คราวนี้รสชาติความหึงหวงได้แทรกซึมไปทุกอณู มันอบอวลไปทั่วห้องส่วนตัวทันที และไม่น่าแปลกใจที่มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่รู้ตัว
นางมิอาจละโมบโลภมาก ในขณะเดียวกัน นางก็เชื่อว่าซูชีจะคิดได้เหมือนกัน
จึงเก็บซ่อนความหึงหวง แล้วมองไปที่หนิงเซ่าชิง
นางส่ายหน้าระรัวเหมือนลูกคลื่น มองท่าทางแบบนี้ของเขา กลับคิดว่าน่ารักดี แววตาฉายแววหยอกเล่น ดูเหมือลังเลเล็กน้อย “อันที่จริง ถ้าเซ่าชิงต้องการดื่มกับท่านชายซู เชื้อเชิญขึ้นมาข้างบนคงไม่เป็นไร เชียนเสวี่ยก็อยากเชยชมชายหนุ่มรูปงามสักหน่อย…”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดไม่ทันจบ หนิงเซ่าชิงก็กัดฟันกรอดๆ แล้ว “เจ้าหยุดคิดเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นหันศีรษะมั่วเชียนเสวี่ยเข้าหาตัวเอง
“หรือว่าสามียังรูปหล่อไม่พออีกหรือ เจ้ามีสามีแล้ว ยังมีแก่จิตแก่ใจคิดถึงชายอื่นอีก! สงสัย…”
มั่วเชียนเสวี่ยคลี่ยิ้ม พูดหยอกเย้า “สงสัย ต่อให้รูปงามเพียงไร เมื่อมองไปนานๆ ก็เบื่อเหมือนกัน…คิกๆ”
หนิงเซ่าชิงมีสีหน้าอึมครึม “ไม่ว่าเจ้าจะเบื่อมากน้อยแค่ไหน แต่ชาตินี้ เจ้ามองข้าได้แค่ผู้เดียวเท่านั้น!”
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก จมูกชนปาก ปากชิดปาก ราวกับว่ากำลังจะจุมพิตกัน
แต่จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกคันจมูก
นางจึงเอามืออุดปาก แล้วเบี่ยงหน้าหนี
หนิงเซ่าชิงเบิกตาโต
นี่เขาถูก…หมางเมินอย่างนั้นหรือ!
เขาทำให้เสวียเสวี่ยของเขาเหม็นขี้หน้าจริงๆ หรือ
เหม็นขี้หน้าถึงขั้นรังเกียจแม้กระทั่งจูบของเขาอย่างนั้นหรือ!
มั่วเชียนเสวี่ยปิดปากตนเองเงียบๆ
สวรรค์ได้โปรดช่วยชีวิตนางด้วย นึกจะจามในเวลานี้ ทำลายบรรยากาศจริงๆ
นางกลั้นจามอยู่นาน จนทรมานมาก
เพราะพายุฝนตั้งเค้า
นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นางคันจมูกมาก
ถ้าทนไม่ไหวระยะหนึ่ง ถึงเวลาใดถ้าจามออกไป นั่นคือการทำลายบรรยากาศจริงๆ
ทางตันทั้งสองทาง!
หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นด้วยความโมโห
ตอนนี้เขาอยากลงไปชวนซูชีมา “ดื่ม” สักจอกจริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางจามอย่างแรง ช่างเสียมารยาทจริงๆ ภาพลักษณ์ไม่เหลือแล้ว ไม่มีภาพลักษณ์อีกแล้ว!
เสียงร้องไห้ดังขึ้น คราวนี้คนที่ถูกทอดทิ้งต้องเป็นนางแน่ๆ!
เมื่อได้ยินเสียงจากข้างหลัง ก็หันกลับมาหาผู้ที่นอนบนเตียง เอาหน้ามุดที่นอนนุ่มๆ เหมือนแมว หนิงเซ่าชิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องได้ดี
เขาถอนหายใจ หันกลับไปนั่งเหมือนเดิม ตระกองกอดมั่วเชียนเสวี่ยอย่างทะนุถนอม
มั่วเชียนเสวี่ยยกสองมือปิดหน้า มองเว่าชิงตามรอยแยกนิ้ว
เมื่อสบดวงตาเรียวเล็กคู่นั้น เขาก็ทั้งห่วงทั้งหวง ทั้งยังหมดความอดทน ยังคงมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย มิไดหายไปไหน
“เป็นเพราะเมื่อคืนโดนอากาศเย็นหรอกหรือ”
เขาพูดพลางเอื้อมมือแตะหน้าผากนาง
มั่วเชียนเสวี่ยเขินเล็ฏน้อย แอบก่นด่าตัวเอง ทั้งยังรู้สึกผิด “ไม่เป็นอะไรมาก แค่ดื่มน้ำเยอะๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ได้อย่างไร”
“ข้าบอกว่าได้ก็ได้ซี่”
หนิงเซ่าชิงพยักหน้าอย่างจนปัญญา แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของตน
แม้ภายนอกจะไม่ได้โต้เถียงอีก แต่ในใจเขาคิดไว้ดีแล้ว หากนางยังจามอีก หรือเขาพบว่ามีอย่างอื่นที่ดูท่าไม่ดี เขาจะต้องพานางไปหาหมอแน่นอน
แม้นางจะไม่ชอบดื่มยา แต่ก็ต้องดื่ม!
มั่วเชียนเสวี่ยเอามือปิดหน้าและขดตัวอยู่ข้างๆ หนิงเซ่าชิงเป็นลูกแมว ตอนนี้นางรู้สึกสบายใจอย่างมาก
ไม่พูดไม่ได้ว่าตอนที่นางจาม หนิงเซ่าชิงที่มองซูชีอยู่ก็หันความสนใจมาที่นางทันที
ม้วนผมเงาสลวยของเซ่าชิง “คฤหาสน์กั๋วกงก็ใกล้เสร็จแล้ว เก็บรายละเอียดนิดหน่อยอีกไม่กี่วัน ก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้แล้ว จะให้ช่วยเจ้าดูฤกษ์ยามไหมว่าจะย้ายเข้าไปวันไหนดี”
“ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์สะดวก วันไหนเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ย้ายเข้าวันนั้นนั่นแหละ แค่ซ่อมแซม มิได้ขึ้นบ้านใหม่ แค่มีบ้านอบอุ่นก็พอแล้ว”
“ก็ดี”
ถึงอย่างไรหลังจากนางกลับเมืองหลวงก็มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ
หากเชิญซินแสมาดูฤกษ์ยามจริงๆ การโยกย้ายก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาคงทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ กลัวว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายตามมาถึงประตู แล้วจะมีปัญหามากมายภายหลัง
ในเมืองกำลังเจริญรุ่งเรือง แต่ชายแดนทางใต้กำลังจะเกิดสงคราม
ภายใต้การสนับสนุนของแม่ทัพกองทหารม้าและเซ่อเจิ้งอ๋อง หนานหลิงฮ่องเต้ก็มีราชโองการส่งทหารไปชายแดนใต้เทียนฉี จึงทำให้ชายแดนตายเกิดสงครามปะทุขึ้น
ทหารม้าของหนานหลิงมาอย่างรวดเร็ว เพราะได้แผนที่ทหารจากหลูเจิ้งหยางและการวางยุทธศาสตร์ของหนานหลิง ดังนั้นจึงเหมือนเสือติดปีกเป็นธรรมดา
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เทียนฉีก็ถอยทัพปราชัย
ในในไม้ช้า ก็มีม้าเร็วจากวิ่งเข้าไปจากนอกเมือง
“รายงาน เร่งความเร็วแปดร้อยลี้ กองทัพหนานหลิงรุกรานแล้ว”
“รายงาน เร่งความเร็วแปดร้อยลี้ ป้องกันด่านชายแดนใต้ไม่ไหวแล้ว เจิ้นหนานอ๋องโปรดส่งกำลังเสริมด้วย”
“รายงาน เร่งความเร็วแปดร้อยลี้ เจิ้นหนานอ๋องปราชัย กองทัพใหญ่หนานหลิงทลายแนวป้องกันของเราแล้ว…”
เสียงรายงานกองทัพ บางทีชาวบ้านไม่ค่อยรู้ แต่พวกขุนนาง และฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องสูง กลับหน้าถอดสี
ทั้งราชสำนักเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและบรรยากาศอึมครึม
ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยได้ย้ายกลับไปที่เมืองหลวงพอดี
ศึกสงครามเร่งด่วน ฝ่าบาทจึงต้องขอร้องกำลังเสริมจากตระกูลซู
อย่างไรก็ตามยังมีแบบแผนของเจิ้นกั๋วกงมั่วเทียนฟ่างอยู่ก่อนหน้าแล้ว แม้ตระกูลซูจะส่งกำลังพลไป แต่ในใจก็ยังมีความแค้นเคืองบ้าง
ใครจะยอมให้คนของตัวเองไปเป็นนักรบแนวหน้าให้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น บังคับให้ไปตายในสนามรบผู้อื่น
ดังนั้นด้วยข้ออ้างว่าทั้งสองฝ่ายที่พวกเขากำลังปกป้อง ก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวเช่นกัน จึงทำให้พวกเขาหยุดนิ่ง
นี่เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น ฝ่าบาทกลับเลือกทหารม้าของคนอื่น
อย่างเช่นกองทัพตระกูลโหวจากหนานหยาง แม่ทัพตระกูลอวี้เมืองอวี้ อีกสิ่งหนึ่งคือการโยกย้ายทหารทั้งสองฝ่ายของตระกูลซูเพื่อควบคุมกองทัพเป็นต้น
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะถูกครอบงำโดยตระกูลซูที่เฝ้าชายแดน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ราชวงศ์จะปล่อยให้ตระกูลซูยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว แน่นอนว่ายังมีกองทหารเบ็ดเตล็ดจากตระกูลอื่น ๆ และยังมีกองทหารจากราชวงศ์ที่แยกตัวออกมาประจำการข้างนอก
เป็นธรรมดาที่ฝ่าบาทจะไม่โยกย้ายทหารทั้งสองฝ่ายกลับมา ให้ชายแดนทั้งสองฝั่งรวบอำนาจคืนสู่ตระกูลซู ด้วยวิธีนี้ อาจมีชายแดนตะวันตกที่ไม่เชื่อฟังอีก
เมื่อถึงคราวนั้นเกรงว่าเทียนฉีจะล่มสลายจริงๆ…
หลังจากชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า เขาต้องส่งกองกำลังเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ไปตอบโต้ก่อน จากนั้นจึงเรียกชางมู่เข้าวัง ให้ชายแดนตะวันตกส่งกองกำลังอีกครั้ง เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงในชายแดนใต้
ชางมู่ระลึกถึงเจินกั๋วกงผู้สละชีพเพื่อประเทศ และเขาจึงปฏิเสธด้วยความโศกเศร้าจากใจจริง
เมื่อสถานการณ์โดยรวมตกอยู่ในอันตราย ฝ่าบาทวางมาดของฮ่องเต้ลง แล้วทรงแสดงความสุภาพและคำพูดที่จริงใจ
เวลานี้ เขาคิดถึงมั่วเทียนฟ่างจริงๆ
เพียงแค่เขาบัญชา แม่ทัพมั่วเทียนฟ่างเคลื่อนพลทันที แต่ไหนแต่ไรไม่เคยปัดภาระให้ผู้อื่น!
ตราบใดที่ยังมีมั่วเทียนฟ่าง เทียนฉีเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เขาไม่เคยวิตกกังวลเรื่องสงครามมาก่อน
หากไม่ใช่เพราะมั่วเทียนฟ่างช่วยรักษาความสงบชายแดนตะวันตก ให้เทียนฉีมั่นคงมานานหลายปี เขาจะมีความคิดครอบครองทรัพย์สินและอำนาจของตระกูลหนิงได้อย่างไร แล้วคิดแผนยึดอำนาจทหารเทียนฉีทั้งหมดมาไว้ในราชวงศ์ตระกูลกูได้อย่างไร แล้วจะมีแผนในใจได้อย่างไร ทำลายกฎเกณฑ์ที่บรรพบุรุษสืบทอดมาช้านาน พยายามที่จะทำให้เทียนฉีไม่มีตระกูลอีกต่อไป