แม้ว่าโลกตรงหน้าจะเหมือนเดิม แต่ด้วยบางอย่าง ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เขากลับรู้สึกว่ามันดูจะ…ไม่ค่อยชัดเจนนัก
ไม่ใช่เพราะการมองเห็นของเขา แต่เพราะ…วิธีรับรู้ที่ชัดเจนกว่านั้นแทนที่จะเป็นสายตา กลับเป็นเพราะ…การได้ยิน
หวังเป่าเล่อมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่หูเขาได้ยินคือเสียงเมฆเคลื่อนตัวบนท้องฟ้า ร่องรอยลมที่พัดผ่าน เสียงเพลงขับขานจากหญ้าและต้นไม้ที่สั่นไหว เสียงของการเจริญเติบโต และยังมีเสียงบางอย่างจากใต้ดิน เสียงแมลงขยับปีก
แม้แต่โลกใบนี้ก็ดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมา แต่ก็พร่าเลือนเล็กน้อย หวังเป่าเล่อได้ยินไม่ชัด แต่เขารู้สึกได้ว่าโลกนี้ต่างออกไปจากเดิม
ดวงตาของเขาค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏในหัวกลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก นี่เป็นวิธีที่ไม่พึ่งพาการมองเห็น ไม่อาศัยดวงจิตเทพ เพียงแค่ฟังรับข้อมูลทั้งหมด
และทั้งหมดนี้มาจาก…อักขระเสียงที่ลอยเด่นอยู่ตรงจุดตันเถียนในร่างกายที่ซึ่งผลึกกฎปรารถนารสมาก่อน
อักขระเสียงนี้ก็คือแหล่งกำเนิดของทุกสรรพเสียง การมีอยู่ของมันทำให้การได้ยินของหวังเป่าเล่อดีขึ้นมาก เหมือนกับว่าได้ยินไปถึงอีกดินแดนหนึ่ง และหากต้องการเขาก็สามารถให้อักขระเสียงของตนแผ่ขยายออกไปอีกได้
ภายในขอบเขตของอักขระเสียงนี้ เขามีความรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงหรือ ขณะพึมพำ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นและสัมผัสมันอย่างละเอียดลึกซึ้งอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและทะยานขึ้นฟ้าไป
มีอักขระเสียงของตัวเองก็นับว่าก้าวเข้าสู่แม่น้ำสายยาวแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแล้ว เช่นนั้น…ก็ถึงเวลาไปค้นหาคำตอบยังเมืองปรารถนาเสียง หวังเป่าเล่อหรี่ตา จุดประสงค์ของการไปเยือนเมืองปรารถนาเสียงนั้น นอกจากค้นหาคำตอบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือหาวิธีเพิ่มพูนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงให้ถึงระดับที่คล้ายกับเจ้าสวาปาม
เขาอยากจะรู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้น ผู้ที่ควบคุมกฎทั้งสองอย่างตนจะสามารถทำตามแผนการของร่างต้นแบบได้สำเร็จหรือไม่
หากไม่ได้ผลก็หาวิธีควบคุมกฎที่สาม หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย ร่างกายพุ่งไประหว่างฟ้าดิน
ข้าเคยพบผู้ฝึกกฎปรารถนาเสียงมาก่อน หลังจากฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้วจะสามารถแปลงเป็นจังหวะดนตรีได้…สภาวะลวงตาเช่นนั้นเมื่อไรข้าจะทำได้ก็ไม่รู้
แล้วยังกฎแห่งสุขอีก… หวังเป่าเล่อนึกถึงเจ็ดอารมณ์ ความทรงจำของเขาเหมือนกับร่างต้นแบบ เขาจึงรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและรู้ดีถึงความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและกฎแห่งสุข
ผู้อาวุโสของเผ่าสุขเคยคาดเดาว่าเจ้าแห่งสุขที่หายตัวไปนั้น ถูกเจ้าปรารถนาเสียงสะกดไว้ในเมืองปรารถนาเสียง… หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด เขากำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง
หากหกปรารถนามาจากมหาเทพ เช่นนั้นเจ็ดอารมณ์ก็ต้องมาจากมหาเทพด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้น…เหตุใดระหว่างหกปรารถนากับเจ็ดอารมณ์ถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้
ขณะเหาะเหินไป ความคิดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขานึกถึงตอนนั้นหลังจากที่ตนได้เป็นเจ้าสวาปาม ระหว่างที่ทำความรู้จักกับเจ้าสวาปามคนอื่นๆ เขาก็ได้ยินข่าวคราวของเจ้าปรารถนาคนอื่นๆ ด้วย
ในโลกาชั้นที่สองนี้มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดเมือง
นอกจากนครโบราณแล้ว อีกหกยังเป็นของเจ้าแห่งความปรารถนาทั้งหก ได้แก่ เมืองแห่งความอยากอาหาร เมืองแห่งการได้ยิน เมืองแห่งการสัมผัส เมืองแห่งการมองเห็น และเมืองแห่งการได้กลิ่น
เจ้าปรารถนาทั้งห้าในห้าเมืองใหญ่นี้ก็เหมือนกับผู้ปกครองโลกชั้นที่สอง ส่วนเมืองโบราณนั้น เจ้าสวาปามผู้นั้นไม่ได้รู้อะไรมากนักจึงไม่ได้พูดถึงมาก แต่กลับแนะนำเมืองปรารถนาที่หกให้หวังเป่าเล่อ นั่นก็คือ…เมืองปรารถนาอารมณ์!
เหตุผลที่มันสำคัญเป็นเพราะในโลกชั้นที่สอง เจ้าปรารถนาอารมณ์นั้นทั้งมีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริง
ที่บอกว่ามีอยู่จริงเป็นเพราะมีกฎปรารถนาอารมณ์อยู่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าปรารถนาอีกห้าคนยอมรับและไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ที่บอกว่าไม่มีอยู่จริงเป็นเพราะ…ไม่มีใครเคยเห็นผู้ฝึกตนที่ฝึกกฎปรารถนาอารมณ์
แม้แต่เมืองปรารถนาอารมณ์ก็แทบไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกนี้ ราวกับว่าเมืองนี้จะปรากฏเพียงแวบเดียวในช่วงเวลาพิเศษเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เมืองปรารถนาอารมณ์ลึกลับอย่างยิ่ง มีคนไม่น้อยคาดเดาไปว่าบางที…ทุกอย่างอาจเป็นเพราะเจ้าปรารถนาอารมณ์ไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้
แต่เรื่องนี้เจ้าสวาปามผู้นั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก
ม่านที่ปกคลุมมิติเต๋าต้นกำเนิดกำลังเปิดออกทีละนิด หวังเป่าเล่อเก็บงำความคิดแล้วเร่งความเร็วยิ่งขึ้น
เขาไม่รู้ว่าเมืองปรารถนาเสียงไปทางไหนและไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะการชี้นำของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายคือผู้นำที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันระหว่างเหาะไปรูปร่างและลมปราณของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย
หวังเป่าเล่อค่อยๆ กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ขณะเดียวกันลมปราณในร่างกายก็ค่อยๆ ซึมซาบกฎปรารถนาเสียง ส่งผลให้แม้จะพบกับเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกัน
เวลาหนึ่งวันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ราตรีกาลจะมาถึง ความเร็วของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย จากการสันนิษฐานของเขา ด้วยความเร็วประมาณนี้คาดว่าคงจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนจึงจะถึงเมืองปรารถนาเสียงแต่เขาไม่รีบร้อน และยังใช้ช่วงเวลานี้ทำความคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแต่…ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังวางแผนอยู่นั่นเอง จู่ๆ เขาที่ควบเหาะไประหว่างฟ้าดินก็ดวงตาหดแคบ ใบหูขยับเอง
เขาได้ยินเสียงหนึ่ง
เสียงนั้นคล้ายกับการคลานราวกับมีขานับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านทันที ร่างหายวับไปปรากฏบนพื้นดินห่างไกล ดวงจิตเทพกระจายตัวออก แล้วล็อกเป้าหมายทุกทิศทาง
ทว่า…ไม่ว่าดวงจิตเทพของเขาจะกระจายไปอย่างไรก็ตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย แต่เสียงคลานนั่นยังคงอยู่ เพียงแต่จากที่ดังอยู่ข้างหูกลับกลายเป็นดังอยู่ไกลๆ
นี่มันเรื่องอะไรกัน หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก แม้แต่บุคลิกของร่างต้นแบบก็ยังหลุดไปบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือ…เขายังไม่เห็นอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย
สายตา ดวงจิตเทพ ทุกอย่างเป็นปกติ
มีเพียงประสาทการได้ยินเท่านั้นที่ไม่ชอบมาพากล แม้เสียงคลานนั้นจะอยู่ไกลมากแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ นั่นทำให้นัยน์ตาหวังเป่าเล่อเย็นยะเยือก ความคิดที่จะคลายการสะกดกฎเกณฑ์ปรารถนารสเกิดขึ้นทันที
แต่โชคดีที่เสียงคลานนั่นค่อยๆ เบาลง และตามประสาทการได้ยินของหวังเป่าเล่อ ตำแหน่งของอีกฝ่ายคงจะอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
เขาอดสร้างภาพขึ้นมาในใจไม่ได้ ในภาพนั้นคือบริเวณที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้ มีสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนผีเสื้อร่างกายใหญ่โต ปกคลุมไปด้วยขานับไม่ถ้วนค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
มิติเต๋าต้นกำเนิดนี่มัน… หวังเป่าเล่อเงียบเสียง เขาพบว่าโลกใบนี้มักจะทำให้เขาประหลาดใจเสมอ ทุกครั้งที่เขาคิดว่าเข้าใจมันแล้วก็จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจยากเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่นในขณะนี้ และหวังเป่าเล่อก็คาดเดาคำตอบได้แล้ว ทุกอย่างมาจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง กฎเกณฑ์นี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอีกด้านหนึ่งของโลก