“ตั้งแต่ข้าเข้ามาในท้องพระโรง ผู้อาวุโสอู่ก็เอาแต่กล่าวว่าข้ากำลังปกปิดบางอย่างเอาไว้” เฮ่อเหลียนเวยเวยปัดฝุ่นที่ปลายนิ้วออก แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเยือกเย็นว่า ”ผู้อาวุโสอู่มีหลักฐานอะไรหรือไม่”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ผู้อาวุโสอู่ก็หรี่ตาลง ด้วยฝีปากอันคมคายและความสามารถในการเปลี่ยนประเด็นของนาง เขาคิดถูกแล้วที่ไม่ได้ประเมินผู้หญิงคนนี้เอาไว้ต่ำจนเกินไป
นางอาจใช้ความสามารถที่นางมีจัดการกับปัญหาต่างๆ ภายในครอบครัวของตัวเองได้ แต่การนำมันมาใช้ต่อปากต่อคำกับเขากลางท้องพระโรงเช่นนี้…
หึ ช่างไร้หัวคิดยิ่งนัก!
ผู้อาวุโสอู่เอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”กระหม่อมไม่มีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ จะมีก็แต่เพียงคำถามเดียวเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็พูดกันว่านิสัยของพระชายาเปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากตกน้ำ พระชายามิได้ทำตัวเย่อหยิ่งหรือไร้มารยาทอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นแม้กระทั่งสิ่งที่พระชายาประดิษฐ์ขึ้นก็ยังน่าประหลาดใจยิ่งนัก กระหม่อมจึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าวิญญาณของพระชายาถูกวิญญาณชั่วร้ายตนใดช่วงชิงไปแล้วหรือไม่ พระชายาจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้อาวุโสอู่ต้องการให้ข้าอธิบายอะไรหรือ” มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”เพราะข้าเป็นคนเย่อหยิ่งและไร้มารยาท ข้าถึงได้ถูกผู้คนหัวเราะเยาะมาตลอดเจ็ดปีเต็ม ตอนที่ท่านตาของข้าจากไป แม้ข้าจะยังเด็กแต่ข้าก็ไม่เคยลืมคำสอนของบรรพบุรุษตระกูลเฮ่อเหลียนที่กล่าวว่า ตระกูลเฮ่อเหลียนไม่เคยสร้างใครให้เป็นคนไร้ค่า ข้าคงไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ แต่ถ้าหากผู้อาวุโสอู่ต้องการเห็นความจองหองอวดดีและความไร้มารยาทของข้าละก็ ตราบใดที่ฮ่องเต้ทรงอนุญาต ข้าย่อมสามารถทำให้เลือดบนหัวของท่านออกตอนนี้ได้เลย ส่วนสิ่งที่ข้าประดิษฐ์ขึ้นมานั้น ท่านคงต้องไปพูดคุยกับอาจารย์ของข้า หรือก็คือท่านปรมาจารย์ด้วยตัวเองแทน เขาคงสอนข้ามาดีเกินไปจนคนอื่นมองว่ามันเป็นปัญหากระมัง”
“พระชายาช่างมีวาทศิลป์จริงๆ” ผู้อาวุโสอู่หรี่ตาและกำมือเข้าหากัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างใจเย็น ”ผู้อาวุโสอู่ประจบข้าเกินไปแล้ว อย่างไรข้าก็เป็นเพียงแค่คนเย่อหยิ่งและไร้มารยาทคนหนึ่งเท่านั้น”
“ท่าน…” นิ้วของผู้อาวุโสอู่กำเข้าหากันแน่น ก่อนจะคลายออก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ”กระหม่อมไม่เชื่อเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของพระชายาแล้ว กระหม่อมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าประหลาดจริงๆ ในเมื่อพระชายาว่าอย่างนั้น เช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่ยินดีมาเข้าร่วมพิธีสวดมนต์นี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ จะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพระชายาด้วยอย่างไรเล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไป และก่อนที่นางจะทันได้ตอบกลับไป…
“ผู้อาวุโสอู่พูดถูกแล้ว” ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก การเสวยโอสถในระยะยาวดูจะส่งผลร้ายต่อเขาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาดูย่ำแย่กว่าทุกคนในที่นี้ ใต้ตาของเขาทั้งลึกและดำคล้ำ อีกทั้งยังให้บรรยากาศเหมือนคนติดยาในสมัยปัจจุบันทีเดียว ”ก็แค่เข้าฟังการสวดมนต์จากพระอาจารย์ชื่อดังเหล่านี้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากเจ้าปฏิเสธมากไปกว่านี้ มันจะยิ่งทำให้ความหมายแตกต่างไปจากเดิม…”
เวลานี้เป็นเวลาสำคัญ ดังนั้นแน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่ขัดขืนคำสั่งของฮ่องเต้
นางเคลื่อนสายตาไปข้างๆ เพื่อมองผู้อาวุโสอู่ ก่อนจะบอกกับฮ่องเต้ว่า ”เวยเวยไม่ได้คิดที่จะขัดคำสั่งของฮ่องเต้เพคะ แต่การที่ผู้อาวุโสอู่ใส่ร้ายว่าเวยเวยถูกวิญญาณร้ายขโมยวิญญาณไปทั้งที่ตัวเองไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวนั้นออกจะดูหยาบคายเกินไปสักหน่อยก็เท่านั้นเพคะ”
“ได้โปรดอย่าเกลียดชังกระหม่อมเพราะสิ่งที่กระหม่อมแสดงออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ การถูกวิญญาณร้ายเข้าครอบครองวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะทำเป็นเล่นได้ หากเสร็จสิ้นพิธีนี้แล้วพระชายายังปกติดีดังเดิม กระหม่อมจะขอขมาท่านด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ” หางตาของผู้อาวุโสอู่เจือไปด้วยความยินดีเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเสียงโต้แย้งของเฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ”พระชายา เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาใสกระจ่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มดำทะมึน
เด็กชายตัวน้อยที่ยืนกินซาลาเปาไส้ถั่วแดงมองไปทางซ้ายทีขวาที และกำลังตั้งท่าจะเข้าไปอัดเขา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน
“หากพระชายาไม่คิดที่จะขยับตัว เช่นนั้นคงหมายความว่าท่านมีปัญหาอะไรอยู่จริงๆ” ทันทีที่ผู้อาวุโสอู่พูดจบ ทุกคนก็มุ่งความสนใจมาที่นาง ในดวงตาของพวกเขาล้วนแต่มีความหวาดกลัวซ่อนอยู่
“ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้ที่ถูกวิญญาณร้ายครอบครองวิญญาณชื่นชอบเลือดเป็นพิเศษ เจ้าดูบรรดานางกำนัลที่ตายไปพวกนั้นสิ พวกนางล้วนแต่ถูกสูบเลือดออกจนแห้งทุกคนเลยมิใช่หรือ”
“เจ้าหมายความว่า จริงๆ แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็น…”
“ใครจะไปรู้ เราคงได้รู้กันตอนที่พระอาจารย์เริ่มสวดมนต์”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจูงมือเด็กชายตัวน้อยเดินไปข้างหน้า ก่อนคุกเข่าลงนั่งในที่ที่ได้รับการเตรียมเอาไว้สำหรับนาง
“พี่สะใภ้สามขอรับ” เด็กชายท่าทางราวกับเสือตัวน้อยชูซาลาเปาไส้ถั่วในมือของตัวเองขึ้น ”ท่านควรจะกินอะไรเอาไว้ก่อน ไม่ต้องกังวลไปนะขอรับ ข้าสัญญากับพี่สามเอาไว้แล้วว่าจะปกป้องท่านเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วบีบแก้มพองๆ ของเด็กชาย ”ข้าไม่ได้กังวล ข้าจะกังวลไปทำไมล่ะในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่กับข้าด้วย”
“ข้าจะเล่าให้พี่สามฟังว่าพี่สะใภ้สามพูดเช่นนี้กับข้าขอรับ” เด็กชายตัวน้อยหยิบซาลาเปาไส้ถั่วอีกลูกออกมาจากอกเสื้อ และเพิ่งสังเกตเห็นว่าพี่ชายของตนไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ”พี่สะใภ้สาม ข้าขอถามตรงๆ นะขอรับ ข้าหน้าตาดีและมีความสามารถกว่าพี่สามหรือไม่ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลั้นขำ ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น เขาก็คงไม่สั่งให้ข้าเต้นระบำเปลือยบั้นท้ายหรอกขอรับ เขาจะต้องอิจฉาที่ข้ามีเสน่ห์กว่าเขาแน่ๆ!” เด็กชายตัวน้อยใช้ฟันกัดซาลาเปาออกมาเสี้ยวหนึ่ง ”ฮึ่ม!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเด็กชาย นางยิ่งมั่นใจขึ้นอีกว่าพี่น้องสองคนนี้จะต้องมีนิสัยปากอย่างใจอย่างอยู่ในตัวอย่างแน่นอน
ตอนนั้นนั่นเองที่เสียงสวดมนต์นับไม่ถ้วนดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
นางคุ้นเคยกับบทสวดนี้เป็นอย่างดี ทุกถ้อยคำนั้นล้วนแต่พรั่งพรูเข้าไปในหูของนาง…
สายตาชั่วร้ายของผู้อาวุโสอู่จับจ้องอยู่ที่นาง อีกไม่นานหรอก นางจะต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน…
ดูจากเวลาแล้ว องค์ชายสามและอดีตฮ่องเต้เองก็คงจะมาถึงในเร็วๆ นี้เหมือนกัน
เขาตื่นเต้นกับการเห็นใบหน้าของทั้งสองหลังจากพบว่าพระชายาที่พวกเขาคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันนี้ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่อยู่ ไม่รู้ว่าทั้งสองจะแสดงสีหน้าอย่างไรออกมา!
แต่สีหน้าเบิกบานใจที่อยู่บนใบหน้าของผู้อาวุโสอู่ก็อยู่ได้เพียงไม่กี่เค่อ เท่านั้น
เพราะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เพิ่งเข้ามาถึงตรงเข้าไปบีบคอของเขาเอาไว้ทันที
ความเร็วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นรวดเร็วเกินไปเสียจนไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน พวกเขามองเห็นเพียงแค่เงาร่างที่แล่นผ่านตัวเองไปเท่านั้น
เมื่อผู้อาวุโสอู่ได้สติ เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองถูกยกจนตัวลอยขึ้นเหนือพื้น
“องค์ องค์ชาย… แค่ก ท่าน ท่านทำอะไร..พ่ะย่ะค่ะ” ผู้อาวุโสอู่กระเสือกกระสนที่จะหายใจ แต่เขาก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากความหวาดกลัวที่ครอบงำเขาอยู่ได้ อาการหายใจไม่ออกที่กำลังบดขยี้ร่างของเขาอยู่นั้นทำให้เขาไม่คิดที่จะสนใจภาพลักษณ์ของตัวเองอีกต่อไป เขารีบร้องขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ”ฝ่าบาท ฝ่าบาท! ได้โปรด ได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ไม่พอใจเช่นกัน ”เจ้าสาม! ปล่อยผู้อาวุโสอู่ลงเดี๋ยวนี้!”
“ข้ายอมปล่อยเขาลงก็ได้” บนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่ แม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนอย่างมาก แต่ในเวลาเดียวกันนั้น บรรยากาศที่อยู่รอบตัวเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือด ”แต่เขาทำให้ชื่อเสียงพระชายาของข้าต้องเสื่อมเสีย ดังนั้นข้าจึงต้องการฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเขาเสียก่อน ผู้อาวุโสอู่ ท่านเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโส และหน้าที่ของท่านมีเพียงแค่ช่วยเหลือราชวงศ์แก้ไขปัญหาต่างๆ ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงกล้าข่มขู่พระชายาหรือ หืม?”
ผู้อาวุโสอู่รู้ดีว่าคนคนนี้รับมือยากเพียงใด ชายคนนี้ไม่เกรงกลัวฮ่องเต้ และยังมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่คนคนนี้จะบีบคอเขาจนตายคามือไปทั้งอย่างนี้จริงๆ
ไม่ได้การ เขาต้องรีบคิดหาหนทางให้ได้!
ผู้อาวุโสอู่ไอออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ลูกตาของเขากลอกไปมาพร้อมกับพยายามเขย่งเท้าเพื่อแตะพื้น ”กระหม่อม กระหม่อมสัญญากับพระชายาว่า… แค่ก ถ้า ถ้าพระชายาไม่ได้ถูกสิงจริง กระหม่อมจะขอขมานางด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ แค่กๆ… องค์ชาย ท่านไม่อยากรู้หรือว่าพระชายาถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่จริงหรือไม่”