หยวนหมิงรู้สึกสนใจกับสิ่งที่นางพูด ”เจ้าคิดจะทำอะไร”
”เราจะใช้การปรากฏตัวของพวกเขาเพื่อขยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังหลวงให้ยิ่งใหญ่ขึ้น จากนั้นคดีนี้ย่อมได้รับการสืบสวนอย่างละเอียด” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพลางเล่นกับแหวนที่นิ้ว ”แต่ข้าคิดว่าคดีนี้คงไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็น”
”แน่นอนว่ามันย่อมไม่ง่าย” เสี่ยวไป๋กระโดดออกมายืนอยู่ตรงหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ”ข้าไปดูแม่น้ำที่ขันทีซุนพูดถึงมาแล้ว ปราณแห่งความเคียดแค้นรุนแรงอย่างมาก ก้นแม่น้ำกลายเป็นสีแดงด้วยเลือด หากยึดตามยันต์แปดทิศห้าธาตุ ภูเขาเป็นหยาง น้ำเป็นหยิน เวลานี้มีคนตายในน้ำ มันจึงนำมาซึ่งลางร้าย” พอพูดจบ มันก็กระโดดขึ้น ”ดูนั่นสิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองตามสายตาของเสี่ยวไป๋ไป นางหรี่ตาทันทีที่เห็นสิ่งที่นอนอยู่ตรงหน้า ”ปลาตาย”
ขันทีซุนบังเอิญได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้า เขาเอ่ยขึ้นว่า ”เอ่อ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตลอดสองวันที่ผ่านมา มีปลาตายหลายตัวทีเดียว”
”อาจเป็นเพราะคุณภาพน้ำไม่ดีก็ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตากลับมา แล้วกวักมือเรียกเด็กชายตัวน้อยเข้ามาหา
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยกำลังตั้งหน้าตั้งตากินซาลาเปาเนื้ออยู่ เมื่อเขาสังเกตเห็นสัญญาณมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็เดินเตาะแตะเข้าไปหานาง เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอวดดีว่า ”พี่สะใภ้สาม ท่านอยากอัดคนหรือขอรับ ไปกันเลย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …นอกจากเรื่องกินแล้วเขาก็รู้จักแต่เรื่องชกต่อยกับคนอื่น นี่มันดีต่อเขาแล้วจริงๆ หรือ
”ไม่ล่ะ ข้าเพียงแค่จะแนะนำเจ้าว่าเจ้ากินได้ทุกอย่าง แต่อย่าไปกินปลาที่ลอยอยู่ในน้ำนั่นเข้าเชียวล่ะ เข้าใจหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยโน้มตัวลงสบตากับเด็กชายตัวน้อย สายตาของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เด็กชายตัวน้อยชำเลืองมองทะเลสาบแห่งนั้น ก่อนจะหันหน้ากลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ”เข้าใจแล้วขอรับ ปลาพวกนั้นมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ อีกทั้งกลิ่นของมันยังโชยมาแต่ไกลเลยทีเดียว พี่สามเคยบอกข้าเอาไว้นานแล้วขอรับว่าอย่าแตะต้องของที่มีกลิ่นเหม็นเช่นนั้น”
”พวกมันมีกลิ่นเหม็นด้วยหรือ” เสี่ยวไป๋ทำจมูกฟุดฟิด มันพยายามดมไปรอบๆ จากนั้นตาแมวสีเงินของมันก็ปิดลง ทำไมข้าไม่เห็นได้กลิ่นเลยล่ะ
ตามหลักการแล้ว ประสาทการรับกลิ่นของมันน่าจะดีกว่าของเด็กคนนี้…
ในขณะเดียวกันนั้นหยวนหมิงกลับหัวเราะ และเผยสีหน้าชั่วร้ายออกมา ”ดูเหมือนองค์ชายเจ็ดตัวน้อยจะเป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้น ตาแมวของมันหรี่ลงจนกลายเป็นเส้นตรง ”เจ้ารู้อะไรที่ไม่ข้าไม่รู้หรือ เขาเป็นหนึ่งในพวกเจ้ารึ”
”ข้าก็รู้มากกว่าเจ้าเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น” หยวนหมิงหัวเราะชั่วร้าย ”จากข้อมูลอันน้อยนิดที่ข้ารู้ ข้าสามารถยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่หนึ่งในพวกข้า และที่ข้ารู้ก็คือเขาไม่ใช่หนึ่งในพวกเราเช่นกัน เขาไม่มีร่องรอยพลังเวทติดตัวเลย”
เสี่ยวไป๋รู้สึกสงสัยในคำพูดของหยวนหมิงอยู่เล็กน้อย ”ถ้าเขาไม่ใช่สัตว์อสูร แล้วเขาจะเป็นตัวอะไร”
”ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร แต่แม่นางก็ไม่เคยระวังตัวเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ นางรักและห่วงใยเขาเหมือนเขาเป็นลูกของนาง ดังนั้นข้าคิดว่าเราน่าจะลอบสังเกตการณ์เขาอย่างใกล้ชิดได้” หยวนหมิงมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในทะเลสาบ แล้วถอนหายใจยาว ”ข้าหล่อขึ้นอีกแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปหาพวกเขา พร้อมกับขู่ว่าจะเผาหนังสือโบราณเล่มนั้นไปด้วย ”สุดหล่อ เจ้าช่วยบอกสิ่งที่เจ้ารู้ให้ข้ารู้ด้วยได้หรือไม่ เจ้าเจ็ดเป็นตัวอะไรกันแน่หรือ”
”อ๊าก!” หยวนหมิงสะดุ้งโหยงด้วยความหวาดกลัว แล้วรีบเป่าให้ไฟดับในลมหายใจเดียว ”เราคุยกันด้วยสันติวิธีก็ได้ เจ้าไม่ต้องขู่ข้าทุกครั้งเช่นนี้หรอก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางหนังสือโบราณเล่มนั้นลง นางกอดอก เลิกคิ้วขึ้น แล้วออกคำสั่งสั้นๆ ว่า ”คายออกมาซะ!”
”ข้าก็แค่เดาเท่านั้น” รอยยิ้มของหยวนหมิงแฝงไปด้วยความซุกซน ”แม้จะยังเด็ก แต่เขาก็แข็งแรงผิดมนุษย์ อีกทั้ง ประสาทสัมผัสการรับกลิ่นของเขาก็ยังไวเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำยังดีกว่าลูกหลานของเผ่าไป๋เจ๋อเสียอีกตั้งแต่วินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก ร่างของเขาก็เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต ไม่มีปีศาจหรืออสูรตนใดสามารถกัดกินวิญญาณของเขาได้ นอกจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นอกจากสิ่งนี้ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะมีคุณลักษณะเช่นนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วบางเข้าหากัน แล้วตอบว่า ”เจ้าจะบอกว่าเจ้าเจ็ดไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์หรือ”
”สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็มีร่างมนุษย์เหมือนกัน” เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ”พวกเรามีร่างพื้นฐานสองร่าง คือร่างที่เป็นสัตว์ และร่างที่เป็นมนุษย์ พวกเราจะอยู่ในร่างใดนั้นก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามสถานการณ์ แต่ข้ากลับคิดว่ามันดูประหลาดอย่างไรชอบกล เพราะข้าไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างของเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว”
หยวนหมิงเอ่ยต่อด้วยใบหน้าที่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย ”สาเหตุเดียวที่ทำให้เจ้าสัมผัสกลิ่นอายไม่ได้เป็นเพราะมันทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถกัดหนังหนาๆ ของกิเลนอัคคีออกมาได้เชียวนะ เจ้าคิดว่ามันคือตัวอะไรกันล่ะ”
”เจ้าคิดว่ามันคือ…” ทันใดนั้น เสี่ยวไป๋ก็เคลื่อนสายตาไปมองเด็กชายตัวน้อยที่นั่งเล่นกับมดอยู่ข้างๆ ”ไม่ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด! ในเวลานั้นตอนที่ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกนำมาใช้ และชายคนนั้นหายตัวไป แม้กระทั่งพระกษิติครรภโพธิสัตว์[1]ก็ยังไม่สามารถกำราบมันได้ พวกเขายอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่ออัญเชิญเพลิงนรกโลกันต์ออกมาเพื่อล่าสังหารมันด้วยซ้ำ มันถูกเพลิงนรกกลืนกินไปแล้วนี่ ข้าเข้าใจผิดหรือ”
หยวนหมิงหัวเราะออกมาเบาๆ ”เรื่องมันก็เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ใครเล่าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ยิ่งกว่านั้น มันก็แตกต่างจากกิเลนอัคคี กิเลนอัคคีไม่สามารถแยกจากชายคนนั้นได้ก็จริง แต่มันแทบจะไม่ปรากฏตัวออกมาหากชายคนนั้นไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ทุกคนกล่าวกันว่ากิเลนอัคคีเป็นผู้นำของสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพียงเพราะผู้คนมักจะลืมเรื่องของเจ้าสิ่งนั้นไปต่างหาก จะว่าไปแล้ว เจ้าสิ่งนั้นก็ยืนอยู่เคียงข้างชายคนนั้นมานานยิ่งกว่าใคร และเป็นสัตว์ตัวที่รับมือยากที่สุดด้วย ไม่อย่างนั้นผู้ที่ทรงอำนาจอย่างพระกษิติครรภโพธิสัตว์ก็คงไม่ทำพลาดตอนที่พยายามกำราบมันหรอกกระมัง”
”แต่มันจะกลายร่างเป็นเด็กได้อย่างไร” เสี่ยวไป๋มองเด็กชายตัวน้อยอีกครั้งด้วยความลังเล
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมได้ยินบทสนทนาของพวกมัน นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”บางทีมันอาจจะไม่ได้กลายร่างเป็นเด็กก็ได้”
”ถูกต้อง ไม่มีใครบอกว่ามันต้องเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของตัวเองเสมอไปเสียหน่อย” ดวงตาของหยวนหมิงเป็นประกาย ”ร่างมนุษย์ของมันอาจจะเป็นเด็กมาตั้งแต่แรกก็ได้ คนที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเทพหรือปีศาจจะได้ยอมทำตามใจมัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ ”เรื่องพวกนั้นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ สิ่งสำคัญก็คือการที่เจ้าเจ็ดมีฝีมือโดดเด่นเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปต่างหาก มิหนำซ้ำเขายังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าสองคนต้องจับตาดูเขาให้ดี อย่าให้สี่ผู้อาวุโสรู้เรื่องเขาได้”
”พวกข้าไม่จำเป็นต้องจับตาดูเขาหรอก” หยวนหมิงมองไปที่ป่าทางด้านขวามือของตัวเอง ”สามีของเจ้าปกป้องเด็กคนนี้เป็นอย่างดี ข้ามั่นใจว่าเด็กคนนี้น่าจะเคยแสดงพลังของตัวเองมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่พลังของเขาไม่ได้ถูกนำไปฝึกฝนหรือนำไปใช้ก็เพราะสามีของเจ้ารับมือกับมันได้อย่างมีชั้นเชิงและยังสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเอาไว้ได้นั่นเอง ที่สถานการณ์ในเวลานี้ยากจะควบคุมก็เพราะปราณแห่งความเคียดแค้นจำนวนมหาศาลที่ลอยอยู่รอบวังหลวง มันคล้ายกับตอนที่มีคนพยายามควบคุมชิงหลงในสำนักไท่ไป๋ด้วยปราณแห่งความเคียดแค้น เพียงแต่ครั้งนี้การโจมตีนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เขา…”
เด็กชายตัวน้อยสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน เขาจึงยกมือขึ้นแคะหู แล้วตะโกนว่า ”พี่สะใภ้สาม ข้ากินซาลาเปาเนื้อหมดแล้วขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองเขา แล้วตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ”มานี่สิ ข้าต้องเช็ดมือให้เจ้าก่อน เจ้าถึงจะกินซาลาเปาลูกที่สองได้”
”ขอรับ!” เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างขึงขัง ก่อนจะยื่นมือเล็กๆ ทั้งสองข้างออกมาให้นางอย่างเชื่อฟัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ นางจับมือของเด็กชายตัวน้อย แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเช็ดมือให้กับเขา จากนั้นนางก็แบ่งซาลาเปาเนื้อออกเป็นสองซีก ก่อนส่งซีกหนึ่งให้เขา ”อย่ากินจนอิ่มเกินไปล่ะ เดี๋ยวข้าจะทำเนื้อผัดพริกไทยดำให้กินเป็นมื้อค่ำ”
”เนื้อ!” ดวงตาของเด็กชายตัวน้อยเป็นประกายระยิบระยับด้วยความสุข แต่จากนั้นเขาก็เริ่มทำท่าเหมือนหาอะไรไปทั่วตัวพร้อมกับทำหน้าเจ้าเล่ห์
ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกสับสนเพราะนางไม่รู้ว่าเขากำลังหาอะไรอยู่
นางมาได้คำตอบก็ตอนที่เขาหยิบงูตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วโยนมันทิ้งข้างๆ อย่างแรง เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดขมับตัวเองด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ ”เจ้าเจ็ด เจ้าจับสัตว์มีพิษอย่างเจ้าตัวนี้มาทำไมกันหรือ”
[1] พระกษิติครรภโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ผู้เป็นครรภ์แห่งแผ่นดิน เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือ และศรัทธาเป็นอย่างมาก เป็นรองแต่เพียงพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) เท่านั้น