“ผู้อาวุโสพวกนี้ช่างไร้สาระเสียไม่มี มีคนตายไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้ การสวดมนต์จะไปมีประโยชน์อะไร” น้ำเสียงเย้ยหยันของหยวนหมิงดังขึ้น
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”มันอาจไม่มีประโยชน์ต่อการจับกุมตัวฆาตกร แต่มันย่อมใช้ได้ผลกับคนที่มีวิญญาณสิงอยู่เช่นข้า”
หยวนหมิงหรี่ตาลงทันที ”ดูเหมือนเราจะคิดตรงกัน มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้อาวุโสจะจ้างพระอาจารย์เหล่านั้นมาเพื่อจัดการกับเจ้า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นด้วยกับเขา นางยกชาขึ้นจิบแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากนั้นจึงถามขันทีซุนด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปจากเดิมว่า ”อดีตฮ่องเต้เห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือ”
“เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนตอบ ”ผู้อาวุโสเหล่านั้นพูดจาน่าเชื่อถืออย่างมากพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความคิดของพวกเขา พระชายา ท่านเองก็รู้ดีว่าตราบใดที่ขุนนางชราเหล่านั้นพอใจกับผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ อดีตฮ่องเต้ย่อมไม่สามารถพูดอะไรกับพวกเขาได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า ”ถูกต้อง เขาควรเห็นด้วยกับคนพวกนั้น” หากเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น ผู้คนย่อมเกิดความสงสัย และมันจะทำให้พวกนางตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบากได้
“อดีตฮ่องเต้ขอให้กระหม่อมแจ้งกับพระชายาว่า ไม่ต้องแปลกใจไปหากได้ยินเสียงสวดมนต์พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินว่าพวกเขาตั้งใจจะสวดมนต์ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม แต่กระหม่อมก็ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า” ขันทีซุนถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า ”พวกเราเคยเห็นบรรดาสาวใช้ที่ถูกฆ่าตายมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ น่าเสียดายยิ่งนักที่พวกนางต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคาะนิ้วชี้ลงกับขอบโต๊ะเป็นจังหวะ นี่เป็นนิสัยประจำตัวที่นางมักทำตอนใช้ความคิด ”จากที่ท่านว่ามา ศพของพวกนางถูกพบที่ริมแม่น้ำหรือ ข้าอยู่ในวังหลวงมาก็นาน แต่ทำไมข้าไม่เคยเห็นแม่น้ำสักสายในวังหลวงมาก่อนเลยล่ะ”
“สถานที่แห่งนั้นตัดขาดจากโลกภายนอก มีเพียงแค่ผู้ที่อยู่ในวังหลวงมานานเท่านั้นถึงจะรู้จักแม่น้ำสายนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนบอก เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเสริมว่า ”มันอยู่ด้านหลังตำหนักเย็น จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนแรกแม่น้ำสายนี้เป็นเพียงแค่แอ่งน้ำที่ไหลมาจากคูเมือง แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดระดับน้ำจึงได้สูงขึ้น จนสุดท้ายกลายเป็นแม่น้ำขึ้นมาได้ แต่ถ้าน้ำไม่ขึ้น พวกเราก็คงพบศพพวกนั้นช้ากว่านี้ ช่างประจวบเหมาะดีเหลือเกิน กระหม่อมคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดมาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ”ใช่ ช่างประจวบเหมาะดีจริงๆ”
“หืม” ขันทีซุนเป็นคนหัวไว แม้เขาจะมองคดีนี้ไม่ออก แต่เขาก็สังเกตถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ เมื่อตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้น แล้วถามว่า ”พระชายา ท่านกำลังบอกเป็นนัยหรือขอรับว่าเรื่องไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาในมือลง และตอบว่า ”ขันทีซุน ท่านจำภารกิจที่อดีตฮ่องเต้มอบหมายให้องค์ชายกับข้าตอนที่พวกเราไปยังเมืองฟู่ผิงได้หรือไม่”
“จำได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนตอบอย่างรวดเร็ว ”เมืองฟู่ผิงมีพื้นที่กว้างใหญ่ซึ่งเหมาะสมต่อการเพาะปลูก แต่เมืองฟู่ผิงกลับต้องผจญกับภัยแล้งอันรุนแรง ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก อดีตฮ่องเต้ทรงทุกข์ใจกับปัญหาสภาพอากาศของเมืองฟู่ผิงมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่พระชายาและองค์ชายไปที่เมืองฟู่ผิงด้วยตัวเอง และช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้สำเร็จ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ”เมืองฟู่ผิงไม่ใช่บริเวณเดียวที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งนั้น ที่เมืองหลวงก็ไม่มีฝนตกมานานแล้วเช่นกัน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป ขันทีซุนไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ฝนเพิ่งตกไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ระดับน้ำในแอ่งน้ำนั้นกลับไม่สูงขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พอมาถึงเดือนนี้ แผ่นดินแห้งแล้งมากว่าสิบวัน แต่ระดับน้ำกลับสูงขึ้นจนสังเกตเห็นได้”
ขันทีซุนตกใจกับคำพูดนั้น จากนั้นเขาก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าของเขาดูตื่นตระหนก ”พระชายา…”
“ขันทีซุน” เฮ่อเหลียนเวยเวยขัดเขาก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ”ขันทีซุนลืมสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่ไปเถิด หากระดับน้ำที่สูงขึ้นนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากน้ำฝน เช่นนั้นก็อาจจะมีสาเหตุมาจากปัญหาการจัดการคูเมืองก็เป็นได้ หากไม่มีคำสั่งจากเบื้องบนลงมา ย่อมไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับคูเมืองแห่งนั้นแน่”
นิ้วของขันทีซุนสั่นน้อยๆ ”ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก” เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชา แล้วจึงพูดต่อ ”และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ท่านไม่ควรพูดเรื่องนี้”
ขันทีซุนลอบมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะหลุบตาลง แล้วกล่าวว่า ”เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คูเมืองเป็นพื้นที่ดูแลของคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยที่สุด
มันเป็นพื้นที่ที่แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็ไม่สามารถใช้สถานะเข้าไปก้าวก่ายได้
บางครั้ง ข้ารับใช้เช่นเขาก็ควรรู้ฐานะของตัวเอง และไม่พูดมากจะดีกว่า
แต่ทำไมปัญหานี้ถึงเกิดขึ้นที่คูเมืองล่ะ
“พระอาจารย์เหล่านั้นจะมาถึงเมื่อไหร่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ ก่อนเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่านางกำลังพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น
ขันทีซุนดึงความคิดของตัวเองกลับมาได้ในที่สุด เขาตอบว่า ”กระหม่อมคาดว่าพวกเขาน่าจะมาถึงตอนเที่ยงของวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ การนิมนต์พระอาจารย์ชื่อดังจำนวนมากมาพร้อมกันเป็นจำนวนมากเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนที่วังหลวงก็ยังต้องการเวลาสำหรับเตรียมตัวต้อนรับการมาถึงของพวกเขาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกของท่าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง แล้วจิบชาลงคออึกหนึ่ง ก่อนรอยยิ้มเย็นชาจะถูกวาดขึ้นบนริมฝีปากของนาง
เพราะรู้ว่าขันทีซุนมองไม่เห็นตัวเอง หยวนหมิงจึงขยับตัวไปใกล้ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกระซิบข้างหูนางพร้อมด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า ”พวกมันเตรียมตัวมาดีทีเดียว ดูเหมือนพวกมันคงตั้งใจจะฆ่าเจ้า”
“ความตายของผู้อาวุโสอวิ๋นคงทำให้พวกเขาร้อนใจ” เฮ่อเหลียนเวยเวยทอดสายตามองออกไป จากนั้นจึงเอ่ยต่อ ”ความวิตกกังวลอันรุนแรงเป็นสัญญาณแห่งความหวาดกลัวอันเด่นชัด ท่านตาของข้าเป็นชายชาติทหาร แต่การตายของเขากลับยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ฐานะของผู้ร้ายในคดีนั้นค่อนข้างชัดเจนทีเดียว”
หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะหัวเราะออกมา ”ข้าเข้าถึงจิตใจของเจ้าได้ก็เพราะความเคียดแค้นอันรุงแรงที่อยู่ในตัวเจ้าปลุกข้าขึ้นมา หลังจากการตายของฮูหยินซู บิดาผู้ไร้สำนึกของเจ้าก็ถูกอัครเสนาบดีซูหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำร่างไปทิ้งไว้ข้างถนน ต่อจากนั้นเจ้าก็สามารถกู้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของตระกูลเฮ่อเหลียนกลับมาได้ แต่เพราะพันธสัญญาของพวกเรายังไม่จบสิ้น ข้าจึงไม่สามารถไปจากเจ้าได้จนกว่าเจ้าจะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จ”
“เป้าหมายของข้าไม่ใช่เรื่องง่ายมาตั้งแต่แรก” เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นกับถ้วยชาในมือพลางเอ่ยต่อ ”ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ปล่อยตระกูลซูเอาไว้นานถึงเพียงนี้หรอก”
หยวนหมิงยักไหล่ ”อืม เจ้าก็พูดไม่ผิด ด้วยความสามารถที่เจ้ามีในเวลานี้ เจ้าอาจจะสามารถจัดการกับพวกนั้นได้ทีละคน แต่ทันทีที่คนพวกนั้นร่วมมือกัน มันจะเป็นการยากลำบากสำหรับเจ้าอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตัวตนของเจ้าไม่เป็นที่สะดุดตา พวกเขาจึงไม่ได้จับตาดูเจ้า แต่ตอนนี้พวกมันกลับเลือกที่จะชิงลงมือก่อน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะสามารถต้านทานมันได้”
“เจ้าคิดว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะทนได้นานเพียงใด” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามหยวนหมิงกลับ
หยวนหมิงบิดขี้เกียจ ”หากเทียบกับเด็กสาวที่เจ้าเคยเป็นในวันพิธีอภิเษกสมรส ตัวเจ้าในตอนนี้นับว่าแตกต่างจากนางมาก หากไม่ใช่เพราะผลจากปราณแห่งความเคียดแค้นที่อยู่รอบวังหลวง บทสวดนั้นย่อมทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็เป็นห่วงทีเดียว เพราะความฝันของเจ้าในช่วงนี้ และเพราะวิญญาณของเจ้ายังไม่เสถียรเหมือนก่อน หากมันไม่ได้ทรงพลังมากนัก เจ้าอาจจะทนได้สักครึ่งชั่วยามกระมัง”
“ครึ่งชั่วยาม…” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ”พระอาจารย์เหล่านั้นจะสวดมนต์ทำวัดเช้าและทำวัดเย็น ในระหว่างนั้นข้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีก็ได้ แต่ถ้าคนพวกนั้นพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อนำพวกเขาเข้ามาในวังหลวง ข้าเดาว่าพวกเขาน่าจะเตรียมข้ออ้างเพื่อบังคับให้ข้าเข้าร่วมเอาไว้แล้ว”
หยวนหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ไหนๆ เจ้าก็ต้องลงสู้ศึกที่ไม่มีทางชนะนี่อยู่แล้ว ทำไมไม่มอบวิญญาณของเจ้ามาให้ข้าเสียล่ะ ข้าจะช่วยฆ่าพวกมันแทนเจ้าเอง”
“หยวนเสี่ยวหมิง ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าข้าไม่สนใจข้อเสนอของเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยลุกขึ้น แล้วตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ”ตราบใดที่ข้ายังยืนหยัดอยู่ได้ ย่อมหมายความว่ามันยังไม่ถึงทางตัน”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง