วันแรกของเดือนเก้า ผลการสอบศิลปะการต่อสู้ก็ออกแล้ว เซ่าจ้งหรานสอบได้อันดับที่สิบสี่
เมื่อมีข่าวดี สกุลเวยเป่ยโหวก็ส่งผู้ดูแลไปจุดประทัดฉลองที่เรือนนอกของสกุลเซ่า ในทางตรงกันข้าม สกุลสวีดูเงียบสงบมากกว่า ผู้ดูแลจ้าวนำชุดเกราะชุดใหม่ไปให้สกุลเซ่า
“…ชุดเกราะที่ท่านโหวเคยสวมตอนสู้รบที่เเคว้นเหมียวเจียงขอรับ”
เซ่าจ้งหรานได้ฟังแล้วก็ตกใจ เขารับชุดเกราะนั้นมาด้วยมือสองมือ จากนั้นก็นำไปวางไว้ที่ห้องหนังสือด้วยความเคารพ แล้วพาผู้ดูแลจ้าวไปดื่มสุราที่โถงบุปผา
ในโถงบุปผาล้วนแต่เต็มไปที่ด้วยคนที่มาร่วมแสดงความยินดี ผู้ดูแลฝ่ายรายงานของสกุลหลินก็อยู่ที่นี่ พวกเขาสนิทสนมกัน เขาจึงยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วง ประเดี๋ยวบ่าวดูแลผู้ดูแลจ้าวให้เองขอรับ”
ทางฝั่งทิศตะวันออกของโถงบุปผามีห้องปีกอยู่ห้องหนึ่ง คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นล้วนแต่เป็นสหายของเซ่าจ้งหราน
เซ่าจ้งหรานก็ไม่เกรงใจ เขายิ้มแล้วพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค จากนั้นก็เดินออกไปยังห้องข้างๆ
ผู้ดูแลฝ่ายรายงานของสกุลหลินแนะนำคนที่นั่งในโถบุปผาให้ผู้ดูแลจ้าวรู้จัก
มีบ่าวรับใช้วิ่งหอบเข้ามารายงาน “คนในพระราชวังมาขอรับ บอกว่าฮ่องเต้อยากเจอคุณชาย เชิญคุณชายไปเข้าเฝ้าในพระราชวังประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นในโถงบุปผา ทุกคนพากันเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเซ่าจ้งหราน บางคนก็บอกว่า “จ้งหราน เจ้าประสบความสำเร็จแล้ว” บางคนก็บอกว่า “จ้งหราน ฮองเฮาอาจจะอยากเจอเจ้าก็ได้” แล้วก็มีคนหัวเราะว่า “จ้งหราน มีคนของตัวเองอยู่ในราชสำนักดีเสียจริง”
เซ่าจ้งหรานยิ้มแล้วตอบกลับพวกเขาว่า “สมพรปากของทุกคน” และ “ขอให้เป็นเช่นนั้น” ไม่ได้เก็บซ่อนความปิติยินดีของตัวเอง แต่กลับไม่ได้เย่อหยิ่ง ท่าทีอ่อนน้อมอย่างพอเหมาะ
ผู้ดูแลจ้าวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนพยักหน้าเบาๆ แต่สายตากลับมีความเคร่งขรึม
เมื่อเซ่าจ้งหรานออกไปแล้ว เขาอ้างว่ายังต้องกลับไปรายงานไท่ฮูหยิน จากนั้นก็รีบกลับไปที่ตรอกเหอฮวาหลี่
“เรียกเซ่าจ้งหรานไปเข้าเฝ้าในพระราชวังตอนนี้อย่างนั้นหรือ…” สวีลิ่งอี๋วางพู่กันลงแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ไท่ซือด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
ผู้ดูแลจ้าวเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปพูดเบาๆ “บ่าวส่งคนไปสืบในพระราชวังแล้วขอรับ เร็วที่สุดยามไฮ่ ช้าที่สุดพรุ่งนี้ยามซื่อก็น่าจะมีข่าวคราว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงคนวิ่งดังมาจากด้านนอกประตู
เสียงวิ่งที่ดังลั่นเช่นนี้ นอกจากจิ่นเกอแล้ว ยังจะมีใครกล้าวิ่งนอกห้องหนังสือของเขาแบบนี้อีก
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก
ผู้ดูแลจ้าวเห็นเช่นนี้สายตาก็เป็นประกาย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู จิ่นเกอวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“ท่านพ่อ!” เขาเดินอ้อมโต๊ะเขียนหนังสือไปนั่งบนตักของสวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ “นกของข้าขอรับ!”
มือน้อยๆ ที่อ้วนท้วมกำนกกระจอกตัวเล็กอยู่ในมือ
สวีลิ่งอี๋ยกยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความพอใจ
เขาลูบหัวบุตรชายเบาๆ “ผู้ดูแลจ้าวอยู่ที่นี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ทักทายผู้ดูแลจ้าวเล่า”
จิ่นเกอหันหน้าไปตะโกนเรียก “ผู้ดูแลจ้าว!”
ผู้ดูแลจ้าวรีบโค้งคำนับแล้วพูดอย่างมีมารยาทว่า “บ่าวไม่กล้าขอรับ” จากนั้นก็พูดอย่างอ่อนโยน “คุณชายน้อยหกไปจับนกที่สวนดอกไม้หลังจวนมาหรือขอรับ”
จิ่นเกอพยักหน้า เขาหันหน้าไปมองสวีลิ่งอี๋ “สุยเฟิงจับมา ยังจับแมลงด้วยได้ด้วย นกทานแมลง”
เขาพูดชัดกว่าสองสามเดือนก่อนไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็อุ้มบุตรชาย “ไปกันเถิด เราไปจับแมลงที่สวนหลังจวนกัน!” จากนั้นก็บอกผู้ดูแลจ้าว “มีข่าวแล้วค่อยมาบอกข้า!”
ผู้ดูแลจ้าวขานรับ “ขอรับ” จากนั้นก็มองดูสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอเดินออกไป
*****
ข่าวมาเร็วกว่าที่สวีลิ่งอี๋และผู้ดูแลจ้าวคาดคิดเอาไว้เสียอีก
“…ฮ่องเต้ทรงเรียกบัญฑิตเซ่าไปเข้าเฝ้า เชิญบัญฑิตเซ่าเข้าไปถามเรื่องการสู้รบ!”
ถามเรื่องการสู้รบ!
สวีลิ่งอี๋พฃันตัวสั่น “เช่นนั้นบัญฑิตเซ่าตอบเช่นไร”
คนที่มารายงานคือขันทีอายุสิบห้าสิบหกปี สายตาของเขากระฉับกระเฉง ได้ยินเช่นนี้เขาก็ตอบกลับด้วยความนอบน้อม “บัญฑิตเซ่าเข้าเฝ้าฮ้องเต้เป็นครั้งแรก ไม่แปลกที่เขาจะตื่นเต้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า ‘ใช้งานคนที่เหมาะสมเอาชนะศัตรู ไม่มีใครสามารถป้องกันได้ แม่ทัพที่ชาญฉลาดและกล้าหาญ คือแม่ทัพที่น่านับถือและน่าเคารพ ทหารทุกนายต้องคุ้นเคยกับกลยุทธ์และมีความกล้าหาญ เคลื่อนกองทัพต้องเข้มงวด รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ แบบนี้ได้รับชัยชนะแน่นอน’…”
ล้วนแต่เป็นแค่คำพูดในตำรา!
ขันทีคนนั้นรายงานพลางลอบมองสีหน้าของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เมื่อขันทีคนนั้นพูดจบ เขาก็ฝืนยิ้มแล้วถามว่า “เช่นนั้นฮ่องเต้ว่าเช่นไร”
โอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ สูญเปล่าไปเพราะบัญฑิตเซ่า ขันทีคิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของสวีลิ่งอี๋ สายตาของเขามีความเห็นอกเห็นใจ นึกขึ้นมาได้ว่าสองสามปีที่ผ่านมาสวีลิ่งอี๋ดูแลพวกตนเป็นอย่างดี จึงพูดเสียงเบาลง
“ฮ่องเต้จึงตรัสถามถึงคนในสกุลของบัญฑิตเซ่า ว่าพวกเขาล้วนแต่รับตำแหน่งอะไร” ขันทีคนนั้นกุมมือ “ได้ยินว่าบัญฑิตเซ่ายังมีน้องชายคนหนึ่ง ปีนี้อายุสิบห้าปี กำลังเตรียมตัวสอบศิลปะการต่อสู้ซิ่วไฉ ฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็ทรงหยุดชะงัก จากนั้นก็ยิ้มแล้วตรัสถามผู้บัญชาการโอวหยางที่อยู่ข้างๆ ว่า ‘เจ้ามีหลานสาวคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ปีนี้อายุสิบสามปี ยังไม่ได้แต่งงานใช่หรือไม่ ตอนนี้มีคู่ครองที่ดีเช่นนี้ เจ้ายังจะรออะไร ยังไม่ส่งคนไปทาบทามที่ตระกูลของบัญฑิตเซ่าอีก!’”
ผู้บัญชาการโอวหยาง ก็คือโอวหยางหมิง ผู้บัญชาการขององครักษ์วังหลวง ตั้งแต่เขาเข้าไปในพระราชวังเมื่ออายุสิบสามปี เขาก็กลายเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ แล้วยังเป็นคนรักสันโดษ นอกจากสหายที่เป็นองครักษ์ด้วยกันสองสามคน เขาไม่เคยไปมาหาสู่กับคนอื่น เป็นคนที่ฮ่องเต้เชื่อใจมากที่สุด
ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าพระราชทานงานสมรส
โอวหยางหมิงต้องตอบตกลงอยู่แล้ว
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋และผู้ดูแลจ้าวเปลี่ยนไป ผู้ดูแลจ้าวอุทานขึ้นว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า ทั้งสองสกุลจะแต่งงานกันหรือ!”
“ใช่แล้ว!” ขันทีคนนั้นยิ้ม “ผู้บัญชาการโอวหยางและบัญฑิตเซ่าก้มหัวให้ฮ่องเต้ ขอบพระทัยที่ฮ่องเต้ทรงมอบสมรสพระราชทาน ฮ่องเต้พอพระทัย จึงพระราชทานสุราอวี้ลู่ให้บัญฑิตเซ่าสองไห จากนั้นก็บอกให้พวกข้าออกไปส่งบัญฑิตเซ่า ตอนนี้บัญฑิตเซ่าน่าจะกลับไปถึงจวนแล้วกระมัง!”
“ลำบากกงกงแล้ว” สวีลิ่งอี๋เหลือบมองผู้ดูแลจ้าว จากนั้นก็พูดอย่างมีมารยาท “รบกวนกลับไปทักทายเหลยกงกงแทนข้าด้วย!”
ขันทีคนนั้นรีบโค้งคำนับ “ท่านโหวอย่าได้เรียกข้าเช่นนี้เลย” พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็ออกไปจากห้องหนังสือกับผู้ดูแลจ้าว
สวีลิ่งอี๋นั่งครุ่นคิดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง
ผู้ดูแลจ้าวก็กลับเข้ามา
“มอบป้ายหยกให้ไปแล้วขอรับ” พูดจบ เขาก็ทำสีหน้าลังเล “ท่านคิดว่าเรื่องนี้?”
สวีลิ่งอี๋สะบัดมือแล้วพูดว่า “นี่เป็นความเมตตาของฮ่องเต้ที่มีต่อสกุลเซ่า เจ้าเตรียมส่งของขวัญไปแสดงความยินดีกับสกุลเซ่าเถิด!” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “ในที่สุดก็ผ่านไปได้ด้วยดี คืนนี้เราจะได้นอนหลับสนิทสักที!”
ผู้ดูแลจ้าวหัวเราะแล้วส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปที่ประตูฉุยฮวา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในลานหลัก
โคมสีแดงใต้ชายคาส่องแสงสว่างทั่วลาน กิ่งไม้ที่ถูกลมฤดูร้อนพัดผ่านส่งเสียงดังคลอไปกับเสียงอ่านหนังสือของสวีซื่อเจี้ย
สวีลิ่งอี๋ยืนฟังอยู่ใต้ชายคาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดม่านเดินเข้าไปในห้องโถง
สาวใช้ที่เฝ้ายามกำลังจะไปรายงานสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋กลับยกมือห้ามแล้วเดินย่องเข้าไปข้างใน
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง สวีซื่อเจี้ยยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าเตียงเตา คนหนึ่งถือ ‘ตำราปฐมวัย’ อยู่ในมือ คนหนึ่งยืนตัวตรงท่องตำรา แล้วยังมีเจ้าตัวเล็กคนหนึ่งนั่งทำหน้าบึ้งตึง บิดตัวไปมาราวกับนั่งอยู่บนเข็มตรงข้ามสืออีเหนียงก็ไม่ปาน
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
สายตาของเจ้าตัวเล็กคนนั้นพลันเป็นประกาย เขากระโดดขึ้นยืนแล้วตะโกนเรียก “ท่านพ่อ” เสียงดังราวกับมองเห็นความหวัง
สืออีเหนียงเหลือบมองเขา
จิ่นเกอก็รีบนั่งลงทันทีแล้วเอ่ยเรียก “ท่านพ่อ” เบาๆ ด้วยสีหน้าที่น้อยใจ
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงลงมาจากเตียงเตา
สวีซื่อเจี้ยหันหน้ามาโค้งคำนับสวีลิ่งอี๋
จิ่นเกอมองดูสวีลิ่งอี๋ แต่กลับนั่งอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน
สวีลิ่งอี๋จึงเดินเข้าไปอุ้มเขา “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
จิ่นเกอรีบกอดคอสวีลิ่งอี๋เอาไว้ แล้วซบลงบนไหล่ของสวีลิ่งอี๋
“เจี้ยเกอจะอ่านหนังสือเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรินชาให้สวีลิ่งอี๋แล้วเรียกสาวใช้เข้ามารับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “แต่จิ่นเกอวิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ ข้าบอกก็ไม่ฟัง แล้วยังเอะอะโวยวายรบกวนพี่ชาย บอกว่าจะออกไปเล่น ข้าจึงให้เขานั่งอยู่ตรงมุมเตียงเตา ไม่ให้ใครสนใจเขา”
จิ่นเกอกอดคอสวีลิ่งอี๋ไว้แน่น ท่าทีราวกับกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่อุ้มเขา
สวีลิ่งอี๋หัวใจอ่วนยวบ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” เขาตบหลังจิ่นเกอเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “พี่ห้าของเจ้าจะอ่านหนังสือ เราอย่าไปรบกวนเขาเลย!” แล้วหันไปถามสืออีเหนียง “เจี้ยเกออ่านหนังสือเสร็จแล้วหรือยัง”
“เหลืออีกสองหน้าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูด
สวีลิ่งอี๋จึงพูดกับจิ่นเกอเบาๆ “เช่นนั้นเราไปวาดภาพที่ห้องหนังสือดีหรือไม่”
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้นมาทันที เขายิ้มอย่างสดใสราวกับดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนก็ไม่ปาน “ดีขอรับ ข้าจะวาดภาพ!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วหอมแก้มเขา จากนั้นก็พาเขาไปที่ห้องหนังสือ
จิ่นเกอนั่งอยู่บนตักของสวีลิ่งอี๋ ถือพู่กันแล้วขีดเขียนบนกระดาษ ประเดี๋ยวก็วาดเป็นวงกลม ประเดี๋ยวก็ลากเส้นยาวๆ สวีลิ่งอี๋วาดเพิ่มเข้าไปในวงกลมของเขา กลายเป็นไก่ตัวเล็กๆ วาดเพิ่มเข้าไปในเส้นยาวๆ ของเขา กลายเป็นมังกรที่บินอยู่บนก้อนเมฆ ทำเอาจิ่นเกอชอบอกชอบใจ เขายัดพู่กันใส่ในมือของสวีลิ่งอี๋ “วาดนกยูง นกยูงแบมือขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ แก้คำพูดให้จิ่นเกอ “นั่นไม่ได้เรียกว่านกยูงแบมือ มันเรียกว่านกยูงรำแพน!”
จิ่นเกอก็เชื่อฟังคำพูดของสวีลิ่งอี๋ รีบพูดขึ้นว่า “วาดนกยูงรำแพนขอรับ!”
นกยูงมักจะรำแพนในฤดูใบไม้ผลิ แต่ไม่รู้ว่าสุยเฟิงที่เป็นคนดูแลนั้นใช้วิธีอะไร ทำให้มันยอมรำแพนต่อหน้าสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอ จิ่นเกอปรบมือด้วยความชอบใจ สุ่ยเฟิงก็ได้รับเงินรางวัลสิบสองตำลึง
สวีลิ่งอี๋ไม่เคยวาดภาพนกยูง เขายิ้มแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เราไปวาดภาพนกยูงที่สวนดอกไม้หลังจวนกันดีกว่า!”
จิ่นเกอไม่ยอม เขาบิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงเดินเข้ามา “ท่านโหวเจ้าคะ ดึกแล้ว ท่านรีบอาบน้ำนอนเถิด!”
จิ่นเกอจึงนิ่งลง
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่ามันน่าสนุก จึงตบหลังจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อ่านหนังสือเสร็จแล้วหรือ!”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดแล้วเดินเข้ามาอุ้มจิ่นเกอ “ข้าไปอาบน้ำให้จิ่นเกอดีกว่า!”
สวีลิ่งอี๋ลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ แล้วเดินไปยังเรือนหลักกับสืออีเหนียง
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา “ท่านโหวขอรับท่านบุตรเขยมาขอรับ!”
“ตอนนี้?” สืออีเหนียงตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าที่สับสนของสวีลิ่งอี๋ ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“กลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “เจ้ากล่อมจิ่นเกอนอนก่อนเถิด!” จากนั้นก็เดินออกไปลานข้างนอกกับบ่าวรับใช้
สืออีเหนียงกล่อมจิ่นเกอหลับไปแล้ว จากนั้นก็นั่งทำงานเย็บปักภายใต้แสงตะเกียง นางรู้สึกว่ามันร้อน จึงไปนั่งบนตั่งในห้องโถง ถือพัดแล้วคุยกับจู๋เซียง “…เจ้าบอกหู่พั่วว่า เรื่องลูกสำคัญที่สุด ดูแลลูกให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้ายังมีเจ้า หากไม่ไหวจริงๆ ก็เรียกสาวใช้น้อยที่ไหวพริบดีมาช่วยก็ได้”
“บ่าวก็พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ!” จู๋เซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าพี่หู่พั่วกำลังตั้งครรภ์ คิดว่ามันคือเรื่องที่เคยสัญญากับท่านไว้ นางจึงร้อนใจเจ้าค่ะ”
“ข้ายังไม่รีบร้อนเลย แล้วนางจะรีบร้อนทำไมกัน” ทันทีที่สืออีเหนียงพูดจบ ก็เห็นสวีลิ่งอี๋เปิดม่านเดินเข้ามา