สืออีเหนียงเล่าความสงสัยในใจของตัวเองให้เขาฟัง
“น่าจะไม่ใช่!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างมั่นใจ “ท่านแม่ไม่มีทางเข้ามายุ่งเรื่องของลูกสะใภ้แน่นอน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าลูกสะใภ้ไม่มีความสามารถ ไม่เช่นนั้น ครอบครัวของพี่สามก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้!” พูดจบ พวกเขาสองคนก็ตกใจพร้อมกัน
สวีซื่อเจี่ยนอายุน้อยกว่าสวีซื่ออวี้แค่ไม่กี่วัน ตามหลักแล้ว เขาก็ควรจะแต่งงานแล้ว
แต่ช่วงนี้ไท่ฮูหยินไม่สนใจฮูหยินสาม คิดดูแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
โชคดีที่สวีลิ่งอี๋เป็นคนใจกว้าง เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะสู่ขอให้ใคร ก็คงต้องบอกคนที่เป็นพ่อแม่อย่างเรา! รอให้ท่านแม่บอกเราก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาหลุดพ้นออกมาจากการคาดเดาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามถึงจิ่นเกอตอนที่อยู่ที่วัดอวิ๋นจวี “…ฟังจากที่เขาเล่า เจ้าอยู่กับเขาทั้งช่วงบ่ายเช่นนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีของจิ่นเกอ นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมด หากไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยให้เขาดูภาพวาด เกรงว่าแม้แต่ไก่ เป็ด วัว แกะก็คงจะไม่รู้จักกระมัง” พูดจบ นางก็หยุดชะงัก
สวีลิ่งอี๋ฟังอยู่นานแต่ก็ไม่พูดอะไร
สองวันต่อมา พ่อบ้านไป๋นำไก่ฟ้าสีทอง นกยวนยาง นกกระเรียนขาวและนกยูงมาที่ลาน
“นี่มันอะไรกัน” สืออีเหนียงสีหน้าดูไม่ดี “ถึงตอนนั้นในลานก็เต็มไปด้วยอุจจาระของสัตว์พวกนี้น่ะสิ”
แต่จิ่นเกอกลับตะโกนอย่างตื่นเต้น เขาพุ่งเข้าไปจับหางนกยูง นกยูงตัวนั้นพึ่งจะมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย มันกำลังอยู่ในความงุนงง ถูกจิ่นเกอจับ มันก็ตกใจแล้ววิ่งไปรอบๆ แต่จิ่นเกอกลับจับขนนกยูงให้สืออีเหนียงดูด้วยความพอใจ “พัด พัดขอรับ!”
ในห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋มีพัดขนนกที่ทำจากขนนกยูงแขวนอยู่
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางรีบย่อตัวลงพูดกับเขา “นี่คือเสื้อผ้าของนกยูง เจ้าไม่ควรถอดเสื้อผ้าของมัน!” จากนั้นก็ชี้ไปที่เสื้อสีขาวของเขา “ดูสิ เจ้ายังสวมเสื้อผ้าเลย!”
จิ่นเกอพยักหน้า จากนั้นก็วิ่งไล่นกยูง พยายามจะเอาขนนกยูงสอดเข้าไปให้มันเหมือนเดิม
นกยูงตัวนั้นตกใจ มันจะให้เขาจับได้เช่นไร ในลานเต็มไปด้วยขนนก ไก่ฟ้าสีทองบินไปอยู่บนเขาหินทะเลสาบไท่หู นกยวนยางหลบอยู่ใต้กระถางดอกไม้ใต้ตั่งนั่งเหม่ยเหริน นกกระเรียนขาวกระพือปีกไปมา… บ่าวรับใช้ต่างตื่นตระหนกตกใจกลัว บางคนก็ใช้มือคลุมหัววิ่งไปหลบอยู่ข้างๆ บ้างก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วไปช่วยจิ่นเกอจับนกยูง จู๋เซียงยืนตัวสั่นอยู่หน้าสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านรีบกลับเข้าไปข้างในเถิด จิ่นเกอมีอาจินคอยดูแล พวกบ่าวจะทำความสะอาดที่นี่เอง หากนกพวกนี้กระโดดเข้ามาหาท่านมันจะไม่ดีเอานะเจ้าคะ!”
แต่สืออีเหนียงกลับเป็นห่วงจิ่นเกอ “รีบอุ้มเขามา”
หงเหวินตอบรับแล้วเดินออกไป แต่กลับถูกปีกของนกกระเรียนขาวปัดออกไปข้างๆ
บรรยากาศในลานกำลังวุ่นวาย สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น” เขาพูดอย่างงุนงง
สืออีเหนียงราวกับมองเห็นความหวัง “ท่านโหว รีบจับนกกระเรียนตัวนั้นไว้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เดินไปจับปีกทั้งสองข้างของนกกระเรียนขาว นกกระเรียนขาวก็ส่งเสียงร้อง ทำเอาคนทั้งจวนตื่นตระหนก
“ใครเขาเลี้ยงนกกระเรียนขาวในลาน” ไท่ฮูหยินป้อนต้มถั่วเขียวให้จิ่นเกอที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยแล้ว นางหัวเราะแล้วตำหนิสวีลิ่งอี๋ “แล้วยังไม่ให้คนนำไปเลี้ยงไว้ที่สวนดอกไม้หลังจวน!”
เดิมทีสวีลิ่งอี๋คิดว่าให้จิ่นเกอเล่นก่อนสักสองสามวันแล้วค่อยนำไปเลี้ยงในสวนดอกไม้ ใครจะรู้ว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้
เขาตอบกลับ “ขอรับ” เบาๆ จากนั้นก็บอกให้สุยเฟิง บ่าวรับใช้คนใหม่ของตัวเองนำนกกระเรียนขาวและนกตัวอื่นๆ ไปเลี้ยงที่สวนดอกไม้หลังจวน
จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็รีบกลืนต้มถั่วเขียวในปากลงไปในท้องแล้วรีบพูดว่า “ท่านพ่อ มันคือของข้า ของข้าขอรับ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ นางบอกสุยเฟิง “จับไก่และนกพวกนั้นผูกเชือกไว้ที่เท้า” จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอด้วยความรักและเอ็นดู “นกพวกนั้นเป็นของจิ่นเกอ ใครก็ห้ามแตะ”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง
รอยยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ก็ไม่ปาน
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ชอบอกชอบใจ บอกให้ป้าตู้ไปหยิบจักจั่นหยกมาให้จิ่นเกอ “สวยหรือไม่”
หยกสีเขียวส่องประกายราวกับลูกแก้ว
สืออีเหนียงรู้ว่าอะไรคือของดีหรือไม่ดี อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียก “ท่านแม่เจ้าคะ”
จิ่นเกอถือมามองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีที่สงสัย
ไท่ฮูหยินสะบัดมืออย่างไม่สนใจ “ของทุกอย่างล้วนแต่มีพรหมลิขิตของมัน ข้าอยากมอบให้เขา ใช่ว่าเขาจะอยากได้”
ไท่ฮูหยินยังพูดไม่ทันจบประโยคดี จิ่นเกอก็เก็บมันใส่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
ไท่ฮูหยินหัวเราะอย่างขบขัน นางหอมแก้มจิ่นเกอสองครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องชอบแน่นอน”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ
ไท่ฮูหยินชอบเด็กน้อย จิ่นเกอก็เป็นเด็กร่าเริงและน่ารัก นำสิ่งของออกมาล่อเด็ก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เขายิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็ไปดูสุยเฟิงจัดการไก่และนกพวกนั้น
จื่อหงเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินสามมาเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดอย่างเรียบเฉย “เชิญนางเข้ามา!”
สืออีเหนียงกำลังจะอุ้มจิ่นเกอ
“ไม่เป็นไร” ไท่ฮูหยินเอ่ยห้ามนาง “เมื่อครู่เขาเหงื่อออกเต็มตัว พึ่งจะได้นั่ง ให้เขานั่งทานต้มถั่วเขียวดับร้อนที่นี่เถิด ไม่ต้องพาเขาไปกับเจ้า วันนี้อากาศร้อนกว่าวันอื่น”
สืออีเหนียงจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ
ฮูหยินสามเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เห็นไท่ฮูหยินกำลังป้อนต้มถั่วเขียวให้จิ่นเกอ ก็รีบพูดว่า “จิ่นเกอก็อยู่ด้วยหรือ!”
จิ่นเกอถือโอกาสตอนที่ช้อนตักต้มถั่วเขียวของไท่ฮูหยินยังไม่ยื่นออกมาตะโกนเรียก “ท่านป้าสาม”
“ไอ๊หยา” ฮูหยินสามยิ้มแย้มกว่าเดิม “จิ่นเกอของเรารู้ความที่สุด ไม่แปลกที่เป็นดวงใจของท่านแม่” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เยินยอเกินจริง
ไท่ฮูหยินไม่สนใจนาง ป้อนต้มถั่วเขียวให้จิ่นเกอต่อ
สืออีเหนียงเห็นฮูหยินสามทำท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจึงเดินเข้าไปคำนับฮูหยินสาม
ไท่ฮูหยินบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้เข้ามาให้นางนั่ง ยื่นชามที่ว่างเปล่าให้สืออีเหนียงที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากให้จิ่นเกอ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฮูหยินสาม “ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
ไม่รู้ว่าการที่ไท่ฮูหยินเรียกฮูหยินสามมาหาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฟังซื่อหรือไม่
นางเอียงหูฟัง
ได้ยินไท่ฮูหยินพูดว่า “เจี่ยนเกอไม่เด็กแล้ว เจ้ายังหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เขาไม่ได้สักที ข้ารู้จักสกุลสกุลหนึ่ง…” ไท่ฮูหยินแนะนำคุณหนูสกุลจินอย่างกระชับ “คุณหนูสกุลนี้ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือว่านิสัยไม่เลวเลยทีเดียว เหมาะสมกับเจี่ยนเกอของเรา เรื่องนี้ข้าจะตัดสินใจให้เขาเอง เจ้าคิดว่าจะเชิญใครให้มาเป็นแม่สื่อ แล้วอีกสองวันก็ไปสู่ขอที่จวนสกุลจินเถิด!”
ฮูหยินสามตกตะลึง นั่งอึ้งไม่พูดไม่จาอยู่นาน
นางไม่เคยคิดว่าไท่ฮูหยินจะเข้ามายุ่งเรื่องแต่งงานของเจี่ยนเกอ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าสกุลที่ไท่ฮูหยินพูดถึงจะมีภูมิหลังยากจนเช่นนี้…
“ท่านแม่เจ้าคะ ไม่ได้นะเจ้าคะ!” ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดัง “ให้เจี่ยนเกอของเราเรียกรองผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครตะวันออกว่าพ่อตา…”
ไท่ฮูหยินจับจ้องฮูหยินสามด้วยสายตาที่เย็นชา สายตาคู่นั้นเฉียบคมราวกับมีด ทำเอาฮูหยินสามรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงบุตรชายของตัวเอง ถึงแม้ว่านางจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา แต่น้ำเสียงกลับแผ่วเบา “… อย่างน้อยเจี่ยนเกอของเราก็รับตำแหน่งอยู่ที่องครักษ์วังหลวง หากสหายร่วมงานของเขารู้ จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน…” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็พูดไม่ออก
ตำแหน่งของบุตรชายตัวเองไท่ฮูหยินเป็นคนหาให้เขา ตอนนี้ยังตัดสินใจเรื่องแต่งงานแทนเขา… หรือว่าตอนที่ไท่ฮูหยินหาตำแหน่งให้เจี่ยนเกอ นางก็คิดเรื่องนี้อยู่แล้ว?
ฮูหยินสามเงยหน้ามองไท่ฮูหยิน
เห็นไท่ฮูหยินยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้เช่นนั้นหรือ”
ไม่เห็นด้วย!
ไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด!
แต่หากพูดเช่นนี้ ไท่ฮูหยินต้องโมโหแน่นอน ถึงตอนนั้นหากไท่ฮูหยินบอกให้สวีลิ่งควนพูดกับกรมกลาโหม บุตรชายตัวเองอาจจะต้องเสียตำแหน่งนั้นไป แล้วยังมีสามี เรื่องที่นางปล่อยเงินกู้ สามีก็เป็นแพะรับบาปให้ตนแล้ว เขาต้องลาออกจากตำแหน่งก็เพราะเรื่องนี้ หากต้องถูกไท่ฮูหยินสั่งสอนเพราะเรื่องแต่งงานของบุตรชายอีก…ตนสงสารสามี แล้วก็สงสารบุตรชายของตัวเอง…
ฮูหยินสามรู้สึกสับสน นางขยับปาก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ถึงแม้ว่าจิ่นเกอจะไม่รู้อะไร แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใหญ่
เขาผละตัวออกมาจากอ้อมแขนของไท่ฮูหยินเงียบๆ แล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงแทน
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอแล้วตบหลังเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยน
ความสนใจของไท่ฮูหยินอยู่ที่ฮูหยินสาม เมื่อเห็นว่าฮูหยินสามลังเล นางก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่คัดค้าน เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” พูดจบนางก็เรียกป้าตู้ “เจ้านำป้ายชื่อของข้าไปเชิญคุณนายสามสกุลหวงที่จวนหย่งซังโหวมา ข้าเห็นว่าตอนที่นางมาเป็นแม่สื่อให้ฉินเกอ นางจัดการได้อย่างรอบคอบ รบกวนนางเหมือนเดิมเถิด เชิญนางมาช่วยเป็นแม่สื่อให้เจี่ยนเกอ!”
ป้าตู้ยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปิดม่านออกไป
เสียงผ้าม่านทำให้ฮูหยินสามได้สติกลับมา
ไม่ได้ ที่เรือนมีลูกสะใภ้ที่อยู่ไม่เป็นสุขอยู่แล้วคนหนึ่ง ตนจะหาลูกสะใภ้ที่ไม่ฟังคำพูดของตัวเองอีกคนไม่ได้!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็นึกถึงคำพูดที่ซิ่งเจียวพูดกับนางเมื่อเช้าวานนี้ ‘…ตอนที่คุณนายน้อยใหญ่ออกไป คุณชายน้อยใหญ่ก็เข้ามาพอดีเจ้าค่ะ คุณนายน้อยใหญ่ยืนมองคุณชายน้อยใหญ่อยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง คุณชายน้อยใหญ่ก็จับมือคุณนายน้อยใหญ่ หากไม่ใช่เพราะท่านตะโกนถามว่าใครมา เกรงว่าคุณชายน้อยใหญ่คงจะไม่ยอมปล่อยมือนางเจ้าค่ะ…’
ช่วงนี้ฉินเกอเอาแต่อยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อกับนาง หากไม่ใช่เพราะว่าฟังซื่อคนนั้นยักคิ้วหลิ่วตาให้บุตรชายลับหลังตัวเอง บุตรชายของตนจะไม่เห็นแก่หน้าสาวใช้ที่ตัวเองส่งไปรับใช้เขาได้อย่างไร
คิดเช่นนี้ เลือดในตัวของนางก็พุ่งพล่าน
คนที่ฐานะของตระกูลไม่สูงส่งอย่างสกุลจิน หากแต่งงานเข้ามาก็คงจะกลายเป็นกับแกล้มของฟังซื่อ ถึงตอนนั้นตนจะข่มฟังซื่อได้อย่างไร
ฮูหยินสามไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางเดินเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าไท่ฮูหยิน
“ท่านแม่เจ้าคะ” ฮูหยินสามดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยิน “ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ว่าข้ายังไม่เคยเจอคุณหนูสกุลจิน เลยไม่ค่อยสบายใจ…”
“เกลือที่ข้าเคยกินยังมากกว่าข้าวที่เจ้าเคยกินเสียอีก!” ไท่ฮูหยินดึงแขนเสื้อตัวเองออกมาจากมือของฮูหยินสาม “หรือเจ้าคิดว่าข้าจะมองคนอย่างคุณหนูสกุลจินไม่ออกอย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินสามรีบพูด “ไม่ใช่เจ้าค่ะ…”
“ในเมื่อไม่ได้สงสัยในสายตาของข้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” ไม่รอให้ฮูหยินสามพูดอะไรอีก ไท่ฮูหยินก็พูดต่อไปว่า “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เจ้าอย่าลืมนำวันเกิดของเจี่ยนเกอมาให้ข้า” พูดจบก็ทำท่าทีครุ่นคิดแล้วพูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด เจี่ยนเกอคลอดยามไฮ่ใช่หรือไม่”
วันเกิด คือโชคชะตาของคนคนหนึ่ง หากคนที่มีเจตนาร้ายรู้เข้า อาจจะทำคุณไสยใส่เขาจนถึงตายได้ ดังนั้นวันแรกที่คลอด จะไม่มีใครไปรายงานข่าวดีเลยทันที ปกติจะเลือกยามใดยามหนึ่ง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้เวลาที่แท้จริง
ไท่ฮูหยินพูดยามเกิดของเจี่ยนเกอเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็คงรู้วันเดือนปีเกิดของเจี่ยนเกอ ถึงแม้ว่าฮูหยินสามจะไม่ยอมบอกวันเดือนปีเกิดของสวีซื่อเจี่ยน ไท่ฮูหยินก็สามารถเขียนให้ฝ่ายหญิงได้
ฮูหยินสามขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความขมขื่น