หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1367 สามสำนักใหญ่

บทที่ 1367 สามสำนักใหญ่
“เมล็ดพันธุ์เต๋าอีกแล้ว?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมายังเมืองปรารถนาเสียงเขายังไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ทว่า เมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้วและเห็นภาพตรงหน้าจึงเกิดการคาดเดาขึ้นในใจ
“ตามหลักเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเมล็ดพันธุ์เต๋าเกิดขึ้นมากเกินไป…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ทำท่าว่าจะสอดส่องอีกครั้ง ถ้าเมล็ดพันธุ์เต๋าในเมืองปรารถนาเสียงมีถึงสามหรือห้าเมล็ดขึ้นไปจะต้องเป็นปัญหาแน่
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วยระดับการฝึกตนแล้วย่อมไม่มีทางสร้างข้อสันนิษฐานได้อย่างแม่นยำ แต่ด้วยระดับการฝึกตนและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบ เขาจึงสันนิษฐานได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้ต้องมีใครบางคนจงใจจัดฉากไว้แน่
และจุดประสงค์ของการจัดฉากก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า…การยืมร่างกายของผู้อื่นมาหล่อเลี้ยงเต๋าของตนเอง คนเมล็ดพันธุ์เต๋าเหล่านี้น่าจะเป็นเตาหลอมทั้งหมด
หากผู้ที่จัดฉากไม่ต้องการก็แล้วไป เตาหลอมย่อมปลอดภัยดี แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มความคิด ร่างของคนที่เป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าเหล่านี้ก็จะแห้งเหี่ยวในพริบตา เมล็ดพันธุ์เต๋าจะลอยออกมาและกลับคืนสู่ร่างต้นแบบ
“ดูสิว่ามีเมล็ดพันธุ์เต๋าอีกหรือไม่ ทุกอย่างก็จะได้คำตอบ” ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นการแสดงดนตรีก็เริ่มต้น ด้วยท่วงทำนองอันไพเราะดังก้องกังวาน ภายในเมืองปรารถนาเสียงเต็มไปด้วยงานเลี้ยงฉลองการได้ยิน
แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องยอมรับว่าท่วงทำนองนี้ไพเราะยิ่งนัก ทำให้คนฟังจิตใจเบิกบานอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
และรอยยิ้มนี้ยังปลุกเร้าพลังปราณแห่งสุขในร่างหวังเป่าเล่อส่งผลให้มันตื่นขึ้นในชั่วพริบตา ในดวงตามีแสงที่ซ่อนอยู่ส่องประกายวาบผ่าน
“สุขกับเสียง แท้จริงแล้วเกี่ยวโยงกัน” หวังเป่าเล่อมองไปอย่างใจจดใจจ่อ วงดนตรีบนม่านแสงกำลังค่อยๆ เลือนหาย ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนเวทีค่อยๆ กลายเป็นภาพมายาไปพร้อมกับการแสดงราวกับว่าทุกคนกำลังแปลงร่างเป็นโน้ตดนตรีล้อมรอบสตรีชุดม่วงผู้นั้น แสดงไปพร้อมกับนางทำให้จังหวะดนตรีของนางยิ่งเต็มอิ่มและมีพลังปลุกเร้ามากยิ่งขึ้น
สตรีผู้นี้ร่างของนางกลายเป็นมายาไปเกือบหมด และกลายเป็นดนตรีที่เกือบจะสมบูรณ์ล่องลอยอยู่ในเมืองปรารถนาเสียง
ผู้ฟังทุกผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างมัวเมา มีบางคนเลือกจะนั่งทำสมาธิตั้งแต่ช่วงแรกของการแสดงราวกับกำลังรู้แจ้ง
“หรือว่านี่คือวิธีฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง?” หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ ในไม่ช้าก็พุ่งความสนใจไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังเผยรอยยิ้มอย่างโง่เขลาอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเดินไปหาช้าๆ ขณะที่ฝูงชนไม่ได้สนใจเขา เขาก็ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ พลังปราณแห่งสุขแผ่จากฝ่ามือเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย
แม้การใช้พลังปราณแห่งสุขแบบนี้จะไม่ได้ผลในการเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ในด้านการเพิ่มความรู้สึกดีและความเชื่อใจก็ยังได้ผลในระดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จิตใจเด็กหนุ่มถูกดนตรีนั่นแทรกซึมจึงไม่ได้ระวัง ส่งผลให้พลังปราณแห่งสุขของหวังเป่าเล่อผสานเข้าไปในจิตใจอย่างราบรื่นก่อตัวเป็นคำแนะนำ
ด้วยอิทธิพลของคำแนะนำนี้ เมื่อเด็กหนุ่มถูกหวังเป่าเล่อขัดจังหวะก็ได้สติจากเสียงดนตรี และหันมามองหวังเป่าเล่อ เดิมทีเขาควรจะรู้สึกไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกสนิทสนมกับคนตรงหน้าอย่างมาก จึงระงับความขุ่นมัวเอาไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยความใจเย็น
“สหายเต๋าผู้นี้มีอะไรหรือ”
“สหายเต๋า ข้าน้อยเสวียนหมิงจื่อ มาเยือนเมืองปรารถนาเสียงเป็นครั้งแรกและเห็นว่าทุกคนกำลังฟังการแสดงดนตรีนี้แล้วทำท่าทางราวกับได้รู้แจ้ง หลังจากได้ฟังการแสดงดนตรี ในใจข้าก็เกิดความปีติยินดีอย่างยิ่ง มือไม้ร่ายรำจนไปโดนสหายเต๋าเข้า ขอสหายเต๋าโปรดอย่าสนใจ” หวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและด้วยอิทธิพลของพลังปราณแห่งสุข ร่างกายของเขาจึงแผ่ปราณที่ชวนให้ผู้คนมีความสุขไปด้วย
เด็กหนุ่มที่ถูกคำแนะนำไปแล้ว และยังถูกอิทธิพลจากปราณแห่งสุขไม่ได้ติดใจการขัดจังหวะของหวังเป่าเล่อ เขายังยืนพูดคุยกับหวังเป่าเล่อไปพร้อมกับฟังดนตรีด้วย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม การแสดงก็จบลง ทั้งสองล้วนมีท่าทีพออกพอใจ เมื่อฝูงชนสลายตัว หวังเป่าเล่อก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ เด็กหนุ่มตกลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในไม่ช้าทั้งสองจึงไปนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยท่าทางราวกับเสียใจที่ไม่ได้พบกันเร็วกว่านี้
ในการพูดคุยครั้งนี้หวังเป่าเล่อก็ทราบตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว คนผู้นี้คือชาวพื้นเมืองของเมืองปรารถนาเสียง แต่ด้วยต้นทุนธรรมชาติของเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมสำนักของเมืองปรารถนาเสียง และเป็นเพียงบริกรในร้านดนตรีเท่านั้น
แต่เขารู้ข่าวคราวในเมืองปรารถนาเสียงไม่น้อยเลย เพราะต้องพบปะผู้คนมากมายในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่นหวังเป่าเล่อได้รู้จากเขาว่าในเมืองปรารถนาเสียงมีถึงสามสำนักใหญ่
สำนักเหอเสียนเป็นเพียงหนึ่งในนั้น อีกสองสำนักแบ่งเป็นสำนักเหิงฉินและเต๋าแห่งจังหวะดนตรี
สามสำนักนี้คือผู้ที่มีอำนาจที่สุดในเมืองปรารถนาเสียง และเหนือขึ้นไปกว่าพวกเขาก็คือเจ้าปรารถนาเสียง
นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังได้รู้ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจากการแอบถามอ้อมๆ มาบ้าง
ในการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง การรู้แจ้งนั้นกินพื้นที่แทบทั้งหมด ตัวอย่างเช่นการแสดงดนตรีก่อนหน้านี้ก็คือการทดสอบเบื้องต้นของสำนักเหอเสียน แต่ผู้ที่สามารถรวบรวมอักขระเสียงของตนออกมาได้จากการแสดงดนตรีจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมสำนักเหอเสียน
“น่าเสียดาย การรู้แจ้งเช่นนี้ต้องดูวาสนา ดูต้นทุนธรรมชาติ ข้าฟังการแสดงดนตรีของสามสำนักใหญ่มาหลายครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ” เด็กหนุ่มเสียใจมาก เขาดื่มสุรารวดเดียวขณะหวังเป่าเล่อปลอบใจ
“สหายเต๋าเสวียนหมิง เจ้ามาเมืองปรารถนาเสียงเป็นครั้งแรก หากมีต้นทุนธรรมชาติได้เข้าร่วมสามสำนักใหญ่จะต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่ ข้าแนะนำให้เจ้าตั้งหลักอยู่ที่นี่ก่อน คอยฟังการแสดงดนตรีของสามสำนักใหญ่หลายๆ ครั้ง”
“จะฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้นการรู้แจ้งเป็นสิ่งสำคัญมาก” เด็กหนุ่มรู้สึกดีกับหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงจริงใจอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อพยักหน้าและถามอีกไม่กี่ประโยคก็ค่อยๆ เข้าใจการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงขั้นพื้นฐานขึ้นมาบ้างแล้ว
ตัวอย่างเช่น การฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็คือการรังสรรค์บทเพลงที่สมบูรณ์ขึ้นมา แต่ไม่ได้จำกัดเพียงบทเพลงเดียว จากที่เด็กหนุ่มเล่าให้ฟัง ผู้แข็งแกร่งของสามสำนักใหญ่สามารถรังสรรค์บทเพลงได้ตั้งแต่สองบทเพลงขึ้นไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรอักขระเสียงหลักล้วนสำคัญมาก การมีอักขระเสียงหลักเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการทำให้ดนตรีของตนสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็เพิ่มอักขระเสียงอย่างต่อเนื่อง สับเปลี่ยนเป็นครั้งคราว จนกระทั่งสร้างสรรค์ดนตรีที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดออกมาและสร้างความสมบูรณ์แบบในขั้นสุดท้าย
ในความสมบูรณ์แบบขั้นสุดท้ายนั้นทั้งสามสำนักจะไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นสำนักเหอเสียนจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มเนื้อเพลงจนกลายเป็นบทเพลง แต่สำนักเหิงฉินจะต่างออกไป พวกเขาให้ความสำคัญกับอารมณ์ที่แสดงออกมาจากดนตรีโดยไม่มีเนื้อเพลงใดๆ มาช่วย
ส่วนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนั้นเน้นธรรมชาติเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับเสียงของทุกสรรพสิ่ง ไม่จำกัดเฉพาะดนตรี ใช้อะไรก็ได้ จุดประสงค์คือสร้างเสียงมวลมหาธรรมชาติ
แต่ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วทั้งสามสำนักล้วนทำให้ผู้ฝึกตนแปลงร่างเป็นเสียงดนตรีและหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และโลก
“ตามตำนานยังมีอีกอาณาจักรหนึ่งคือทำให้นับจากนี้โลกใบนี้ปรากฏเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน…ว่ากันว่าอาณาจักรนี้คืออาณาจักรที่ใกล้ชิดกับเจ้าปรารถนามากที่สุด”
……………………..
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท