ตอนที่ 561 ยื่นขอบังคับใช้คดีตามกฎหมาย
วันต่อมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ไปยื่นขอบังคับคดีที่ศาลด้วยตัวเอง ให้แม่หรงชดใช้เงินค่าเสียหายที่ศาลได้ตัดสินมาให้เธอ
เจ้าหน้าที่ที่มาต้อนรับเธอแบมือออกอย่างจนใจ “ผู้ดำเนินการไม่มีทรัพย์สินที่สามารถใช้ดำเนินการได้ จึงไม่สามารถบังคับใช้คดีตามกฎหมายได้ ไม่อย่างนั้นเราคงทำอย่างนั้นไปนานแล้วครับ”
หลินม่ายบอกเหตุการณ์ที่ตนได้ตรวจสอบมาแก่เจ้าหน้าที่คนนั้น
เจ้าหน้าที่พูด “พวกเราเคยไปตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์ในชื่อของผู้ดำเนินการแล้ว ภายใต้ชื่อของหล่อนนั้นไม่มีอสังหาริมทรัพย์เลย เหตุการณ์ที่คุณตรวจสอบไม่ถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด”
หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางนึกว่าในยุคนี้คงยากที่จะตรวจสอบสินทรัพย์ของคนคนหนึ่งอย่างถี่ถ้วน เพราะไม่มีอินเตอร์เน็ต หากศาลจะตรวจไม่พบอสังหาริมทรัพย์ที่กวนหย่งหัวซื้อให้พ่อแม่หวังหรงก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ไม่นึกว่าสหายที่ศาลจะไปตรวจสอบสถานะอสังหาริมทรัพย์ของแม่หรงที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์ด้วยตัวเอง
ในเมื่อสหายที่ศาลบอกว่าไม่มี อย่างนั้นก็คงจะไม่มีแน่นอน
แต่เพื่อนบ้านของคุณยายหวังก็บอกว่าเป็นไปได้สูงที่แม่หรงจะมีอยู่นี่นา
หากว่ามีอยู่จริงๆ แต่กลับตรวจไม่พบ งั้นก็ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คือบ้านของพ่อแม่หวังหรงนั้นกลายเป็นชื่อของคนอื่นไปแล้ว
“คนอื่น” ที่ว่านี้ คงจะไม่ใช่หวังเหวินฟางแน่
เพราะแม่หรงวางใจหล่อนไม่ได้ กลัวว่าหล่อนจะฮุบทรัพย์สมบัติของตัวเองไป
อย่างนั้น“คนอื่น” ที่ว่านี้ จึงเป็นไปได้แค่คุณยายหวังเท่านั้น
อย่าว่าแต่คุณยายหวังจะไม่ยักยอกทรัพย์สินของแม่หรงเลย อีกร้อยปีต่อมา เรือนสี่ประสานหลังนั้นของตัวนางเองก็จะตกถึงหวังเฉียงหลานชายเพียงคนเดียวด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแม่หรงจึงวางใจในตัวนาง
หลินม่ายพูดความเคลือบแคลงในใจออกมา และเสนอให้ยื่นขอตรวจสอบทรัพย์สินของคุณยายหวัง
ผลสุดท้ายสหายที่ศาลก็ไปตรวจสอบที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์ และยังตรวจพบเข้าจริงๆ ว่าวันถัดมาหลังจากที่คุณยายหวังออกมาจากสถานกักขัง นางได้โอนย้ายบ้านหลังหนึ่งในชื่อของลูกชายและลูกสะใภ้ของนางมาเป็นชื่อของตัวเอง
แถมบ้านหลังนี้ก็เป็นอหังสาริมทรัพย์ที่ลูกชายลูกสะใภ้ของนางเพิ่งซื้อมาได้ไม่ถึงสามเดือน
บ้านหลังนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชิงจีในย่านหวังเจียตุนพอดีด้วย ซึ่งสอดคล้องกันกับเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านเหล่านั้นของคุณยายหวังบอกมาพอดี
พ่อแม่หวังหรงสมรู้ร่วมคิดกับคุณยายหวังถ่ายโอนทรัพย์สินด้วยเจตนาร้าย หลักฐานนั้นปรากฎชัดเจน
พ่อหรงแม่หรงไม่เพียงรักษาบ้านหลังนั้นเอาไว้ไม่ได้ พวกเขายังติดร่างแหไปกับคุณยายหวังและไปนั่งแกร่วอยู่ที่สถานีตำรวจอีกหนึ่งสัปดาห์
ศาลได้ขายบ้านหลังนั้นทิ้งไปผ่านการประมูล แลกเป็นเงินสองพันกว่าหยวน เพื่อชดใช้ให้กับหลินม่าย
แม้จะคลาดเคลื่อนไปจากจำนวนเงินที่ศาลตัดสิน แต่หลินม่ายก็พึงพอใจ
อย่างน้อยก็ยึดสมบัติอันน้อยนิดอย่างสุดท้ายของพ่อหรงแม่หรงมาทั้งหมด ทำให้ตอนนี้พวกเขากลายเป็นยาจกโดยสมบูรณ์แล้ว
ผลการสอบประจำเดือนพฤศจิกายนของหลินม่ายออกมาถัดจากวันที่ศาลไปตรวจสอบคุณยายหวังที่สำนักงานอสังหาริมทรัพย์
สิ่งที่ทำให้หลินม่ายยินดีปรีดานั้นคือ ครั้งนี้วิชาภาษาและวรรณกรรมอันเป็นวิชาที่เธอเรียนอ่อนได้มีความก้าวหน้าขึ้นแล้ว อาจารย์หวังเองก็เลิกไม่พอใจเธอที่ไม่ได้เข้าร่วมการสอบประจำเดือนตุลาคมแล้ว และยังชมเชยเธออีกด้วย
ทว่าหลินม่ายมองออก ว่าตอนที่อาจารย์หวังชมเชยเธอ มันขัดกับใจจริงของเขา
คาดว่าเขาคงพะวงอยู่ในใจตลอดเพราะเธอไม่มารับการศึกษาภาคปกติที่โรงเรียน
หลังได้รับผลคะแนนสอบแล้ว หลินม่ายก็เดินออกจากโรงเรียน แล้วตรงไปยังโรงเรียนกีฬาเพื่อหาครูฝึก หากไม่เรียนยูโดก็เรียนวิชาเพลงมวย
ตอนนี้ยังไม่มีโรงเรียนสอนเพลงมวย หลินม่ายอยากจะหาครูฝึก ก็ได้แต่ต้องไปหาที่โรงเรียนกีฬาเท่านั้น
ครูผู้ชายไม่น้อยครั้นเห็นว่าเด็กสาวหน้าตาสะสวยอยากจะเรียนยูโดหรือเพลงมวย ก็เสนอตัวเองกันอย่างแข็งขัน ทั้งยังไม่เก็บค่าเรียนอีกด้วย
หลินม่ายเลือกเฟ้นอยู่นาน ก่อนจะเลือกครูสอนเพลงมวยคนหนึ่งที่หน้าตาดูเข้มงวดกวดขัน อายุราว27-28ปี และมีการเก็บค่าเล่าเรียน
ทั้งสองฝ่ายตกลงเวลาเรียนและค่าเล่าเรียนเรียบร้อย
แม้โรงเรียนกีฬาจะอยู่ค่อนข้างไกลจากที่ที่หลินม่ายอยู่ ถึงอย่างไรแห่งหนึ่งก็อยู่เจียงเป่ย อีกแห่งหนึ่งอยู่เจียงหนาน ต้องข้ามฝั่งกันเลยทีเดียว
ทว่าสินค้าชินใหญ่ที่หลินม่ายและฟางจั๋วหรานซื้อไว้ก่อนจะออกจากอเมริกาก็จะมาถึงในอีกสองวันแล้ว ซึ่งในที่นี้รวมไปถึงรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันนั้นด้วย
ต่อไปให้ฟางจั๋วหรานขับรถเบนซ์ เธอก็ขับรถจี๊ปของฟางจั๋วหรานไปเรียนวิชาเพลงมวยที่โรงเรียนกีฬาได้ ต่อให้ไกลแค่ไหนก็ไม่เป็นไรแล้ว
ในเย็นวันนั้นเอง หลินม่ายไปที่ห้องของฟางจั๋วหราน ใช้โทรศัพท์เครื่องพ่วงโทรหาหนิวลี่ลี่ และถามหนิวลี่ลี่อย่างตรงไปตรงมาว่าเต็มใจจะเป็นคู่รักกับน้องสามีของเธอหรือเปล่า
หนิวลี่ลี่เองก็ไม่เด็กแล้ว อายุ 21 ปี เด็กว่าฟางจั๋วเยวี่ยแค่สองปี อายุช่วงวัยเหมาะสมกันอย่างมาก
พื้นฐานครอบครัว วุฒิการศึกษา……ทุกอย่างล้วนไล่เลี่ยกัน
หลังจากชั่งน้ำหนักดูแล้ว หนิวลี่ลี่ก็พยักหน้าตกลง
ในเมื่อต้องแต่งงาน แถมจนถึงตอนนี้ตนก็ยังไม่เจอคนที่ชอบเลย
อย่างนั้นไม่สู้ยอมรับความจริงสักหน่อย แล้วหาผู้ชายที่ฐานะด้านต่างๆ ไล่เลี่ยกัน และยังหน้าตาหล่อเหลาด้วยมาใช้ชีวิตนี้ร่วมกัน
หลินม่ายตกลงกับหนิวลี่ลี่เสร็จสรรพ ว่าพรุ่งนี้หลังเลิกงานให้หล่อนไปเดินเล่นช้อปปิ้งด้วยกันกับฟางจั๋วเยวี่ย
เธอรีบบอกข่าวดีนี้กับฟางจั๋วเยวี่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่เพียงไม่ดีใจเท่านั้น กลับมีท่าทางลำบากใจอีกด้วย “หลังเลิกงานก็ต้องไปเดตเหรอ ขอกินข้าวเย็นก่อนค่อยไปไม่ได้เหรอ?”
หลินม่ายกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง “เห็นปกตินายก็ดูฉลาดนะ ทำไมตอนนี้ถึงเหมือนคนโง่ไปได้ล่ะ? ก็ต้องไปเดตหลังเลิกงานสิถึงจะดี จะได้ชวนหนิวลี่ลี่กินข้าวแล้วกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันไงเล่า!”
ฟางจั๋วเยวี่ยทำปากขมุบขมิบ มีอะไรอยากจะพูด แต่คิดไปคิดมาก็ไม่พูด
เมื่อนึกถึงว่าหลังเลิกงานต้องไปเดตกับหนิวลี่ลี่ เขาก็รู้สึกซับซ้อนปนเป ทั้งยังกังวลใจเล็กน้อยอีกด้วย
เขานอนหงายอย่างเหม่อลอยอยู่บนเตียง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเคาะดังขึ้น
เขาหันหน้ามองไปทางประตูแล้วถาม “ใครน่ะ?”
“ไอ้น้องชาย ฉันเอาเงินมาให้นายแล้ว” ข้างนอกมีเสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้น
ฟางจั๋วเยวี่ยผุดลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินลากรองเท้าแตะไปเปิดประตูห้อง
ฟางจั๋วหรานไม่ได้เข้ามา และมอบธนบัตรใบใหญ่ให้เขามาสิบใบ “ไปเดตกับผู้หญิงครั้งแรก อย่าขี้เหนียวเกินไป จ่ายเงินให้ใจป้ำหน่อย” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป
ฟางจั๋วเยวี่ยกำธนบัตรสิบใบนั้นเอาไว้ ในใจรู้สึกหงุดหงิดเสียแทบดิ้นตาย
เมื่อกี้นี้ตอนที่พี่สะใภ้มานัดเวลาการนัดพบกับหนิวลี่ลี่ในวันพรุ่งนี้กับเขา เขาน่าจะอ้างว่าตัวเองไม่มีเงิน เพื่อที่จะเลื่อนเวลานัดพบออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างเต็มที่
ทำไมตอนนั้นตัวเองถึงคิดไม่ได้กัน? สมองถูกประตูหนีบไว้แล้วหรือไงนะ
……
เมื่อคิดว่าหลังเลิกงานจะต้องไปเดตกับหนิวลี่ลี่แล้ว วันทั้งวันฟางจั๋วเยวี่ยก็ใจลอยอยู่ตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้ที่อยากจะคบหาแฟนสาวสักคนนั้น ก็เพราะอยากจะสลัดเถาจืออวิ๋นออกไป
แต่เมื่อกำลังจะมีแฟนสาวอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว ตนกลับนึกอยากหนีไปเสียอีก
โชคดีที่ผลประกอบการโรงงานไม่ดีนัก จึงไม่มีงานอะไรให้ทำ ไม่อย่างเขาในสภาพนี้ทำอย่างไหนก็เจ๊งอย่างนั้น
และเวลาเลิกงานก็มาถึงอย่างรวดเร็วราวกับดีดนิ้ว
ฟางจั๋วเยวี่ยไปออกเดตด้วยสีหน้าตายด้านไม่ยี่หระใดๆ
ตอนที่เขามาถึงประตูห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงซึ่งเป็นจุดนัดพบ หนิวลี่ลี่ก็มาถึงแล้ว นอกจากนี้ยังตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลับมีท่าทางปกติธรรมดา
ในใจเขารู้สึกผิดต่อหนิวลี่ลี่อยู่บ้าง เพราะนี่เป็นการนัดพบกันครั้งแรกของทั้งสองคน
เวลาประมาณสามทุ่ม หลินม่ายที่อยู่ชั้นบนได้ยินเสียงเห่าโฮ่งๆ เสียงดังลั่น ก็รู้ว่าฟางจั๋วเยวี่ยคงกลับมาจากการเดตแล้ว
เธอรีบลงไปชั้นล่าง แล้วถามฟางจั๋วเยวี่ยด้วยรอยยิ้ม ว่ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง?
ฟางจั๋วเยวี่ยดูเหมือนจะอึดอัดใจเล็กน้อย เขาพยักหน้า “ก็ไม่เลวนะ ตอนกินข้าว ลี่ลี่เอาขาหมูตุ๋นน้ำแดงที่หล่อนชอบกินให้ผมกินด้วย”
ทุกคนตรงนั้นที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็มุมปากกระตุกยิกๆ
คุณย่าฟางมองไปที่ศีรษะด้านหลังของฟางจั๋วเยวี่ย “พ่อไก่ไล่ตามแม่ไก่ จับหนอนได้ตัวหนึ่งก็ยังรู้จักเอาให้แม่ไก่กิน ดูแลแม่ไก่อย่างดี ยอดไปเลยนะ หลานให้เด็กผู้หญิงเอาของอร่อยๆ ให้กิน แล้วหน้าแกเล่า?”
โต้วโต้วพูดเสียงเจื้อยแจ้ว “หน้าโยนทิ้งไปแล้ว!”
เดิมทีมีบรรยากาศของการสอบปากคำอยู่พอสมควร แต่ก็พลันทลายลงเพราะคำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าตัวน้อย ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมา
ฟางจั๋วเยวี่ยเองก็หลบเลี่ยงคำดุด่าที่เหลือของคุณย่าฟางไปได้ เขาหายกลับเข้าห้องของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายตบก้นน้อยๆ ของโต้วโต้วเบาๆ “ดึกป่านนี้แล้ว นอนได้แล้วจ้ะ”
จนกระทั่งเธอพาโต้วโต้วเข้านอนเสร็จแล้ว ตอนที่ขึ้นมาชั้นสาม ก็เห็นฟางจั๋วหรานกำลังยืนพิงกรอบประตูห้องของเธอ
เธอยกมือขึ้นดูนาฬิกาปาเต็กฟิลิปป์ประดับเพชรทั้งเรือนที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้เธอตอนอยู่อเมริกา “ฉันนอนสี่ทุ่มครึ่ง ตอนนี้ยังไม่ถึงสามทุ่มครึ่ง คุณก็มาแล้วเหรอคะ”
ขณะที่พูดเช่นนั้น ใบหน้าของเธอก็เป็นสีแดงเรื่อ
ก่อนนอนทุกคืน ฟางจั๋วหรานจะมาที่ห้องเธอ แล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเธอก่อน ถึงจะยอมกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง
หลินม่ายนึกว่า ฟางจั๋วหรานมารอที่จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเธอ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานอนเลย
ฟางจั๋วหรานมองเธอพลางยิ้ม “เราสองคนใกล้ชิดกันยังต้องเคร่งครัดเวลาอีกเหรอ?”
หลินม่ายหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก “ฉัน…ยังต้องเรียนหนังสือ ดึกอีกหน่อยคุณค่อยมาเถอะ”
ฟางจั๋วหรานเดินตามเธอเข้ามาในห้อง “คุณรู้สึกว่าจั๋วเยวี่ยกับหนิวลี่ลี่มีหวังบ้างไหม?”
หลินม่ายถามกลับ “คุณรู้สึกว่าไม่มีหวังเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “กลับมาเร็วเกินไปแล้ว! ถ้าเขาชอบหนิวลี่ลี่ล่ะก็ จะตัดใจวิ่งกลับมาเร็วขนาดนี้ได้ลงที่ไหนกัน?”
ทันใดนั้นหลินม่ายก็เข้าใจเจตนาที่ฟางจั๋วหรานพยายามทุกวิถีทางให้เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่วิลล่าขึ้นมาแล้ว
เธอกระแอมในลำคอเบาๆ “ดูไปก่อนเถอะ ไม่แน่ว่าจั๋วเยวี่ยกับลี่ลี่อาจจะเครื่องติดช้าก็ได้นี่นา?”
ฟางจั๋วหรานมีท่าทางปฏิเสธไม่ได้
ราตรีดึกสงัด ทั้งเมืองล้วนอยู่ในการหลับใหล ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแตรรถยนต์สักคัน
ฟางจั๋วเยวี่ยเองก็เข้าสู่ห้วงความฝันแล้วเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่งเขาฝันว่าตนกำลังเล่นว่าวกับสองแม่ลูกเถาจืออวิ๋นอยู่ตรงริมแม่น้ำ อีกสักพักเขาก็ฝันว่าฉีฉีถูกหม่าเทาชิงตัวไปอีก
เขาตกใจจนเหงื่อท่วมร่างเด้งตัวนั่งขึ้นมาบนเตียง หอบหายใจเป็นเวลานานด้วยความตื่นตระหนกที่ยังไม่สงบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ทั้งหัวสมองคิดถึงแต่ความปลอดภัยและอันตรายของฉีฉี
หากเกิดเรื่องขึ้นกับฉีฉี เถาจืออวิ๋นคงจะต้องเจ็บปวดใจมากแน่ๆ
เช้าวันต่อมา หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ฟางจั๋วเยวี่ยก็หาข้ออ้างออกจากบ้านไปก่อน
เขาซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งใกล้กับโรงเรียนอนุบาล มองดูฉีฉีที่กำลังกระโดดโลดเต้นโดยมีเถาจืออวิ๋นและพี่ชายคนโตของหล่อนพามาส่งโรงเรียนอนุบาล และส่งต่อให้กับคุณครู เมื่อนั้นเขาถึงเดินจากไปอย่างวางใจ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แน้ ใจเรามันไม่เป็นของเราแล้วล่ะสิจั๋วเยวี่ย หลงรักม่ายลูกติดเข้าแล้ว
ไหหม่า(海馬)