ตอนที่ 559 คนจากศาล
ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็ถึงสองวันสุดท้ายของเดือนแล้ว ทั้งยังเป็นวันไปสอบประจำเดือนที่โรงเรียนอีกด้วย
หลินม่ายไม่ได้เข้าร่วมสอบประจำเดือนของเดือนตุลาคม เพราะตัวอยู่ที่ต่างประเทศ อาจารย์หวังไม่พอใจมาก สีหน้าที่มองเธอนั้นบึ้งตึงอย่างมาก
หลินม่ายได้แต่พยายามลดการมีตัวตนของตัวเองลง
จะได้ผ่านการสอบสองวันนี้ไปได้เร็วๆ
ตอนบ่ายหลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว หลินม่ายก็สะพายกระเป๋าหนังสือแล้ววิ่งไปทันที ด้วยกลัวว่าจะเจอกับสายตาไม่พอใจของอาจารย์หวังอีก และยิ่งกลัวว่าเขาจะจับเธอไปตำหนิติติงสักรอบ
เธอขี่จักรยานไปยังโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
กลับมาได้หลายวันแล้ว แต่เธอยังไม่ได้จัดการประชุมอย่างเป็นทางการเลย
เธอวางแผนไว้ว่าวันนี้จะจัดการประชุมอย่างเป็นทางการหลังจากที่สอบเสร็จแล้วในตอนบ่าย
ในตอนที่เธอมาถึงห้องประชุม ทุกคนก็มาถึงกันพร้อมหน้าแล้ว
ทุกคนต่างให้เฉินเฟิงเริ่มพูดก่อนอย่างรู้กันโดยไม่ต้องพูด
เฉินเฟิงเองก็ไม่เกี่ยงงอน เขารายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของไซต์งานก่อสร้างแห่งต่างๆ
เนื่องจากในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การก่อสร้างโครงการสะพานลอยของรัฐและเขตอยู่อาศัยที่ถนนชิงเหนียน และมีการจัดวางกำลังคนจำนวนมาก จึงมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
สะพานลอยนั้นรัฐบาลมีกำหนดการเปิดการจราจรอย่างเป็นทางการในวันแรงงานวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมปีหน้า ดูตามความคืบหน้าในตอนนี้ ก็สามารถสร้างเสร็จได้ก่อนกำหนดหนึ่งเดือน
เขตอยู่อาศัยที่ถนนชิงเหนียนเองก็เริ่มการก่อสร้างอาคารทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะได้จัดเตรียมกำลังคนเอาไว้มากพอแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีความคืบหน้าเร็วมาก และจะแล้วเสร็จได้ในสิบประมาณสิบวัน เมื่อผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย
ส่วนตึกแฟชั่นที่ถนนฮั่นเจิ้งและโรงงานกับตึกสำนักงานหลักนั้น ความคืบหน้าไปอย่างเอื่อยช้าเนื่องจากมีกำลังคนน้อย
หลังจากที่สร้างเขตอยู่อาศัยที่ถนนชิงเหนียนเสร็จแล้ว เฉินเฟิงวางแผนที่จะย้ายแรงงานชาวไร่ชาวนาไปที่โครงการตึกแฟชั่นระฟ้า จะได้สามารถเร่งความเร็วขึ้นได้
หลังเปิดใช้งานสะพานลอยแล้ว แรงงานชาวไร่ชาวนาที่ทำการก่อสร้างสะพานลอยจะถูกจัดให้ไปสร้างอาคารโรงงานกันทั้งหมด แรงงานชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ก็จะไม่ตกงานแล้ว
หลินม่ายไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการจัดการของเฉินเฟิง เพียงแต่เน้นย้ำอยู่หลายครั้งว่าจะต้องยึดเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพการก่อสร้างไว้ให้มั่น
เฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเย็นชา แล้วจึงเดินจากไป
คนอื่นๆ ในส่วนของเปาห่าวชือล้วนไม่มีปัญหาอะไร มีเพียงแกะหันของ “เหรินเจียนเยียนหั่ว” ที่เมื่อถึงฤดูหนาวกลับค่อยๆ ซบเซาลง
หลินม่ายได้ฟังรายงานของวังเสี่ยวลี่แล้วจึงถามขึ้น “ทำไมแกะหันถึงกระแสตกได้ล่ะ หาสาเหตุหรือยังคะ?”
วังเสี่ยวลี่พยักหน้า “ฉันถามลูกค้ามาหลายคนแล้ว ลูกค้าต่างบอกว่า แกะหันนั้นกินครั้งแรกก็อร่อย แต่พอกินครั้งที่สองจะมันเลี่ยนค่ะ”
ในตอนนั้นเองเจิ้งซวี่ตงก็พูดแทรกขึ้นมา “หูล่าทังที่เป็นเมนูใหม่ในวันชาติของเปาห่าวชือเองก็ไม่เป็นที่นิยมของลูกค้าเพราะมันเลี่ยนเหมือนกัน ผมหยุดจำหน่ายอาหารกินเล่นเมนูนี้ไปแล้วล่ะครับ”
หลินม่ายพูด “ที่รู้สึกว่ามันเลี่ยนนั้น เป็นเพราะวัตถุดิบที่ใช้นั้นคือแกะ แถมคนเจียงเฉิงก็ไม่คุ้นชินกับการกินเนื้อแกะ จึงไม่ชอบเนื้อแกะที่มีไขมันมากเกินไป ถ้าเปลี่ยนเป็นแกะสายพันธุ์อื่นปัญหานี้ก็แก้ตกไปได้ง่ายๆ แล้วล่ะ”
วังเสี่ยวลี่พูด “คุณลุงคูร์บานเองก็พูดแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็หาแกะสายพันธุ์เหล่านั้นที่เขาบอกไม่ได้เลยค่ะ”
“งั้นก็ใช้เนื้อแพะสิคะ”
วังเสี่ยงลี่พูด “เคยลองใช้เนื้อแพะแล้วค่ะ กระแสตอบรับของลูกค้าก็ไม่เลว แต่เนื้อแพะเองก็หายากเหมือนกัน ที่เหอหนานแทบจะหาฟาร์มเลี้ยงแพะได้เลยแม้ว่ามณฑลของเราจะเลี้ยงแพะ แต่เกษตรกรก็เลี้ยงอยู่แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่สามารถรับประกันการจัดจำหน่ายได้เลย”
เจิ้งซวี่ตงเอ่ยแนะนำ “เราสามารถสนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงแพะ ส่วนพวกเราก็รับซื้อก็ได้ แพะกินหญ้า ทำฟาร์มเพาะเลี้ยงมีต้นทุนต่ำ เกษตรกรคงจะเต็มใจเลี้ยงแน่นอน”
หลินม่ายปฏิเสธอย่างเฉียบขาด
เธอไม่รู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์มากนัก แต่เธอรู้ว่าจะแพะก็ดีแกะก็ดี ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่หรือจะเชื่องขนาดไหน แต่กลับกินเยอะสุดๆ วันหนึ่งต้องกินหญ้าหลายชั่ง
ถ้าเหล่าเกษตรกรเลี้ยงแพะราวสิบตัวกันหมดทุกบ้าน หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีเป็นสิบครัวเรือนจะมีแพะราวร้อยตัว และกินหญ้าหลายร้อยชั่งต่อวัน
ความเร็วในการเติบโตของหญ้านั้นโตไม่ทันความเร็วในการกินของแพะ
หลังกินหญ้าหมดไปแล้ว เมื่อแพะหิวมันก็จะใช้เขาขุดรากหญ้าขึ้นมากิน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำลายพืชคลุมดินในท้องถิ่น และก่อให้เกิดการพังทลายของหน้าดิน
ในชาติที่แล้วหลินม่ายเคยอ่านบทความบนอินเตอร์เน็ต การก่อรูปร่างของที่ราบสูงยูนนานนั้นมีความสัมพันธ์กับแพะภูเขาในท้องที่ ที่ทำความเสียหายให้กับพืชคลุมดิน และก่อให้เกิดการพังทลายของหน้าดิน
เธอจะไม่มีวันทำเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ
วังเสี่ยวลี่พูดอย่างกังวล “ถ้าหากไม่สนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงแพะ อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วแกะหันสูตรพิเศษของเราคงต้องถูกลบออกจากเมนูสินะคะ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เราสามารถเพิ่มผักกาดแก้วแก้เลี่ยนเข้าไปก็ได้”
ในยุคนี้ผักกาดแก้วยังไม่แพร่หลายมาถึงแผ่นดินที่ห่างไกลจากทะเล ประชาชนจึงแทบจะไม่มีใครเคยกินผักกาดแก้วเลย
วังเสี่ยวลี่เบิกตาโตถาม “ผักกาดแก้วคือผักอะไรเหรอคะ? แล้วแก้เลี่ยนยังไงกัน?”
หลินม่ายบอกเกร็ดความรู้ให้กับเธอและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ “ผักกาดแก้วแค่ฟังชื่อก็พอจะรู้แล้ว ก็คือผักที่สามารถกินสดๆ ได้ มีอยู่ที่มณฑลกวางตุ้งและกว่างซีของประเทศเรา ซึ่งที่มณฑลของเรายังไม่มีหรอกค่ะ ตอนที่กินเนื้อใช้ผักกาดแก้วห่อไว้แล้วกินก็จะสามารถดับเลี่ยนได้”
เมื่อนั้นทุกคนถึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลินม่ายหันหน้าไปหาจ้าวเลี่ยง “รอฉันได้เมล็ดพันธ์ผักกาดแก้วแล้ว คุณก็แจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านพวกนั้นที่เราว่าจ้างมา ให้พวกพวกเขาจัดการปลูกผักกาดแก้วด้วยนะคะ”
จ้าวเลี่ยงพยักหน้าพูด “ผมคิดว่าไม่เพียงให้ผู้ใหญ่บ้านพวกนั้นปลูกผักกาดแก้วเท่านั้น แต่ยังต้องขยายพื้นที่ปลูกผักในโรงเรือนด้วย ไม่อย่างนั้นแค่การพึ่งพาปริมาณการจัดหาสินค้าของหมู่บ้านสิบแห่งนั้น ยากที่จะสามารถรับประกันการจัดหาผักนอกฤดูอย่างต่อเนื่องของตลาดสดของเราได้”
หลินม่ายพยักหน้า “เรื่องนี้คุณทำตามที่ตัวเองเห็นสมควรเลยค่ะ”
หลังจากคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว ทุกคนก็คิดว่าจะจบการประชุม แต่กลับเห็นใบหน้าเล็กของหลินม่ายพลันเคร่งขรึมลง และพูดถึงเรื่องการขโมยของในโรงงานของอู๋ซู่เฟินขึ้นมา
เรื่องนี้คนในโรงงานต่างรู้กันทั่วแล้ว
หลินม่ายถามทุกคนอย่างจริงจัง “เรื่องที่อู๋ซู่เฟินขโมยของ ลุงยามเฝ้าประตูค้นพบตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้รายงานให้ใครทราบเลย และรอจนกระทั่งฉันกลับมา ถึงมารายงานกับฉัน พวกคุณรู้เหตุผลไหมคะ?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา จากนั้นจึงส่ายหัว สื่อว่าไม่รู้เหตุผลแน่ชัด
หลินม่ายพูด “เพราะลุงยามคิดว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์อันดีกับอู๋ซู่เฟิน เขากลัวว่าหากบอกกับพวกคุณไป แล้วพวกคุณจะไม่เพียงอำพรางให้อู๋ซู่เฟิน แต่ยังกลั่นแกล้งเขาด้วย”
บุคลากรไม่น้อยพูดขึ้น “อย่าว่าแต่พวกเรารู้จักกับอู๋ซู่เฟินเพียงแค่ผิวเผินเลย ต่อให้มีความสัมพันธ์ต่อกันไม่เลวจริงๆ เราก็ไม่มีทางทำลายผลประโยชน์ของโรงงานเพื่อหล่อนหรอก”
หลินม่ายชี้แนะอย่างเฉียบคมถูกจุด “แต่ลุงยามเขาไม่รู้ด้วยหรอกค่ะ ดังนั้นต่อไปจะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาระยะห่างก็พนักงาน อย่าให้ใครเอาไปใช้ประโยชน์ได้”
ทุกคนต่างพยักหน้า
หลินม่ายกำชับฝ่ายบุคคล ให้ให้รางวัลกับลุงยามหนึ่งร้อยหยวน และจะต้องมอบให้กับเจ้าตัวภายในวันนี้
หัวหน้าฝ่ายบุคคลจดลงบนสมุดบันทึกอย่างจริงจัง
หลินม่ายนึกถึงเรื่องที่รปภ.และคุณครูของฉีฉีไล่จับตัวหม่าเทาอย่างกล้าหาญที่โรงเรียนอนุบาลเมื่อวานนี้ขึ้นมา
จึงให้ฝ่ายบุคคลมอบรางวัลให้กับรปภ.และคุณครูของฉีฉีเป็นเงิน 300 หยวนและ 100 หยวน และต้องดำเนินการภายในวันนี้เช่นกัน
เรื่องทุกอย่างต่างก็คลี่คลายหมดแล้ว เธอจึงประกาศเลิกการประชุม
เตรียมตัวจะไปโทรศัพท์หาเคอจื่อฉิงที่ห้องทำงาน ให้เธอช่วยหาผักกาดแก้วให้สักหน่อย
ตัวหล่อนเองก็เป็นคนกวางตุ้ง ทั้งยังอยู่ที่กว่างโจว หากจะให้หาผักกาดแก้วให้สักหน่อยก็คงไม่มีปัญหา
เธอเพิ่งจะเดินออกจากห้องประชุม เสิ่นเสี่ยวผิงก็รายงานกับเธอ ว่ามีสหายจากศาลคนหนึ่งต้องการพบเธอ
หลินม่ายเดินไปยังห้องทำงานของตนพร้อมกับเอ่ยถาม “รู้หรือเปล่าคะว่าสหายจากศาลคนนั้นมาหาฉันเพราะเรื่องอะไร?”
“เขาบอกว่ามาด้วยเรื่องของทังชุ่นอิงค่ะ”
หลินม่ายรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คดีของทังชุ่นอิงก็ตัดสินชี้ขาดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีสหายจากศาลมาหาเธออีก?
เธอเข้าไปในห้องทำงาน
ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบของศาลคนหนึ่งรีบลุกขึ้นจากโซฟาทันที แล้วยื่นมือข้างหนึ่งมาทางเธอ
เขาเอ่ยแนะนำตัวเอง “สหายหลินม่าย สวัสดีครับ ผมชื่อเฉิงปิงเป็นตัวแทนว่าความของทังชุ่นอิงครับ”
หลินม่ายจับมือกับเขา แล้วเชิญให้เขานั่งลง
เสิ่นเสี่ยวผิงเสิร์ฟชาเสร็จแล้วก็ถอยออกไป
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าสหายเฉิงมาหาฉันด้วยเรื่องของทังชุ่นอิงเหรอคะ?”
เฉิงปิงพยักหน้า “ใช่ครับ ทังชุ่นอิงจะต้องชดใช้ให้กับคุณหนึ่งแสนหกหมื่นหยวนเนื่องจากคดีวางเพลิง แต่อย่างที่คุณก็รู้ ฐานะทางครอบครัวของหล่อนจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่ไหว หล่อนจึงหวังว่าคุณจะสามารถละการเรียกค่าเสียหายไปได้ คุณคิดว่าได้ไหมครับ?”
หลินม่ายรู้ดีว่าทังชุ่นอิงเอาเงินมาจ่ายชดใช้ให้เธอไม่ไหว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดที่จะให้หล่อนชดใช้อยู่แล้ว
ถึงอย่างไรเงินชดใช้ของกวนหย่งหัวก็ทำให้เธอได้กำไรมามากแล้ว
แต่การที่เธอไม่ได้คิดจะให้ทังชุ่นอิงชดใช้ กับการที่ทังชุ่นอิงอยากให้เธอยกเลิกการเรียกค่าชดใช้นั้นมันคนละเรื่องกัน
อย่างหน้าคือการสมัครใจ อย่างหลังคือการบีบบังคับ
แววตาของหลินม่ายเย็นชาขึ้นมา เธอถามเฉิงปิง “ในขณะที่คุณขอความเมตตาแทนทังชุ่นอิง คุณรู้ไหมคะว่าหล่อนและครอบครัวของหล่อนทำอะไรกับฉันไว้บ้าง?”
เฉิงปิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าครอบครัวของทังชุ่นอิงทำอะไรไว้กับคุณ แค่มองเรื่องที่ทังชุ่นอิงลอบวางเพลิงโรงงานเสื้อผ้าของคุณ นอกจากนี้ยังคิดจะเผาคุณให้เสียชีวิต ผมก็คงไม่มาขอความเมตตาแทนหล่อนหรอกครับ แต่ผมก็มาแล้ว นั่นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ใครใช้ให้ผมเป็นตัวแทนว่าความของหล่อนกันล่ะ คุณสามารถเลือกที่จะไม่ตกลงก็ได้ แล้วคุณจะโกรธไปทำไมล่ะครับ”
คำพูดนี้พูดได้มีเหตุผล หลินม่ายพูด “ฉันไม่ตกลงค่ะ”
เฉิงปิงพยักหน้า “ผมจะแจ้งให้กับโจทก์ของผมทังชุ่นอิงเองครับ”
หลังส่งเฉิงปิงกลับไปแล้ว หลินม่ายก็โทรศัพท์หาเคอจื่อฉิง ให้หล่อนช่วยหาเมล็ดผักกาดแก้วสักหนึ่งกิโลส่งไปรษณีย์มาให้หน่อย
แต่เคอจื่อฉิงกลับบอกว่า หากส่งไปรษณีย์ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ ไม่สู้ให้หล่อนไปด้วยตัวเองเลยดีกว่า
แม้หลินม่ายจะบอกว่าไม่ได้รีบร้อน แต่เคอจื่อฉิงก็ยังรั้นในความเห็นของตน หลินม่ายจึงได้แต่ยอมคล้อยตามหล่อน
หลังคุยโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิงเสร็จแล้ว เดิมทีหลินม่ายนั้นอยากจะโทรหาหนิวลี่ลี่ เพื่อผูกด้ายแดงให้หล่อนกับฟางจั๋วเยวี่ย
แต่คิดไปคิดมาก็ละทิ้งไป
เรื่องส่วนตัวแบบนี้ค่อยกลับไปจัดการดีกว่า
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ต่อให้ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถอนฟ้องเธอนะชุ่นอิง
ไหหม่า(海馬)