ตอนที่ 567 แรงบันดาลใจของฟางจั๋วหราน
หลังออกจากสำนักงานเขต หลินม่ายก็ขับรถไปที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วทันทีโดยไม่หยุดพัก
การตกแต่งภายนอกของร้านเหรินเจียนเยียนหั่วนั้นเหมือนกับร้านค้าอื่นในเครือทุกอย่าง นอกจากนี้สไตล์การตกแต่งภายในก็ยังเหมือนกันเป๊ะ แถมยังดูออกไปทางสไตล์โบราณอีกด้วย
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือการตกแต่งภายในมีความคลาสสิกและสง่างาม
หลินม่ายเดินวนไปรอบ ๆ ชั้นบนและชั้นล่าง แล้วออกความเห็นอยู่อย่างเดียว คือให้นำกู่เจิงไปวางไว้ตรงมุมล็อบบี้ชั้นหนึ่ง แล้วหาสาวสวยที่เล่นกู่เจิงเป็นมาบรรเลงให้ลูกค้าฟัง
เจียงเฉิงมีโรงเรียนสอนดนตรีหลายแห่ง ดังนั้นการจัดหาสาวสวยที่สามารถเล่นกู่เจิงได้จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เธอถามเจิ้งซวี่ตงว่าถ้าร้านเหรินเจียนเยียนหั่วเปิดให้บริการ นอกจากแอปเปิลที่แจกฟรีในวันคริสต์มาสอีฟแล้ว เขายังมีกิจกรรมอะไรอีกบ้าง
เจิ้งซวี่ตงหัวเราะแล้วตอบว่า “ผมจะใช้วิธีส่งเสริมการขายที่คุณหลินเคยใช้ก่อนหน้านี้ ถ้ายอดใช้จ่ายถึงตามที่กำหนด เราจะมอบส่วนลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ คุณคิดว่ายังไงครับ?”
หลินม่ายพยักหน้า “เข้าท่าเลย แต่คุณอย่าลืมเอาใจใส่กับการบริการลูกค้าให้มาก ๆ นะ”
ชาติที่แล้วเธอชื่นชอบกลยุทธ์งานบริการของร้านไหตี่เลาเป็นพิเศษ แต่ในแง่ของรสชาติ เธอคิดว่ามันยังไม่ใช่ร้านหม้อไฟที่ดีที่สุดในโลก
แต่เพราะอะไรร้านถึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลามไปทั่วโลก แล้วทำไมหลายคนถึงให้ความสนใจมากินกันล่ะ?
ประเด็นสำคัญก็คือการบริการของทางร้านดีมาก ใช้หลักแนวคิดที่ว่าลูกค้าก็คือพระเจ้าอย่างแท้จริง
หลินม่ายแนะนำเจิ้งซวี่ตงเกี่ยวกับแนวคิดการบริการแบบเดียวกับที่ร้านไหตี่เลาทำ
เจิ้งซวี่ตงตอบรับอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาตามมา เพราะอาหารทุกเมนูไม่ได้ราคาแพงไปกว่าซาลาเปาและขนมจีบตามร้านค้าทั่วไปเลย แต่ถ้ามอบการบริการให้ลูกค้าสูงขนาดนี้ หมายความว่าต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งมันไม่คุ้มเอาเสียเลย
หลินม่ายตอบกลับอย่างเด็ดขาดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นราคาอาหารสิ”
เจิ้งซวี่ตงตกตะลึงทันที “ถ้าเราขึ้นราคา จำนวนลูกค้าต้องลดฮวบลงแน่ ๆ ครับ”
หลินม่ายต้องเผชิญกับปัญหาเดิมอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเหรินเป่าจูหรือโฮ่วซินอี้ ตอนนี้มีเจิ้งซวี่ตงเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหวาดกลัวการขึ้นราคาสินค้าจนขึ้นสมอง แถมยังคิดว่าการขึ้นราคาเป็นการขุดหลุมฝังศพตัวเองอีก
ถ้าความสามารถในการแข่งขันทางผลิตภัณฑ์อ่อนแอ การขึ้นราคาก็เปรียบเสมือนทางตัน
แต่ตอนนี้แบรนด์ของเธอเริ่มมีชื่อเสียง และมีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ดังนั้นการที่ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ร้านอาหารอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงในเจียงเฉิง ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหลงเปา เร่อกันเมี่ยน หรือเต้าหู้แผ่นที่พวกเขาขายกันในตอนแรกก็ไม่ได้ราคาแพงเหมือนกัน
หลังจากมีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ราคาก็พุ่งสูงขึ้น แต่ไม่เห็นว่าพวกเขาจะล้มละลาย แถมยังกลายเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าเดิม
หลินม่ายขอให้เจิ้งซวี่ตงขึ้นราคาก็จริง แต่อาหารที่ขึ้นราคาไม่ได้เป็นแค่ของว่างธรรมดาทั่วไปเสียหน่อย เป็นของว่างระดับไฮเอนด์ต่างหาก
หลังจากนั้น หลินม่ายก็ไปที่มหาวิทยาลัยเกษตรหัวจง เพื่อไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วหลายคนเกี่ยวกับเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืชที่กัดกินผักในช่วงฤดูหนาว
อาจารย์ที่เกษียณอายุแล้วเหล่านั้นต่างรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้ยินว่าเธอปลูกผักนอกฤดูในเรือนกระจก
หลังจากได้ฟังหลักการทำงานในเรือนกระจกของหลินม่าย พวกเขาถึงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่มันเป็นไปได้จริง ๆ
พวกเขาต่างคร่ำครวญว่าตัวเองไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน
หลินม่ายจึงปลอบพวกเขาว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ทราบวิธีการแบบนี้ แล้วจะคิดไปถึงการปลูกผักนอกฤดูได้อย่างไร
ก่อนเกิดการปฏิรูปและเปิดประเทศ สถานการณ์ของปัญญาชนในตอนนั้นไม่สู้ดีนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถออกความคิดเห็นในเชิงวิชาการได้ว่าต้องการทำอะไร
ผักที่ปลูกในเรือนกระจกถูกรบกวนด้วยโรคและแมลงศัตรูพืช ในขณะเดียวกันอาจารย์เหล่านี้ก็ไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์ทำนองนี้มาก่อน
พวกเขาจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังขอไปตรวจสอบสถานการณ์ถึงที่นั่นเองว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินม่ายจึงเลือกอาจารย์สามคนที่พอมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แล้วขับรถพาพวกเขาไปที่ชนบท
เธอไม่อยากเชิญอาจารย์ที่สุขภาพไม่ดีมาด้วย เพราะกลัวว่าจะทนต่อเส้นทางที่มีแต่หลุมและบ่อไม่ไหว
กว่าพวกเขาจะมาถึงเมืองซื่อเหม่ยก็เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการกิน
ปัจจุบันในตัวเมืองซื่อเหม่ยมีร้านอาหารขนาดเล็กไม่มาก
หลินม่ายจึงเลือกร้านอาหารเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากเกสต์เฮาส์ซึ่งดำเนินการโดยรัฐแล้วเดินเข้าไป
เกสต์เฮ้าส์ของรัฐที่อยู่ติดกันถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครให้ความสนใจมาปรับปรุงเลย
หลินม่ายยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ ตอนที่เธอเดินเข้าไปในเกสต์เฮาส์หลังสลัดหลุดจากตระกูลอู๋และไม่มีที่ไป พนักงานต้อนรับต่างมองเธอด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
ชีวิตคนเราก็อย่างนี้ สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ(1)
เธอไม่รู้ว่าพนักงานต้อนรับพวกนั้นจะแสดงสีหน้าอย่างไรเมื่อเห็นเธอในตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจจะจำเธอไม่ได้เลยก็ได้
เพราะหลินม่ายเองก็มีชื่อเสียงพอสมควรในเมืองซื่อเหม่ย
เมื่อเธอเดินเข้าไปในร้านอาหารเล็ก ๆ พร้อมกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสามคน เจ้าของร้านอาหารและภรรยาของเขาก็จำเธอได้ทันที รีบเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ร้องเรียกเธอว่าลูกค้าหายาก
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเธอพาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านโรคและแมลงศัตรูพืชมาดูผักในเรือนกระจก เจ้าของร้านและภรรยาก็กระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม
เจ้าของร้านยกชาร้อนมาเสิร์ฟให้พวกเขาพร้อมกับถั่วลิสงทอด
ตามคำขอของหลินม่าย เจ้าของร้านรีบออกไปซื้อปลาตะเพียนตัวใหญ่ ก้ามปู และซี่โครงหมูจากตลาด แล้วรีบนำมาปรุงอาหารเพิ่มทันที
เหล่าอาจารย์คาดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงในการปรุงอาหารมื้อนี้ จึงวางแผนว่าจะใช้เวลารออาหารแวะไปที่เรือนกระจกก่อน เพื่อตรวจสอบแมลงศัตรูพืชและผักที่ติดโรค
หลินม่ายกลัวว่าพวกเขาจะหิวโซเสียก่อน จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยทำไข่ลวกให้อาจารย์แต่ละท่าน หลังจากนั้นจึงขับรถพาพวกเขาไปที่เรือนกระจกตามหมู่บ้านทั้งสิบแห่งที่อยู่ใกล้เคียง
เมื่อพวกหัวหน้าหมู่บ้านทราบข่าว ก็พาชาวบ้านออกมาให้การต้อนรับ
เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ จึงสามารถระบุได้อย่างรวดเร็วว่าผักเหล่านั้นเป็นโรคราแป้ง
หลินม่ายรีบถามว่าควรซื้อยาฆ่าแมลงอะไรดี จะได้รีบให้คนไปหาซื้อโดยด่วน
อาจารย์เหล่านั้นต่างยิ้มพลางส่ายหน้า บอกว่าโรคราแป้งนั้นกำจัดได้ง่ายมากโดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง แค่ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำในสัดส่วนที่พอเหมาะ แล้วฉีดลงบนใบของผักก็ได้แล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการรักษาและกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ทำให้พวกเขาปวดหัวมันจะง่ายดายขนาดนี้!
หลังกลับมาจากเรือนกระจก เจ้าของร้านและภรรยาก็เตรียมอาหารมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมนูอาหารกลางวันนี้มีหลายอย่าง ไม่ได้มีแค่ปลาต้มผักกาดดอง ซุปไก่ และซี่โครงหมูอบมันฝรั่งเท่านั้น แต่ยังมีมะเขือเทศผัดไข่ เป็ดตุ๋น หมูสามชั้นผัดฟองเต้าหู้… รวมทั้งหมดสิบจานได้
หลินม่ายยิ้มและพูดกับเจ้าของร้านและภรรยา “ฉันเปล่าสั่งอาหารเยอะขนาดนี้นี่คะ?”
เจ้าของร้านยิ้มพร้อมตอบกลับ “มีคนส่งวัตถุดิบมาหลายอย่างมาให้พวกเราปรุงเผื่ออาจารย์ทุกคนน่ะครับ”
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ หลินม่ายเป็นคนจ่ายบิล แต่เจ้าของร้านและภรรยายืนกรานว่าจะคิดราคาค่าอาหารเฉพาะค่าวัตถุดิบที่พวกเขาต้องจ่ายไปเท่านั้น
พวกเขาไม่คิดค่าอาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่คนอื่นส่งมาให้เด็ดขาด
หลินม่ายยอมรับน้ำใจของเขา ก่อนจะพาอาจารย์ทั้งสามคนไปที่หมู่บ้านสกุลอู๋เพื่อดูผักในเรือนกระจก
ผักเรือนกระจกที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสกุลอู๋ก็ประสบปัญหาโรคราแป้งเหมือนกัน อาจารย์ทุกคนจึงบอกวิธีการรักษาเดียวกันกับหัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋ หลังจากนั้นหลินม่ายก็พาพวกเขากลับไปยังตัวเมือง
พวกเขาถูกส่งกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แถมแต่ละคนยังได้ซองอั่งเปาไปคนละสองร้อยหยวนอีกด้วย
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็น นับว่ายังเช้าอยู่ หลินม่ายจึงขับรถไปที่โรงงานเครื่องจักรของฟางจั๋วเยวี่ย ขอให้เขาช่วยแวะไปที่โรงงานของกวนหย่งหัวเพื่อตรวจเช็กอุปกรณ์หน่อย
เนื่องจากฟางจั๋วเยวี่ยเสพติดการขับรถหรู เขาจึงให้หลินม่ายย้ายไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ส่วนตัวเองเป็นคนขับรถ จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปที่โรงงานตัดเสื้อซีม่าน
ฟางจั๋วเยวี่ยตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างระมัดระวัง หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาก็พยักหน้าให้หลินม่าย
หลินม่ายเข้าใจทันทีว่าอุปกรณ์พวกนี้ยังสามารถใช้งานได้จริง ๆ สมแล้วที่ใช้พวกมันเป็นเครื่องจำนองแทนเงินสดจำนวนแปดหมื่นหยวน ซึ่งเป็นเงินค่าชดเชยที่กวนหย่งหัวยังติดหนี้เธออยู่
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไปบอกสหายในศาลที่ติดตามพวกเขามาด้วยว่า เธอยินดียอมรับคำแนะนำของศาล
สหายในศาลจึงขอให้เธอไปศาลในวันพรุ่งนี้เพื่อทำตามกระบวนการ และอุปกรณ์เหล่านี้จะตกเป็นของเธอ
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับมาจากเลิกงาน ก็พบว่าหลินม่ายยังเตรียมอาหารเย็นไม่เสร็จ
เขาเดินเข้าไปในครัวเพื่อเป็นลูกมือ พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมถามเธอว่า หลังจากที่เธอไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น พวกเขาได้ให้คำแนะนำอะไรมาบ้าง
หลินม่ายตอบตามความจริงพลางถอนหายใจ “พวกโรคและแมลงศัตรูพืชของผักในเรือนกระจกกำจัดง่ายกว่าที่คิดไว้มาก แต่ดันมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นแทนน่ะสิ”
ฟางจั๋วหรานยื่นกระเทียมที่ปอกเสร็จแล้วให้เธอ “ปัญหาใหม่ที่ว่าคืออะไรเหรอ?”
หลินม่ายบอกเขาว่าผอ.เขตโอวหยางต้องการให้เธอทำสัญญาดูแลตลาดสดที่ถนนต้าซิง
ฟางจั๋วหรานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่ตลาดผักตรงถนนต้าซิงที่เพิ่งจะปิดตัวลงเมื่อเดือนก่อนเพราะพวกคนงานไปร้องเรียนว่าทางรัฐไม่สามารถจ่ายค่าจ้างได้หรือเปล่า?”
เหตุการณ์นี้สร้างความโกลาหลไม่น้อยในเวลานั้น แถมยังได้รับการตีพิมพ์ข่าวลงในหนังสือพิมพ์อีก ฟางจั๋วหรานจึงรู้เรื่องนี้บ้างแบบผ่านตา
หลินม่ายถอนหายใจ “คงจะเป็นที่เดียวกันนั่นแหละค่ะ!”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “พวกคนงานในตลาดสดนั้นมีปากมีเสียง คงจัดการได้ยากจริง ๆ”
“แต่ฉันเพิ่งปฏิเสธผอ.โอวหยางไป ภายภาคหน้าฉันคงไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ จากเขาอีก” หลินม่ายเป็นกังวลเล็กน้อย
เหตุผลหลักก็เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอจะประกอบธุรกิจอย่างราบรื่นได้โดยปราศจากการหนุนหลังจากเจ้าหน้าที่รัฐสักคน
ฟางจั๋วหรานปลอบเธอ “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ผมพอรู้จักกับข้าราชการระดับสูงบางคนอยู่บ้าง ถ้าคราวหน้ามีข้าราชการระดับสูงคนไหนจัดงานเลี้ยงที่บ้านแล้วส่งคำเชิญมาให้ผม ผมจะพาคุณไปขยายเครือข่ายด้วยตัวเอง“
หลินม่ายพยักหน้าทันที
ฟางจั๋วหรานถาม “คุณอยากให้ผมหาคนมาช่วยจัดการเรื่องผอ.เขตโอวหยางหรือเปล่า?”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ถ้าฉันขอให้คุณหาคนมาช่วยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ ฉันกลัวว่าผอ.เขตโอวหยางจะไม่พอใจฉันเท่าไหร่ ศัตรูนั้นแก้ง่ายแต่ผูกไม่ง่าย(2)”
ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไป เหลือเพียงเสียงปลาที่ถูกทอดในกระทะดังฉ่า ๆ
หลังจากนั้นฟางจั๋วหรานก็ถามอีก “คุณได้ถามผอ.เขตโอวหยางหรือเปล่าว่าทำไมผู้บังคับบัญชาระดับสูงของเขาถึงอยากให้คุณรับช่วงดูแลคนงานที่ถูกเลิกจ้าง? บางทีถ้าคุณรู้สาเหตุคงพอจะหาวิธีแก้ไขได้”
หลินม่ายกะพริบตาแล้วพูดว่า “สิ่งที่คุณพูดก็มีเหตุผล ฉันจะลองโทรไปถามเขาว่าทำไมถึงต้องบังคับให้รับช่วงต่อ”
หลังจากนั้นเธอก็วางตะหลิวแล้วเดินพรวดพราดออกไป
ฟางจั๋วหรานโคลงศีรษะ ก่อนหยิบตะหลิวขึ้นมาทอดปลาต่อ
หลินม่ายวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเองภายในอึดใจเดียว แล้วยกหูโทรศัพท์โทรหาผอ.เขตโอวหยางทันที
เธอถามเขาว่าทำไมผู้บังคับบัญชาระดับสูงถึงอยากให้เธอเซ็นสัญญาดูแลตลาดสดที่ถนนต้าซิง แถมยังยืนกรานให้รับช่วงดูแลพนักงานพวกนั้น
ผอ.เขตโอวหยางอธิบายว่า “ตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ โรงงานของรัฐหลายแห่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกปิด เมื่อโรงงานปิดตัวลง พวกพนักงานก็ต้องถูกเลิกจ้าง และเมื่อถูกเลิกจ้าง พวกเขาก็จะสูญเสียรายได้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ส่วนการสั่งปิดโรงงานและการเลิกจ้างนั้น ฝ่ายเสนาธิการจะเป็นคนประเมิน เมื่อในพื้นที่มีพนักงานถูกเลิกจ้างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งผ่านการประเมินยากขึ้นเท่านั้น และพวกเขายังเสี่ยงว่าจะถูกลดขั้นอีกด้วย ที่พวกเขาต้องการให้คุณรับช่วงดูแลพนักงานเก่าของตลาดสดที่ถนนต้าซิง เพราะมันอยู่ในเขตพื้นที่ที่พวกเขารับผิดชอบ ก่อนหน้านี้โรงงานของรัฐหลายแห่งถูกปิดตัวลง จึงมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างมากเกินไป พวกเขาเลยกลัวว่าตัวเองจะถูกปรับลดตำแหน่ง”
เนื่องจากโรงงานของรัฐไม่ได้รับการจัดการที่ดี การปิดตัวลงก็ถือเป็นแนวโน้มทั่วไป
ถึงแนวคิดดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่พวกเขาก็ไม่อยากให้บรรดาพนักงานตกงานจนสูญเสียรายได้
แต่การผลักภาระจ้างงานพนักงานที่ตกงานให้กับผู้รับเหมาคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ จะได้ผลแค่ไหนกันเชียว?
ถึงอย่างนั้นการที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงหวังใช้เธอเป็นกระสุนปืนใหญ่เพื่อรักษาหน้าที่การงานของตัวเองไว้ ก็ถือเป็นเรื่องที่เกินไปสักหน่อย
ถึงตัวเองจะเป็นถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง แต่ใช่ว่าจะใช้อำนาจของตัวเองบีบบังคับคนอื่นได้เสียเมื่อไร
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเธอพลันสว่างขึ้นมา “คุณบอกว่าเขาเป็นกังวลเรื่องจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างใช่ไหมคะ? ถ้างั้นก็จัดการปัญหานี้ได้ง่ายมาก ฉันสามารถรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานของรัฐแห่งอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานเก่าของตลาดสดที่ถนนต้าซิง”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ผอ.เขตโอวหยางรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเหมือนกัน แล้วทำไมต้องรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานอื่นด้วยล่ะ?”
หลินม่ายอธิบายว่า “ฉันยินดีรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานแห่งอื่น โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องถูกเลิกจ้างมาไม่ต่ำกว่าสามเดือน เพราะพนักงานเหล่านั้นต้องเผชิญกับความยากลำบากจากการตกงาน และว่างเว้นจากการมีรายได้มาเป็นเวลานาน ถ้าพวกเขาถูกจ้างงานอีกครั้ง พวกเขาจะต้องขยันทำงานอย่างหนักแน่นอน แต่พนักงานเก่าของตลาดสดที่ถนนต้าซิงนั้นต่างออกไป พวกเขายังไม่ได้เผชิญความยากลำบากเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อชีวิตตอนนี้ยังราบรื่นดี แล้วใครจะมัวห่วงเรื่องงานใหม่ล่ะ? นอกจากไม่คิดจะหางานใหม่แล้ว พวกเขายังคิดว่าเจ้าของตลาดคนใหม่ต้องจ้างตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งนั่นคือปัญหาของพวกเขา ถ้าในอนาคตพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ตามความต้องการของตัวเอง เดี๋ยวก็รวมตัวกันร้องเรียนวุ่นวายอีก ทำไมฉันต้องแบกรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยคนพวกนี้ด้วย?”
ความจริงเธอไม่ได้วางแผนว่าจะรับช่วงดูแลพนักงานที่ถูกเลิกจ้างอย่างน้อยสามเดือนตั้งแต่แรก
แต่เธอหวนนึกถึงพนักงานที่ถูกเลิกจ้างซึ่งได้รับโอกาสเข้ามาทำงานในตลาดสดฝูตัวตัว พวกเขาต่างทุ่มเททำงานกันอย่างขันแข็ง
คนที่เคยสูญเสียเท่านั้นถึงจะรู้วิธีทะนุถนอม
ผอ.เขตโอวหยางที่อยู่ปลายสายของโทรศัพท์พยักหน้า “ผมจะลองเอาความคิดของคุณไปรายงานต่อหัวหน้า แล้วรอดูว่าเขาจะมีความคิดเห็นยังไงบ้าง”
……………………………………………………………………………………………………………….
(1) สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ หมายความว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลง รุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน
(2) ศัตรูนั้นแก้ง่ายแต่ผูกไม่ง่าย หมายความว่า สร้างมิตรดีกว่าสร้างศัตรู
สารจากผู้แปล
ปัญหาค่อยๆ คลี่คลายทีละอย่างแล้วสินะ
ไหหม่า(海馬)