“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ข้าทำตัวเช่นนี้เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านเท่านั้น เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นข้าย่อมทำตัวตามปกติขอรับ” ผู้อาวุโสหมิงแลบลิ้นออกมาเลียมือของเขา กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายหนาแน่นจนชวนให้หายใจไม่ออกนั้นปกคลุมอยู่ทั่วร่างของเขา ”เพียงแต่หนังมนุษย์ผู้นี้ช่างสวมไม่สบายเป็นอย่างมาก ข้ากลัวว่าพอถึงตอนที่พระสงฆ์เหล่านั้นเริ่มสวดมนต์ ข้าจะควบคุมความอยากกินเนื้อมนุษย์ของตัวเองไม่อยู่ขึ้นมาขอรับ”
ได้ยินดังนั้นชายชุดขาวก็ดีดนิ้ว ผนึกที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นบนร่างของผู้อาวุโสหมิงทันทีที่สิ้นสุดการกระทำนั้น ”หากมีผนึกนี้อยู่ ต่อให้พระพวกนั้นจะสวดมนต์มากเพียงใด มันก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้”
“ยังคงเป็นนายท่านที่มีหนทางอยู่เสมอ” ผู้อาวุโสหมิงเอ่ยเสียงเบาพลางหมุนคอตัวเองกลับมาตั้งตรง เขายังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า ”ส่วนไป๋หลี่เจียเจวี๋ย...”
ประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาของชายชุดขาวก่อนหายวับไปอย่างรวดเร็ว ”ยิ่งเขาห่วงใยเท่าใด เขาก็จะยิ่งสูญเสียความเยือกเย็นไปมากเท่านั้น ในเมื่อผู้อาวุโสอู่หมายตาเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงทำทุกอย่างเพื่อปกป้องวิญญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาย่อมไม่สนใจเจ้า สิ่งที่ข้าต้องการคือให้เจ้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในช่วงเวลานั้น ไปได้แล้ว ไปพาเฮ่อเหลียนเวยเวยมาหาข้า หากมีเลือดของนาง ในที่สุดพวกเราก็จะสามารถคลายผนึกขับไล่วิญญาณร้ายได้อย่างสมบูรณ์เสียที…”
“ขอรับ!” รอยยิ้มชวนขนหัวลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสหมิง ดวงตาของเขาเรืองแสงสีแดงชั่วร้ายราวกับหยดเลือดท่ามกลางเงามืด…
นอกห้องโถง ผู้อาวุโสจ้านมองข้ามไหล่ตัวเองกลับไป หลังจากคิดทบทวนดูให้ดี เขาก็พบว่าสถานการณ์ในเวลานี้ดูแตกต่างไปจากปกติ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยความสงสัยของตัวเองออกมา ”ผู้อาวุโสอู่ ท่านสังเกตหรือไม่ว่าคราวนี้เวลาที่คุณชายคนนั้นคุยกับเรา เขาดูเหมือนพยายามที่จะปิดบังอะไรเอาไว้”
ดวงตาของผู้อาวุโสอู่ดำทะมึน เขามองไปทางทิศตะวันตก ”วิธีการของเขาก็มักจะเป็นปริศนาเช่นนี้อยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่คราวนี้ใช่ว่าพอเราบังคับให้วิญญาณนั่นออกมาจากร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้แล้วจะจบปัญหา องค์ชายสามตัดเส้นสายและขุมกำลังทั้งหมดที่เรามีอยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลไปหมดแล้ว หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป และวันหนึ่งเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราหรือ ถ้าเขาสั่งให้สืบสวนเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนอย่างละเอียดขึ้นมา พวกเราสองคนย่อมไร้สิ้นหนทางที่จะหนีได้อย่างแน่นอน!”
“ท่านหมายความว่า…”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสอู่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”พวกเราจะลากองค์ชายสามให้ล่มจมไปกับพวกเราด้วย!”
“ข้ากลับไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถใช้เรื่องนี้ทำให้องค์ชายสามล่มจมได้ เพราะอย่างไรเขาก็ได้รับความโปรดปรานและมีอดีตฮ่องเต้คอยปกป้องอยู่”
ผู้อาวุโสแต่ละคนสามารถไต่เต้าขึ้นมาจนมีฐานะเช่นนี้ได้ก็เพราะพวกเขาทุกคนล้วนแต่มีไหวพริบและสติปัญญาเป็นของตัวเอง ดังนั้นการที่ผู้อาวุโสจ้านจะมีความคิดเห็นส่วนตัวในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทีเดียว
ผู้อาวุโสอู่หัวเราะเบาๆ ก่อนลดเสียงลง ”แล้วถ้าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องการให้องค์ชายสามตายล่ะ”
“ท่านตั้งใจจะใช้เรื่องเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นข้ออ้างปรักปรำว่าองค์ชายสามก่อกบฏหรือ” ผู้อาวุโสจ้านเข้าใจสิ่งที่สหายต้องการสื่อได้อย่างรวดเร็ว แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่เสี่ยงเกินไป ”มันย่อมไม่ง่ายถึงเพียงนั้นแน่”
ผู้อาวุโสอู่มองตอบเขา ”หากเราเชื่อมั่น มันย่อมมีหนทางเสมอ องค์ชายสามอภิเษกสมรสกับหญิงที่ถูกวิญญาณร้ายสิง และพานางเข้ามาในวังหลวง นั่นเท่ากับว่าเขาได้ละเมิดข้อห้ามร้ายแรงที่สุดของราชวงศ์ไปแล้ว และเมื่อรวมกับเรื่องที่เขาก่อขึ้นในช่วงนี้ เห็นทีคงยากที่ฮ่องเต้จะทนได้”
เขาเงียบไปก่อนจะเอ่ยต่อ ”หลายปีมานี้ฮ่องเต้ยึดติดอยู่แต่กับชีวิตอมตะ เช่นเดียวกับพวกเรา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาหมกมุ่นกับการปรุงยาอายุวัฒนะ คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของเขา แต่อย่าบอกข้าว่าเจ้าไม่เข้าใจ! เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเป็นเหมือนอย่างอดีตฮ่องเต้ที่ต้องส่งต่อบัลลังก์ให้กับคนรุ่นถัดไปในยามแก่ชรา องค์ชายสามมีผลงานโดดเด่นเป็นจำนวนมากในระยะนี้ ในเวลานี้เมื่อไม่มีองค์ชายห้าและฮองเฮาอยู่ย่อมหมายความว่าฮ่องเต้ไม่เหลือใครที่จะสามารถมาช่วยถ่วงดุลอำนาจในวังหลวงได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสอู่แข็งกระด้างในตอนที่เอ่ยคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา ”ตามนิสัยของฝ่าบาท ในเวลานี้ใช่ว่าเขาจะไม่มีความตั้งใจในการกำจัดองค์ชายสามเหมือนกับที่เขาไม่ได้คัดค้านตอนที่พวกเราลงมือกับตระกูลเฮ่อเหลียนนั่นอย่างไร…”
ดวงตาของผู้อาวุโสจ้านดำทะมึนเมื่อเขาได้ยินดังนั้น ”ท่านคิดจะทำอย่างไร”
คำถามนี้ทำให้ผู้อาวุโสอู่รู้ว่าเขาเห็นด้วยกับตน เขาขยับเข้าไปแล้วกระซิบบางอย่างให้ผู้อาวุโสจ้านฟัง
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกระซิบ ผู้อาวุโสจ้านก็พยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยชมว่า ”สมกับเป็นผู้อาวุโสอู่ ที่สามารถคิดแผนการที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้!”
“สองวันที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับฮ่องเต้ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงประจำมณฑล ก็มีขุนนางจำนวนมากที่ต้องการให้เลื่อนตำแหน่งขององค์ชายสามขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการ เขาจะนอนหลับอย่างสบายใจได้อย่างไร” ผู้อาวุโสอู่ส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าชัยชนะตกอยู่ในมือของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เวลานี้องค์ชายห้าถูกถอดยศ ฮองเฮาก็ถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเย็น การที่องค์ชายไร้อำนาจคนนั้นจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่ตนมีเพื่อเดิมพันกับบัลลังก์นี้ด้วยการยกพลบุกเข้ามาในวังหลวงจึงนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเวลานั้นมาถึง องค์ชายสามย่อมสั่งให้ทหารของตัวเองเคลื่อนกำลังเพื่อปกป้องวังหลวงอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ในเวลานี้กลับซับซ้อนยิ่งนัก เมื่อฮ่องเต้มีความตั้งใจที่จะกำจัดเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใครจะเป็นผู้นำในการปกป้องวังหลวงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เขา อย่างไรก็ตาม ทันทีที่องค์ชายสามเริ่มเคลื่อนไหว คนของข้าจะลอบเข้าไปในตำหนักของเขาเพื่อนำฉลองพระองค์ลายมังกรไปซ่อนไว้ จากนั้นเมื่อฮ่องเต้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ เขาจะได้อ้างได้ว่าจริงๆ แล้วคนที่มีใจคิดกบฏคือองค์ชายสามต่างหาก!”
ผู้อาวุโสจ้านลูบเคราพลางถามกลับว่า ”แล้วถ้าเกิดองค์ชายสามไม่คิดที่จะเคลื่อนกำลังทหารของเขาเล่า แม้การกระทำของเขามักจะได้รับการคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่มันก็มักจะอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเราเสมอ ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ ข้าก็ยังไม่เคยเข้าใจความคิดของชายคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แผนการนี้อาจดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่มันก็กระชั้นชิดเกินไปจนพวกเราไม่อาจลงมือได้ในทันที มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่าเขาจะสังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลนั้น”
“ถ้าเขาไม่สั่งให้เคลื่อนกำลัง หรือเลือกที่จะยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ไม่แม้แต่จะก้าวขาออกมาสั่งการละก็ แผนการนี้ก็มีแต่จะยิ่งราบรื่นขึ้นกว่าเดิมเสียอีก” ผู้อาวุโสอู่ตอบด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ”หากเรื่องกลายเป็นเช่นนั้น ข้าจะเสนอความคิดเห็นในการประชุมประจำราชสำนัก และชี้ให้เห็นว่าคนที่เรียกตัวเองว่า ’ทหารขบถ’ เหล่านั้นเพียงแค่ใช้องค์ชายห้ามาเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น ผู้ร้ายตัวจริงจะต้องเป็นองค์ชายสามอย่างแน่นอน มิฉะนั้นทำไมเขาถึงไม่ออกคำสั่งให้ทหารของตัวเองเข้าคุ้มกันฮ่องเต้เล่า”
ผู้อาวุโสจ้านยกนิ้วให้เขาหลังจากได้ยินเช่นนี้ ”ช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! หากเขาเคลื่อนไหว เช่นนั้นก็เท่ากับเขาเป็นกบฏ แต่ถ้าเขาไม่เคลื่อนไหว เช่นนั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีแผนการชั่วร้ายอื่นอยู่ในใจ นอกเสียจากว่าจะมีคนอื่นสามารถขับไล่ผู้บุกรุกเหล่านั้นออกไปจากวังหลวงได้ก่อนที่เขาจะเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากไม่มีละก็ เช่นนั้นมันย่อมกลายเป็นเหตุผลอันเหมาะสมที่สุดที่ฮ่องเต้จะใช้ในการกำจัดองค์ชายสาม!”
“นั่นล่ะคือจุดประสงค์ของข้า” รอยยิ้มชั่วร้ายเหยียดกว้างอยู่บนใบหน้าของผู้อาวุโสอู่
ผู้อาวุโสจ้านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า ”แผนการนี้จำเป็นต้องได้รับการลงมืออย่างไร้ช่องโหว่ คงวิเศษเป็นอย่างยิ่งหากพวกเราสามารถปรักปรำความผิดทางอาญาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ องค์ชายสามจะได้มุ่งความสนใจไปที่การช่วยเหลือนาง และไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องอื่น!”
“เรื่องนี้ผู้อาวุโสจ้านไม่ต้องเป็นห่วง” ผู้อาวุโสอู่หัวเราะ ”ในวันอภิเษกสมรสของพวกเขา ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้แสดงอาการน่าสงสัยอันใดออกมาก็เป็นเพราะการปรากฏตัวของกิเลนอัคคี แต่ที่พิธีสวดมนต์ในวันพรุ่งนี้ พวกเราทุกคนรวมถึงองค์ชายสามและเฮ่อเหลียนเวยเวยจะอยู่ในวังหลวง หากมีฮ่องเต้อยู่ด้วย ย่อมไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเข้าไปด้วย เมื่อถึงเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องได้พบจุดจบของตัวเองอย่างแน่นอน…”
ตุ้บ!
ฮ่องเต้เหยียดยิ้มพลางโยนฎีกาลงข้างตัว เขาคำรามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า ”เจ้าคนโง่เขลานี่ยืนกรานขอให้ข้าเร่งแต่งตั้งรัชทายาทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือ หึ ข้ายังนั่งอยู่บนบัลลังก์แท้ๆ แต่พวกมันกลับกล้าดีเสียไม่มี!”
โครม!
สะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ฎีกาทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์ก็ถูกกวาดลงไปอยู่บนพื้นทันที
ขันทีเกาที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ในเวลานี้ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งขัดหูขัดตาสำหรับฮ่องเต้ โดยเฉพาะข้ารับใช้ธรรมดาๆ เช่นเขา ดังนั้นเขาจึงยกขาขึ้นถีบขันทีอย่างแรงเพื่อระบายความโกรธ ”ไม่ใช่แค่นั้น อดีตฮ่องเต้เองก็แก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือไร! แทนที่จะเข้าข้างข้าที่เป็นลูกชายแท้ๆ เขากลับเลือกที่จะเข้าข้างหลานชายตัวเองมากกว่า!”