ตอนที่ 566 จัดโปรโมชั่นรับเทศกาลต่างประเทศ
แค่พริบตาเดียววันนี้ก็เป็นวันที่ยี่สิบธันวาคมแล้ว และวันปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาทุกที เรื่องต่าง ๆ ก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
เมื่อสองวันก่อนสหายจากศาลมาหาหลินม่าย แล้วบอกว่ากวนหย่งหัวต้องการมอบอุปกรณ์ทั้งหมดของซีม่านให้เธอ เพื่อชดเชยค่าเสียหายจากอัคคีภัยเป็นจำนวนแปดหมื่นหยวนตามคำสั่งศาล
ตามคำบอกเล่าของสหายจากศาล พวกเขาบอกว่าอุปกรณ์เหล่านั้นคืออุปกรณ์ในส่วนของไลน์ผลิตเสื้อผ้าที่กวนหย่งหัวสั่งมาจากฮ่องกง ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าแปดหมื่นหยวนเลยทีเดียว
แต่หลินม่ายไม่ได้ตอบตกลงในทันที เธอต้องเห็นมันก่อนถึงจะเชื่อได้ จะได้ยืนยันว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีมูลค่าอย่างมากกว่าแปดหมื่นหยวนจริง
เธอวางแผนว่าจะพาฟางจั๋วเยวี่ยไปดูอุปกรณ์ในวันนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้ก่อนตัดสินใจ
นอกจากนี้ยังมีการประชุมร่วมกันในเช้าวันนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับช่วงวันหยุดที่กำลังใกล้เข้ามา
เมื่อวานนี้จ้าวเลี่ยงรายงานเธอว่านอกจากผักกาดหอม ยี่หร่า และผักอื่น ๆ ที่ไม่ถูกพวกแมลงกัดกิน ผักอื่น ๆ ต่างก็ได้รับความเดือดร้อนจากศัตรูพืชและโรคระบาด จนทำให้เหล่าเกษตรกรขาดทุน ถ้าไม่รีบจัดการศัตรูพืชที่มากินผักในเรือนกระจก ผักที่เหลือในเรือนกระจกหลังที่สองก็อาจมีแนวโน้มว่าจะถูกทำลายไปตาม ๆ กัน คราวนี้ได้สูญเสียกันทุกอย่างแน่
สิ่งที่แพงที่สุดในเรือนกระจก ไม่ใช่ตัวเรือนกระจกหรือเมล็ดพันธุ์ที่มีราคาแพง แต่เป็นแรงงานต่างหาก
ตอนนี้พื้นที่เพาะปลูกผักในเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากพื้นที่เดิม แค่ค่าจ้างของคนงานเพียงอย่างเดียวก็เป็นเงินหลายหมื่นหยวนต่อเดือนแล้ว
วันนี้เธอต้องหาเวลาไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรหัวจงเพื่อเชิญอาจารย์สองท่านมาตรวจสอบว่าผักในเรือนกระจกยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
เมื่อวานนี้ผอ.เขตโอวหยางโทรมาหาเธอแล้วนัดหมายให้เธอมาเจอกันในวันนี้ เพราะเขามีบางอย่างอยากจะอธิบาย
นอกจากนี้ชุดเดรสและเครื่องประดับที่สั่งทำเป็นพิเศษสำหรับนักแสดงก็ทำเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่จัดส่งไปให้กับผู้จัดงานมอบรางวัลไก่ทองคำ…
เมื่อเห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังรอคอยการจัดการ หลินม่ายจึงจำเป็นต้องตื่นแต่เช้าตรู่
เธอกลัวว่าวันนี้ตัวเองอาจยุ่งเกินไป ดังนั้นจึงใช้เวลาสองชั่วโมงช่วงเช้าในการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายเดินมานั่งที่โต๊ะและเปิดหนังสืออ่าน ไม่นานเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงก็ดังขึ้น จนอดสงสัยไม่ได้ว่าใครโทรมาหาเธอแต่เช้า
พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ถึงรู้ว่าเป็นสายเรียกเข้าจากคุณลุงเฝ้าประตู
เขาบอกเธอว่าเมื่อคืนนี้มีคนมาพ่นสเปรย์ที่หน้าประตูโรงงาน โดยพ่นเป็นอักษรตัวโต ๆ ว่า ‘คนรวยที่ไร้ความเมตตา’ และ ‘จะต้องตายอย่างอนาถ’ ด้วยสีแดง เขาถามเธอว่าควรจะจัดการอย่างไรดี
หลินม่ายประหลาดใจมาก
ในเมื่อกวนหย่งหัวกลับฮ่องกงไปแล้ว แถมยังยกอุปกรณ์ทั้งหมดในโรงงานให้เธอเป็นค่าชดเชย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการแข่งขันทางการค้ากับเธออีก งั้นคนที่มาพ่นสีใส่โรงงานตัดเสื้อของเธอเป็นใครกัน? พ่นอักษรตัวโตเสียด้วย?
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ไปแจ้งหัวหน้าติง บอกให้เขาส่งคนจากแผนกรักษาความปลอดภัยไปลบตัวอักษรสีแดงตัวใหญ่เบ้อเร่อให้เรียบร้อย แล้วอย่าเพิ่งเล่าให้ใครฟังหรือโทรแจ้งตำรวจ เดี๋ยวฉันจะหารือเรื่องมาตรการตอบโต้กับหัวหน้าติงทีหลัง“
หลินม่ายขับรถเป็นมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ชาตินี้เธอแกล้งทำเป็นเรียนวิธีขับรถจากฟางจั๋วหรานตอนที่เขามีเวลาว่าง
และแล้วเธอก็ตัดสินใจว่าจะแสดง ‘พรสวรรค์’ อันน่าทึ่ง ว่าเธอสามารถเรียนรู้การขับรถได้รวดเร็วแค่ไหน
หลังอาหารมื้อเช้า หลินม่ายขับรถเบนซ์คันนั้นออกไปทันที
วันนี้เธอต้องเดินทางไปหลายสถานที่ ถ้าไม่มีรถคงลำบากน่าดู
เธอมุ่งตรงไปที่โรงงานจิ่นซิ่วก่อนเป็นที่แรก
เมื่อมองจากระยะไกล เธอก็เห็นว่าประตูโรงงานถูกทำความสะอาดเรียบร้อยจนไม่เหลือร่องรอยการพ่นสีก่อนหน้านี้
เนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่ใกล้เข้ามาทุกที ทางโรงงานจึงเริ่มให้พนักงานทำงานล่วงเวลาได้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย
ตราบใดที่แบ่งช่วงการทำงานเป็นสามกะ โรงงานก็เหมือนได้รับอาหารครบสามมื้อ
เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงงาน บรรดาคนงานก็กำลังกินอาหารเช้าอยู่พอดี ซึ่งแต่ละคนกินซาลาเปานึ่งสองถึงสามชิ้น เนื้ออบซอส และโจ๊กกะหล่ำปลีดอง
บางคนนำอาหารไปกินกลางแจ้งโดยไม่หวั่นเรื่องความหนาว ส่วนบางคนกินในโรงงาน
ส่วนคุณลุงเฝ้าประตูก็กินอาหารเช้าอยู่ตรงหน้าประตูโรงงาน
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังเดินมาทางนี้ เขาก็รีบไปเปิดประตูให้เธอทันที
หลินม่ายขับรถเข้ามาจอดในโรงงาน พอจอดรถแล้วก็เดินย้อนออกไปหาคุณลุงเฝ้าประตู
คุณลุงเฝ้าประตูยื่นซาลาเปาและเนื้ออบซอสที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนให้เธอพร้อมรอยยิ้ม ชักชวนเธอให้นั่งกินด้วยกัน
หลินม่ายโบกมือแล้วถามเขาว่า เมื่อคืนที่ผ่านมามีคนมาพ่นสีแดงที่หน้าประตูโรงงาน แถมยังเขียนคำแช่งด้วยอักษรตัวโต เขาทันเห็นหรือได้ยินอะไรบ้างไหม
คุณลุงเฝ้าประตูตอบกลับ “พอดีผมหลับลึกเกินไป เลยไม่ได้ยินครับ”
หลินม่ายเดินต่อไปที่แผนกรักษาความปลอดภัย
ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารเช้า ติงไห่เฟิงสั่งให้สหายน้องชายทั้งหลายเริ่มออกลาดตระเวนรอบโรงงาน ไม่เว้นแม้แต่ภายนอกโรงงาน เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นของวันนี้
หนุ่ม ๆ ในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้าทีละคน
หลินม่ายพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องส่งคนไปเยอะหรอก ส่งสักสองสามคนให้ไปลาดตระเวนเงียบ ๆ ก็พอ ฉันเดาว่าคนที่มาพ่นสีและเขียนอักษรตัวเบ้อเร่อต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ถ้าเห็นว่าพวกเรายังไม่เคลื่อนไหว ถ้านายส่งคนไปลาดตระเวนกันซะหมด มันก็เหมือนกับแหวกหญ้าให้งูตื่น การจับตัวคนทำจะยิ่งยากเข้าไปใหญ่”
ติงไห่เฟิงโบกมือ สั่งให้พวกเขาถอยกลับมาก่อน
เขาขมวดคิ้วและถามอย่างงงงวยว่า “คนปัญญาอ่อนแบบไหนกันที่กล้าทำเรื่องโง่ ๆ อย่างพ่นสีกับเขียนคำแช่งด้วยสีแดงตัวโต ๆ? เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้เราเลยแม้แต่น้อย ต่อให้มาพ่นสีอีกรอบเราก็ทำความสะอาดได้อยู่ดี คุณว่า… คนปัญญาอ่อนพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไรในการทำแบบนี้กันแน่?”
หลินม่ายผายมือและตอบว่า “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้ถามหลังจากจับคนพวกนั้นได้ดีกว่า”
ติงไห่เฟิงถาม “แล้วถ้าคนพวกนั้นรู้ตัวว่าทำไปโดยเปล่าประโยชน์ เลยเปลี่ยนใจไม่มารอบสองจะทำยังไงครับ?”
“ไม่มาก็ช่างหัวพวกเขาเถอะ ถ้ามาก็โดนจับแค่นั้นแหละ”
ทันทีที่เสียงกริ่งดังขึ้น หลินม่ายก็เดินตรงไปที่ห้องประชุมเล็ก พบว่าทุกคนต่างมารออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
เฉินเฟิงบอกว่าเขตชุมชนตรงถนนชิงเหนียนใกล้จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทุกครัวเรือนสามารถย้ายถิ่นฐานเข้ามาที่นี่ได้
หลินม่ายพยักหน้า ขอให้เขาส่งคนไปแจ้งทุกครัวเรือนที่อยู่ในหมู่บ้านซั่งเฉวียนภายในวันนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมตัวขนย้าย
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ โครงการก่อสร้างสะพานยกระดับก็จะส่งรถบรรทุกเข้าไปช่วยขนย้ายเช่นกัน
เจิ้งซวี่ตงรายงานว่าร้านเหรินเจียนเยียนหั่วสาขาใหม่บนถนนเจี่ยเฟิงน่าจะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงใหม่มากกว่าหนึ่งเดือน เขาจึงอยากให้หลินม่ายช่วยแวะไปดูสักหน่อย เผื่อว่ามีอะไรอีกบ้างที่ต้องแก้ไข เขาจะได้เร่งจัดการให้ทันก่อนถึงช่วงปีใหม่ แล้วจะเปิดตัวร้านอย่างเป็นทางการในวันปีใหม่ที่จะถึงนี้
หลินม่ายรับปากว่าเธอค่อยไปตรวจสอบนี้หลังเสร็จสิ้นการประชุม แต่เธอก็ได้แนะนำไปเบื้องต้นว่าให้เขาเปิดร้านในวันคริสต์มาสอีฟแทน
นับตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ ประเทศจีนก็เริ่มเปิดประตูต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ แม้ว่าจะมีภาพยนตร์จากฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศญี่ปุ่นเข้ามาฉาย แต่ผู้คนในยุคนี้ก็รู้จักเทศกาลคริสต์มาสมาจากในหนังเท่านั้น น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้
ยิ่งวันคริสต์มาสอีฟยิ่งแล้วใหญ่
เจิ้งซวี่ตงถามด้วยความสงสัย “วันคริสต์มาสอีฟคืออะไรเหรอ?”
หลินม่ายอธิบายให้ทุกคนฟัง
ตอนแรกเธอวางแผนว่าจะจัดโปรโมชั่นวันคริสต์มาสอีฟทุกแหล่งจำหน่ายสินค้าในเครืออยู่แล้ว
ไม่ว่าจะลูกค้าไปซื้อผักที่ตลาดสดฝูตัวตัว ซื้อเสื้อผ้าจากร้านจิ่นซิ่ว หรือสั่งอาหารที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วและร้านเปาห่าวซือ… ลูกค้าแต่ละคนก็จะได้รับแอปเปิลฟรี
แต่แอปเปิลในวันนั้นไม่ได้เรียกว่าแอปเปิลธรรมดา ๆ หรอกนะ แต่เรียกว่าผิงอันกั่ว(1)
ทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลว่าโปรโมชั่นนี้จะไม่มีประโยชน์
เพราะในความคิดของชาวจีนทั่วไป พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองเทศกาลที่มาจากต่างประเทศ
หลินม่ายพูดอย่างมั่นใจ “ตราบใดที่การประชาสัมพันธ์ของเราทำออกมาได้ดี ไม่ต้องกลัวหรอกว่าโปรโมชั่นนี้จะไร้ประโยชน์”
เธอมาจากชาติที่แล้ว จึงรู้ดีว่าหนุ่มสาวชาวจีนให้ความสนใจกับวัฒนธรรมของชาวต่างชาติมากแค่ไหนในยุคนี้ ดีไม่ดีจะให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองเทศกาลจากต่างประเทศมากกว่าเทศกาลดั้งเดิมของประเทศตัวเองซะอีก
โดยเฉพาะในยุคปฏิรูปและเปิดประเทศ สังคมที่ปิดกั้นจากโลกภายนอกมานาน จู่ ๆ ก็มีสิ่งแปลกใหม่จากโลกภายนอกหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
คนหนุ่มสาวหลายคนต่างเสียศูนย์ไปตาม ๆ กัน เชื่อว่าดวงจันทร์ที่ต่างประเทศเป็นวงกลม ดังนั้นทุกสิ่งอย่างที่มาจากต่างประเทศล้วนเป็นของดี
นั่นหมายความว่าเทศกาลในประเทศล้าหลังและไร้รสนิยมยังไงล่ะ!
หลินม่ายสั่งให้ร้านค้าทั้งหมดประดับไฟหลากสีสัน และต้องมีต้นคริสต์มาสกับหุ่นกวางเรนเดียร์วางอยู่ข้างหน้า
นอกจากนี้เธอยังขอให้จัดคนไปแต่งตัวเป็นซานตาคลอสคอยยืนแจกใบปลิวที่หน้าประตู
งานเหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายประชาสัมพันธ์ทั้งหมด
หลินม่ายยังบอกอีกว่า ให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ติดต่อจางอวี้กับช่อง CCTV เพื่อถ่ายทำโฆษณาเสื้อผ้าแฟชั่นช่วงปลายฤดูหนาวให้เสร็จก่อนวันคริสต์มาสอีฟ แล้วนำโปสเตอร์ตัวใหม่ไปติดที่ผนังด้านนอกของห้างสรรพสินค้าด้วย
คราวนี้เธออยากให้สั่งพิมพ์ภาพโปสเตอร์โฆษณาขนาดใหญ่ที่มีความยาวหลายเมตร เพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะมองจากระยะไกล
หลังการประชุมเสร็จสิ้น หลินม่ายก็เดินทางต่อไปที่สำนักงานเขต
ผอ.เขตโอวหยางไม่ได้มีเรื่องอะไรแจ้งเป็นพิเศษ แต่เขาต้องการให้เธอทำสัญญาบริหารจัดการตลาดสดของรัฐอีกแห่งที่เพิ่งจะปิดตัวลง
ตลาดสดของรัฐที่ว่านี้ตั้งอยู่บนถนนต้าซิงในเขตเจียงอัน นอกจากนี้ยังเป็นตลาดขนาดใหญ่
หลังจากหลินม่ายเข้ารับตำแหน่ง เธอจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาสามปี และยังได้รับสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น มีหน่วยงานช่วยจัดหาเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จากแหล่งสัตวบาลที่ดำเนินการโดยรัฐ แล้วจัดส่งไปยังตลาดสดที่ถนนต้าซิง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วเหลืองต่าง ๆ
หลินม่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ถึงเธอจะตกลงราคาเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วเหลืองตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ เธอก็ไม่ได้มีปัญหากับการทำสัญญาบริหารจัดการตลาดแห่งอื่น
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เธอไม่ต้องการรับช่วงดูแลคนงานที่ถูกเลิกจ้างจากตลาดเดิม ซึ่งผอ.เขตโอวหยางก็รู้เรื่องนี้ดี
เธอตกลงทำสัญญาบริหารตลาดสดที่ถนนเจี่ยเฟิง ก็เพราะเธอไม่อยากรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง จนเกิดความขัดแย้งกับผอ.เขตโอวหยางอยู่ช่วงหนึ่ง จนในที่สุดผอ.เขตโอวหยางก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
แต่คราวนี้ผอ.เขตโอวหยางมีเงื่อนไขว่าเธอต้องยอมรับช่วงดูแลพนักงานเก่าที่ถูกเลิกจ้างจากตลาดสดบนถนนต้าซิง ดังนั้นครั้งนี้คงปฏิเสธไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนครั้งที่แล้ว
แต่เธอก็ไม่อยากยอมรับเงื่อนไขนี้ง่าย ๆ เหมือนกัน
หลินม่ายจึงจงใจที่จะนิ่งเงียบต่อไป
ตั้งใจว่าจะทำสงครามจิตวิทยา ใครกระวนกระวายก่อนคนนั้นเป็นฝ่ายแพ้
เมื่อผอ.เขตโอวหยางเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรเลยเป็นเวลานาน เขาจึงพูดย้ำอีกที “คุณติดปัญหาตรงไหนหรือเปล่า? บอกผมได้นะถ้าคุณไม่โอเคกับอะไร ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้”
หลินม่ายตอบกลับอย่างระมัดระวัง “พอดีฉันไม่อยากรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง…”
ผอ.เขตโอวหยางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมรับผิดชอบดูแลเขตเจียงฮั่น ส่วนตลาดสดที่ถนนต้าซิงอยู่ในเขตความรับผิดชอบของเจียงอัน แปลว่ามันไม่ได้อยู่ในส่วนงานที่ผมรับผิดชอบด้วยซ้ำ แต่ที่ผมขอให้คุณช่วยทำสัญญาบริหารตลาดสดตรงนั้น ก็เพราะเบื้องบนเขาสั่งมาอีกที แต่เบื้องบนเขาต้องการให้คุณรับช่วงดูแลพนักงานทั้งหมดของตลาดสดที่ถูกเลิกจ้างด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้ผมไม่มีอำนาจไปจัดการอะไรได้”
หลินม่ายนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะถามว่า “งั้นคุณปฏิเสธได้ไหมคะ?”
สีหน้าของผอ.เขตโอวหยางแข็งทื่อฉับพลัน “เอ่อ… คงไม่ดีเท่าไหร่”
หลินม่ายเข้าใจทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ถ้าเธอปฏิเสธไม่ทำสัญญา มันคงส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของผอ.เขตโอวหยางเป็นอย่างมาก และในภายหน้าเขาต้องมีปัญหากับเธอแน่ ๆ
แต่ถ้าเธอยอมรับช่วงต่อ เธอก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากจะจัดการเหมือนกัน
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เสนอว่า “ฉันขอคิดเรื่องนี้สักสองสามวันแล้วกันค่ะ”
ผอ.เขตโอวหยางพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง “อีกสิบวันจะถึงวันปีใหม่แล้ว คุณขอเวลาคิดสองสามวันเท่ากับเสียเวลาไปสองสามวันเลยนะ คุณไม่กลัวพลาดรายได้จากโปรโมชั่นในช่วงวันปีใหม่เหรอ? “
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบกลับอย่างนุ่มนวลและหนักแน่น “ต่อให้ฉันพลาดรายได้จากโปรโมชั่น กำไรที่สูญเสียไปก็ไม่เท่าไหร่เองค่ะ ฉันกลัวมากกว่าว่าถ้ารีบร้อนตัดสินใจอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้ปรึกษาทีมผู้บริหารซะก่อน ฉันคงได้รับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่านี้ และคงยากที่จะทำกำไรได้ ฉันไม่อยากเสียผลประโยชน์มากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ”
เธอคุ้นชินกับพฤติกรรมเคยตัวของพนักงานรัฐดี
นอกจากทัศนคติในการทำงานจะย่ำแย่แล้ว พวกเขายังมีความดื้อรั้น ไม่ยอมทำตามกฎหรือระเบียบวินัยง่าย ๆ
สาเหตุที่โรงงานของรัฐส่วนใหญ่มีอันต้องปิดตัวลงเนื่องจากกระแสการปฏิรูป พนักงานในสถานประกอบการนั้นเองก็มีส่วน
ผอ.เขตโอวหยางได้แต่มองตามแผ่นหลังหลินม่าย หลังจากที่พวกเขากล่าวอำลาและแยกย้ายกันไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
นับตั้งแต่รายได้จากการจัดเก็บภาษีโรงงานตัดเสื้อที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเขาพุ่งสูงทะลุเพดาน หน่วยงานระดับสูงจึงต้องการผลักดันและส่งเสริมเขาเป็นพิเศษ
แต่เขาต้องปีนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อแสดงศักยภาพให้พวกเขาเห็นเสียก่อน
ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ หัวหน้าคนหนึ่งได้เสนอแนะว่าเขาควรเริ่มทำอะไรสักอย่าง โดยการขอให้หลินม่ายทำสัญญาบริหารจัดการตลาดสดที่ถนนต้าซิง รวมถึงรับช่วงดูแลพนักงานเก่าทั้งหมดที่ถูกเลิกจ้างด้วย
ในเวลานั้นเขารู้ตั้งแต่แรกว่าหลินม่ายคงไม่เห็นด้วย
เพราะเธอเกลียดระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐเป็นพิเศษ พนักงานพวกนั้นทำตัวสูงส่งราวกับตัวเองเป็นนายใหญ่ ซึ่งไม่ง่ายที่จะกำราบ
แต่หัวหน้าเตือนว่าถ้าเขาเจรจากับเธอไม่สำเร็จ เขาคงต้องรออีกสองถึงสามปีถึงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
เขาไม่ใช่วัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว อายุเข้าใกล้ห้าสิบอยู่รอมร่อ ถ้าต้องรอไปอีกสองสามปี ป่านนั้นเขาคงเกษียณพอดี…
เขาอดบ่นในใจไม่ได้ว่าทำไมหลินม่ายถึงไม่ยอมตอบตกลงง่าย ๆ กันนะ?
แม้ตัวเขาจะรู้ดีว่าปัญหาที่ตามมาไม่ง่ายต่อการรับมือ แต่ถ้าหลินม่ายตกลงทำสัญญาและรับช่วงดูแลพนักงานพวกนั้น เขาเชื่อว่าคนอย่างเธอสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้แน่ แต่เธอกลับปฏิเสธไม่ยอมท่าเดียวเนี่ยสิ
…………………………………………………………………………………………………………….
ผิงอันกั่ว = ผลแอปเปิลที่นิยมแจกในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือวาระต่าง ๆ ของชาวจีน แปลว่าผลไม้แห่งความสุข
สารจากผู้แปล
จัดโปรโมชันได้ก้าวหน้ากว่าใครเลย รับรองยอดขายพุ่งกระฉูดแน่
ไหหม่า(海馬)