจ้านายเองจะไม่มากพอก็ไม่เป็นไร แต่ความสามารถในการควบคุมคนนั้นอย่างไรก็ต้องมี
เมื่อควบคุมบุคคากรที่มีความสามารถได้ดี จึงจะสามารถทดแทนจุดที่ยังไม่เพียงพอของตัวเองได้
จนเมื่อหลินม่ายจัดการเรื่องทุกอย่างของบริษัทข้ามชาติของคุณยายเสร็จสิ้น ตอนที่บินกลับเจียงเฉิง ก็เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว
ยามที่จากมาเป็นฤดูใบไม้ร่วง ยามที่กลับไปก็เป็นฤดูหนาวไปแล้ว
แม้จะมาที่อเมริกาประมาณหนึ่งเดือนแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เดินเล่นช้อปปิ้งกันดีๆ เลยสักครั้ง
ก่อนออกเดินทางกลับหนึ่งวัน ฟางจั๋วหรานจึงลากหลินม่ายไปช้อปปิ้งกัน
ได้มาอเมริกาอย่างหาได้ยากทั้งที หลินม่ายจึงซื้อสิ่งของมากมายให้กับคนทั้งหมดที่บ้าน ทั้งของกินเสื้อผ้าของใช้มีหมดทุกอย่าง
ทั้งยังซื้อรถเบนซ์หนึ่งคัน
ภายในประเทศในยุคนี้ไม่ได้มีขายรถยนต์ต่างประเทศให้กับคนทั่วไป ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้
ไม่สู้ซื้อสักคันที่อเมริกา แล้วค่อยฝากขนส่งกลับประเทศ
ไม่ว่าจะซื้อรถ หรือว่าซื้อของ เงินที่ใช้จ่ายทั้งหมดคือเงินของฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานมองดูเธอซื้อด้วยรอยยิ้มบาง ส่วนเขาก็จ่ายเงินอยู่ข้างหลัง
อย่างมากที่สุดเขาก็แค่พูดแทรก “อันนี้ถูกเกินไปหรือเปล่า? ตรงนั้นมีอันที่แพงกว่านี้อีกนะ”
ร้อนไปถึงพนักงานร้านที่จ้องหลินม่ายเขม็ง หวังว่าเธอจะฟังที่ฟางจั๋วหรานพูด
แต่ทุกครั้งหลินม่ายก็จะพูดว่า แค่ซื้อถูกต้องก็พอ ไม่ต้องซื้อของแพงหรอก
ของที่ควรซื้อก็ซื้อหมดแล้ว หลินม่ายจึงอยากกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้นั่งเครื่องบินกลับไป
แต่ฟางจั๋วหรานยืนกรานจะลากเธอเข้าร้านจิวเวลรี่แบรนด์ดังร้านหนึ่ง เพราะอยากจะซื้อเครื่องประดับให้เธอ
หลินม่ายไม่ได้รู้สึกสนใจต่อเครื่องประดับเพชรพลอย แต่เมื่อฟางจั๋วหรานยืนกรานที่จะซื้อให้เธอเองก็ไม่ปฏิเสธ
เธอเองก็ซื้อเครื่องประดับให้คุณย่าฟางไม่น้อยเช่นกัน
คุณย่าฟางมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แม้ว่าตอนนี้นางจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ชอบเครื่องประดับเสียหน่อย
เธอยังซื้อสร้อยคอทองคำให้กับโจวฉายอวิ๋น เคอจื่อฉิง กับเถาจืออวิ๋น หลี่หมิงเฉิงและเฉินเฟิงเพื่อนที่ดีทั้ง 5 คน คนละเส้นอีกด้วย
ที่ประเทศอเมริกา สร้อยทองเส้นหนึ่งไม่ใช่ของมีราคาค่างวดมากมายอะไร แต่ที่ประเทศจีนกลับมีค่ามาก
แม้หลี่หมิงเฉิงและเฉินเฟิงจะไม่สวมสร้อยทอง แต่ภรรยาในอนาคตของเขานั้นสวม พวกเขาสามารถส่งต่อให้กับภรรยาของตัวเองได้
ฟางจั๋วหรานเห็นของขวัญที่หลินม่ายเลือกให้เฉินเฟิงเป็นสร้อยคอทองคำสำหรับผู้หญิง ก็อดยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้
เมื่อซื้อเครื่องประดับเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินออกจากร้าน แล้วขึ้นรถหรูของฟางจั๋วหราน
กู้ม่านชือที่เดินผ่านมาแถวนั้นเห็นฉากนั้นเข้า ก็ขมวดคิ้วแน่น
หล่อนมองรถหรูคันนั้น แล้วมองไปยังร้านจิวเวลรี่ร้านนั้นอีกครั้ง
ในใจคิดว่าหญิงสาวคนนั้นที่อยู่ข้างกายฟางจั๋วหรานเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้?
จนถึงตอนนี้หล่อนก็ยังคงคิดว่าหลินม่ายเป็นลูกสาวเศรษฐีอยู่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
รวยขนาดซื้อเบนซ์กลับประเทศได้นี่มันต้องรวยขนาดไหนกันคะเนี่ย
เธอพลาดแล้วล่ะคุณแฟนเก่า อย่าได้กลับมาหาพี่หมอเลยนะ ใช้ชีวิตของเธอไปเถอะ
ไหหม่า(海馬)