นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเห็นเมืองปรารถนาเสียง แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับรูปร่างของมัน
ในความเป็นจริงมีข่าวลือเกี่ยวกับเมืองปรารถนาเสียงมากมาย ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองปรารถนารสหวังเป่าเล่อจึงย่อมได้ยินมาเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น มีข่าวลือว่าจริงๆ แล้วมีศีรษะขนาดยักษ์ฝังอยู่ใต้เมืองปรารถนาเสียง และส่วนหูที่โผล่ออกมาก็ถูกสร้างเป็นเมือง
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าไม่มีศีรษะอะไรอยู่ใต้ดินทั้งนั้น นี่เป็นเพียงหูที่ถูกเหล่าทวยเทพตัดขาดเมื่อหลายปีก่อนและโยนทิ้งไว้ที่นี่
แต่ ณ เวลานี้สิ่งที่หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่นอกเมืองปรารถนาเสียงเห็นกลับไม่ใช่แบบนั้น ตาเปล่าของเขามองเห็นใบหูยักษ์ใหญ่ที่ราวกับหินโคลนแกะสลัก แต่เมื่อแผ่ขยายกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงออกไป เขากลับได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากเมือง
เสียงร้องไห้นี้ช่างเศร้าโศกนัก ราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่…ด้วยการหลอมรวมของเสียงร้องไห้ พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ยิ่งกระตือรือร้นราวกับว่าการฟังเสียงร้องไห้สามารถกระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้
“ไม่สิ!” สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเขาก็รู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของตนยังมีจุดที่ผิดอยู่ แวบแรกก็ดูเหมือนจะเป็นเสียงร้องไห้จากเมืองปรารถนาเสียง ทว่าหากเจาะจงอย่างละเอียดจะรู้สึกได้ว่าในเสียงร้องไห้มีเสียงอื่นๆ นับไม่ถ้วน
เสียงทั้งหมดมารวมตัวกัน และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงก่อตัวเป็นเสียงร้องไห้
ขณะเดียวกันเสียงนี้ก็ดูเหมือนจะมาจากเมืองปรารถนาเสียง แต่ในความเป็นจริง…ไม่ใช่ เพราะมันดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
“เมืองปรารถนาเสียงนี่ก็เหมือนเครื่องรับขนาดใหญ่ รับเสียงจากทุกสรรพสิ่งในโลกาชั้นที่สอง!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม
“หรือพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือสิ่งที่ข้ากำลังได้ยินอยู่นี้คือโลกอันน่าพิศวงที่มีเพียงผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้นที่จะสัมผัสได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเมืองรูปร่างเหมือนหูนั่นอีกครั้ง
เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งที่เขาอยู่แล้ว ภายในเมืองนั้นพร่าเลือน ไม่ชัดเจนราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา เขาเข้าใจว่าสิ่งนี้น่าจะเกิดจากค่ายกลของเมืองปรารถนาเสียง
ขณะไตร่ตรองร่างกายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เขาพุ่งไปยังเมืองปรารถนาเสียงที่อยู่สุดปลายสายตา
ที่นี่ไม่เหมือนเมืองปรารถนารส เมืองปรารถนาเสียงไร้ประตูเมือง!
มันให้ความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เปิดเผยอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น การมาของหวังเป่าเล่อไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใดและไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนของค่ายกลใดๆ ด้วย
นอกจากนี้เขาสังเกตเห็นว่าผู้คนที่เข้าเมืองมาก็เช่นกัน ในฐานะหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกาชั้นสองจึงมีผู้คนมากมายมายังเมืองปรารถนาในแต่ละวัน และหวังเป่าเล่อซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายแม้แต่น้อย
การเข้ามาในเมืองปรารถนาเสียงอย่างง่ายดายเช่นนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อประหลาดใจเล็กน้อย แต่ที่ทำให้เขายิ่งประหลาดใจก็คือทันทีที่เดินเข้าไปในหมอกหนาทึบ หูของเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เสียงนั้นดังเจี๊ยวจ๊าวและอึกทึกครึกโครม แล้วยังมีคลื่นความร้อนลอยมาปะทะใบหน้า
ทั้งหมดนี้รวมกับสิ่งที่สายตาเขามองเห็นในขณะนี้ ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในจิตใจหวังเป่าเล่อ
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคืออาคารสูงในเมือง รวมถึงรถเหาะที่วิ่งสัญจรไปตามท้องถนน
หวังเป่าเล่อตะลึงงันกับภาพที่เห็น เมื่อครู่ที่เขาอยู่ข้างนอก สถานที่แห่งนี้พร่าเลือนจึงมองไม่ชัด แต่ตอนนี้การได้เห็นภาพอันคุ้นเคยด้วยตาตัวเองก็ทำให้ดวงตาเบิกโพลง
ความจริง…ทุกอย่างที่นี่คล้ายกับสหพันธรัฐมาก หรือกล่าวโดยตรงแล้ว คือแทบจะเหมือนกันทุกประการ
อาคารสูงระฟ้า รถบินได้ และดวงไฟหลากสี ทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นอายการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและเทคโนโลยี ทำให้หวังเป่าเล่อเกือบคิดว่าตนได้กลับไปสู่สหพันธรัฐแล้ว
หากไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าของคนเดินสัญจรไปมายังมีความแตกต่างจากสหพันธรัฐอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อก็คงแยกไม่ออก
“เป็นไปได้ยังไง…” หวังเป่าเล่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย เขาเดินอยู่บนถนน มองคนผ่านไปผ่านมา มองรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คุ้นเคย ใบหูได้ยินเสียงรถเหาะดังมาเป็นระยะ ทุกอย่างแตกต่างจากเมืองปรารถนารสอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับว่าที่นี่และเมืองปรารถนารสคือสองอารยธรรมที่แตกต่างกัน
ขณะมึนงงสับสน หวังเป่าเล่อก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน ก่อนจะเงยหน้ามองตึกสูงที่อยู่ไกลๆ บนผนังของตึกนั้นมีการฉายภาพขนาดใหญ่เป็นภาพสตรีผู้หนึ่งสวมชุดที่ทำจากขนนก ทั้งงดงามและยั่วยวน นางกำลังร้องเพลง เสียงเพลงนั้นดังไปทั่วทุกสารทิศ น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง
และภาพฉายขนาดใหญ่นี้ก็ไม่ต่างจากคนจริงๆ ขณะร้องเพลงนางเดินออกมาจากตึกสูง ยืนอยู่บนอากาศราวกับมีชีวิตจริงๆ เดินร้องเพลงไปตามริมถนนเหมือนกับทุกที่ที่เดินผ่านคือเวทีของนางและยังเดินทะลุร่างหวังเป่าเล่อไปด้วย
หวังเป่าเล่อมองทุกอย่างอย่างเงียบเชียบ และเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินต่อ เขากำลังจะไปหาที่พัก พักก่อนแล้วค่อยดูสิ่งอื่น แต่หลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ม่านแสงที่ผนังของตึกสูงเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปราวกับว่าแหล่งสัญญาณถูกพรากไปทันทีทันใด
สิ่งที่สว่างวาบขึ้นมาแทนคือหอแสดงดนตรีขนาดใหญ่
ในภาพมีวงดนตรีวงหนึ่งกำลังเดินขึ้นไปบนเวที ขณะเดียวกันก็มีเสียงเบื้องหลังที่มาพร้อมอารมณ์เร่าร้อนแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในเมืองปรารถนาเสียง ข้าอยากจะบอกทุกท่านอย่างเป็นทางการว่าด้วยความพยายามสื่อสารอย่างหนักของพวกเรา ในที่สุดสำนักเหอเสียนก็ตกลงที่จะจัดศิษย์ในสำนักพร้อมด้วยวงดนตรีของนาง ไปแสดงเสียงแห่งธรรมชาติให้พวกเรา!”
“พวกท่านดูสิ คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีที่สวมชุดคลุมสีม่วงยาวนั้น ก็คือเยว่หลิงจื่อแห่งสำนักเหอเสียน!”
เสียงก้องกังวานดังขึ้นพร้อมกับม่านแสงนอกตึกสูงค่อยๆ กลายเป็นฉากหลังงานแสดงดนตรี ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงทยอยหยุดฝีเท้าและเงยหน้ามองม่านแสงที่ใกล้ที่สุด หวังเป่าเล่อที่อยู่ในฝูงชนก็เช่นกัน
ในไม่ช้าก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ
“การแสดงดนตรีสาธารณะของสำนักเหอเสียน!”
“เพราะเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งเมืองปรารถนาเสียง จึงน้อยมากที่ศิษย์ในสำนักเหอเสียนจะมาทำการแสดงต่อสาธารณะ!”
“โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง!!”
“การแสดงแบบนี้สำหรับพวกเราเรียกได้ว่าเป็นวาสนาแล้ว หากสามารถรู้แจ้งจากการแสดงนี้และรวบรวมอักขระเสียงของตนได้ก็จะสามารถใช้อักขระเสียงเข้าร่วมสำนักเหอเสียนได้!”
ท่ามกลางเสียงอึกทึกและเสียงจอแจจากการพูดคุย สายตาหวังเป่าเล่อเพ่งมองไปบนม่านแสงหนึ่ง มองไปยังวงดนตรีบนภาพนั้น โดยเฉพาะสตรีชุดม่วงที่เดินอยู่หน้าสุด
นางหน้าตาสะสวย แต่กลับเย็นชา แม้จะมีร่างกายเด่นชัด แต่หากพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าร่างกายนั้นอยู่ระหว่างจริงและลวงราวกับว่ามันสามารถกลายเป็นโน้ตดนตรีลอยหายไปได้ทุกขณะ
เทียบกับนางแล้วทุกคนที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนใบไม้สีเขียว เห็นได้ชัดว่าแก่นแท้ของวงดนตรีคือสตรีผู้นี้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… บนร่างของสตรีชุดม่วงผู้นี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึง…กลิ่นอายเมล็ดพันธุ์เต๋าที่อยู่บนตัวนักแสดงหญิงชุดขาวผู้นั้นที่เขาเคยเจอ
…………………………………………….