จู๋เซียงย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
“บุตรเขยมาทำไมหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปหาเขา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง จึงจับหน้านางมาหอมแก้มแล้วพูดว่า “มั่วเหยียน เจ้าหาบุตรเขยที่ดีให้สกุลสวีของเรา” พูดด้วยท่าทีปิติยินดี
สืออีเหนียงแปลกใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องชำระ
สืออีเหนียงจึงเดินตามไป ยืนพิงประตูห้องน้ำแล้วถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกมา เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้เรียกเซ่าจ้งหรานเข้าเฝ้า แล้วยังพระราชทานงานแต่งให้น้องชายของเซ่าจ้งหรานให้สืออีเหนียงฟัง “… เขาคิดว่าข้าไม่รู้ จึงส่งคนมาบอกข้า!” พูดพลางถอนหายใจ “ฮ่องเต้เรียกให้เขาไปเข้าเฝ้านั้นเป็นเกียรติอย่างมาก บางครั้งแค่คำพูดประจบประแจงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในทันที ถึงแม้เขาจะยังเด็ก แต่ยังคงรักษาท่าทีสุขุมเมื่อฮ่องเต้ถามคำถามได้ ระมัดระวังคำพูดคำจา ตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม นับเป็นเรื่องที่ยาก มั่วเหยียน จ้งหรานถือเป็นบุตรเขยที่ดีของสกุลสวี!”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจสกุลสวี!
ให้หลานสาวของขุนนางคนสนิทอย่าง โอวหยางหมิงแต่งงานเข้าไปอยู่ในสกุลเซ่า ก็แค่อยากวาดเสือให้วัวกลัว เตือนให้สกุลเซ่ารักษาความเป็นกลาง แล้วก็บอกให้สวีลิ่งอี๋อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามใช่หรือไม่?
สืออีเหนียงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ทำให้คนเสียอารณ์พวกนี้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าบุตรเขยจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าสกุลเซ่าค่อนข้างคล้ายคลึงกับสกุลเรา ในเมื่อบุตรเขยคือบุตรชายที่มีความสามารถของสกุลเซ่า คิดว่าเขาคงจะเข้าใจเจตนาของบรรพบุรุษสกุลเซ่าเป็นอย่างดี แล้วก็จะได้นึกถึงสถานการณ์ของสกุลเราด้วยเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงคิดว่าบุตรเขยดีกว่าคุณชายหลี่” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็อยากหยอกล้อสวีลิ่งอี๋ “ไม่เกี่ยวกับที่บุตรเขยหน้าตาหล่อเหลากว่าคุณชายหลี่คนนั้นเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ เขาหัวเราะขึ้นมาทันที “ข้าไม่ยักจะรู้ ว่าเจ้ายังตัดสินคนอื่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอก”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยมือ
พวกเขาสองคนมองดูจิ่นเกอที่นอนหลับสนิท เห็นอาจินเฝ้าอยู่ข้างๆ ถึงได้สบายใจแล้วกลับไปที่ห้องข้างใน
“วันเกิดของจิ่นเกอ เราจัดโต๊ะสักสองสามโต๊ะให้คึกคักดีหรือไม่” สวีลิ่งอี๋ปรึกษากับสืออีเหนียง “ถึงตอนนั้นทุกคนจะได้ครึกครื้น!”
“วันเกิดของลูกๆ ข้าว่าแค่ทานบะหมี่อายุยืนก็พอ” สืออีเหนียงเอ่ยปฏิเสธ “แม้แต่ท่านโหวก็ยังไม่จัดงานเลี้ยง แค่วันเกิดของเขา ข้าคิดว่าไม่ต้องยุ่งยากหรอกกระมัง”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไรอีก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พลิกตัว แต่เขากลับลืมตาไม่ยอมหลับตา
สืออีเหนียงถอนหายใจ นางกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง “ท่านโหวรีบนอนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ผลักนางออก “เจ้าทำอะไรน่ะ… “
แต่มือของสืออีเหนียงกลับโอบเอาไว้แน่น เขาไม่ได้ออกแรงมากจึงผลักนางไม่ออก
“ท่านโหวรีบนอนเถิดเจ้าค่ะ!” นางยังคงยืนกราน “ข้าจะกอดท่านโหวอยู่แบบนี้!”
ถูกสืออีเหนียงกอดอย่างอ่อนโยน ราวกับแม่ที่กำลังกอดลูก เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู…สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความตกใจเป็นความแปลกใจ
เขาหลับตา จมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบจางๆ หัวใจของเขาค่อยๆ สงบลง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
*****
ตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจิ่นเกอ
“ท่านพ่อไม่ยอมตื่น!” เขาเอียงหัวจ้องมองสวีลิ่งอี๋
ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นนั่งแล้วอุ้มจิ่นเกอ “ท่านแม่ของเจ้าเล่า”
“ท่านแม่ไปหาพี่หญิง ข้าอยู่ที่นี่ขอรับ!” ประโยคยาวๆ แต่สองสามคำสุดท้ายกลับกระท่อนกระแท่น แต่สวีลิ่งอี๋ก็ฟังเข้าใจ
เขายิ้มแล้วหอมแก้มจิ่นเกอ พลันนึกถึงงานเลี้ยงวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ของเซินเกอ เขาคิดว่าวันเกิดของบุตรชายของตัวเองทานแค่บะหมี่อายุยืนนั้นไม่ค่อยยุติธรรมกับเขาสักเท่าไร จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สองสามวันต่อมา ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไปหาสุนัขตัวใหญ่ตัวเล็กสองสามตัวมาจากไหน เขานำมาให้จิ่นเกอเล่น
จิ่นเกอตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ลูกหนังก็ไม่เตะแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็บอกว่าจะไปหาสุนัข
สืออีเหนียงกลัวว่าสุนัขจะไม่สะอาด นางจึงเรียกบ่าวรับใช้สองสามคนมาช่วยสุยเฟิง ช่วยอาบน้ำให้สุนัขสองสามตัวนั้น
จิ่นเกอเห็นเช่นนี้ก็นึกสนุก เขาเดินตามสุยเฟิงไปดูสุนัขอาบน้ำทุกวัน
ไท่ฮูหยินรู้เช่นนี้ก็บอกให้นำสุนัขพวกนั้นออกไปทันที
“…หากมีเห็บจะทำเช่นไร” นางเกลี้ยกล่อมจิ่นเกอ “ประเดี๋ยวท่านย่าจะมอบแมวให้เจ้าตัวหนึ่ง…ไม่ใช่ มอบแมวให้เจ้าคู่หนึ่ง ขนสีขาวมีดวงตาสีเขียว สวยงามเป็นอย่างมาก ดีหรือไม่”
จิ่นเกอส่ายหน้า “ลูกสุนัขของข้าขอรับ!”
ไท่ฮูหยินเป็นกังวล นางเรียกสวีลิ่งอี๋ไปตำหนิ “หากมันกัดเขาเข้าจะทำอย่างไร รักลูก ก็ต้องมีขีดจำกัด จะทำเหมือนเจ้าได้เช่นไร รีบหาวิธีนำสุนัขพวกนั้นออกไปประเดี๋ยวนี้!”
สืออีเหนียงก็คิดว่าจิ่นเกอยังเด็กเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือสมัยโบราณไม่มีวัคซีน แล้วก็ไม่รู้ว่าสุนัขพวกนี้มาจากไหน จิ่นเกอชอบเล่นกับพวกมัน หากไปจับโดนอะไรเข้าทำให้มันโกรธคงจะไม่ดี นางจึงยืนเงียบอยู่ข้างไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋เลยบอกให้สุยเฟิงนำสุนัขไปไว้ที่ไร่
เมื่อจิ่นเกอไม่เห็นสุนัช เขาก็ร้องไห้อยู่ตั้งนาน ร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง ใครปลอบใจก็ไม่ฟัง
ไท่ฮูหยินโทษสวีลิ่งอี๋อีกครั้ง “จะรีบร้อนแบบนี้ได้อย่างไร บอกให้นำออกไปก็นำออกไปทันที” จากนั้นก็บอกให้ป้าของตู้ไปจับแมวที่จวนหย่งชังโหวมาสองตัว “…พึ่งจะคลอดสี่ตัว วันนั้นนางถามข้าว่าอยากได้หรือไม่ ข้าบอกว่ามันขนร่วงจึงไม่อยากได้”
เช่นนี้คือการดื่มสุราพิษดับกระหาย[1]?
สืออีเหนียงรีบเอ่ยปากห้ามปรามไท่ฮูหยินเอาไว้ “ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อแมวขนร่วง ไม่เลี้ยงก็ได้กระมัง จิ่นเกอก็แค่เห็นว่าสุนัขพวกนั้นสนุก ถึงไม่ยอมให้นำพวกมันออกไป เด็กน้อยลืมอะไรง่าย ข้าคิดว่า อีกสองสามวันมีของเล่นใหม่ๆ มา ประเดี๋ยวเขาก็ลืมเองเจ้าค่ะ”
“ถึงอย่างไรก็จะปล่อยให้เขาร้องไห้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้!” ไท่ฮูหยินไม่ยอมฟัง นางบอกให้ป้าตู้ไปจับแมว
ป้าตู้เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เหนื่อยใจ จากนั้นก็ขานรับแล้วเดินออกไป จับแมวสายพันธุ์ปอซือ[2]ตาสีฟ้าสองตัวที่พึ่งจะครบเดือนกลับมา จิ่นเกอเห็นแล้วก็ยืนสะอื้นพลางพูดพึมพำว่า “สุนัขของข้า สุนัขของข้า…”
ไท่ฮูหยินอุ้มจิ่นเกอ “หลานรักของย่า…” นางสงสารเขา จากนั้นจึงบอกกับสวีลิ่งอี๋ “ยังไม่ไปบอกให้บ่าวรับใช้ที่ชื่อสุยเฟิงตามสุนัขพวกนั้นกลับมาอีก!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็บอกให้คนไปตามสุนัขพวกนั้นกลับมา
ที่จวนจึงมีแมวเพิ่มมาอีกสองตัว
สืออีเหนียงยกมือก่ายหน้าผากแล้วพูดกับจู๋เซียง “ดูเหมือนว่าคงต้องรอให้จิ่นเกอโตกว่านี้อีกสักหน่อย รู้ความแล้ว ค่อยคิดหาวิธีแก้นิสัยที่ไม่ดีของเขา!”
จู๋เซียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกเป็นเด็กร่าเริง ไท่ฮูหยินและท่านโหวโปรดปรานเขา มันคือวาสนาของคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ แต่กลัวแค่ว่าจะมีคนอิจฉา พาคุณชายน้อยหกทำอะไรไม่ดี ฮูหยินจะใจอ่อนไม่ได้ ต้องดูแลคุณชายน้อยหกให้ดีนะเจ้าคะ” นางพูดเป็นนัย
สืออีเหนียงเลิกคิ้ว
จู๋เซียงรีบพูด “บ่าวก็แค่เป็นห่วงเท่านั้น ไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเจ้าค่ะ!”
“ไม่แปลกที่เจ้าจะเป็นห่วง” สืออีเหนียงพูดเสียงเบา “ต่อไปหากคุณชายน้อยหกทำอะไรผิด เจ้าต้องรายงานให้ข้ารู้ทันที”
จู๋เซียงย่อเข่าคำนับแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน เฉียนฮูหยินที่ตรอกซื่อเซี่ยง มาเจ้าค่ะ!”
เฉียนฮูหยิน? อู่เหนียง?
สืออีเหนียงประหลาดใจ นางรีบบอกให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา
อู่เหนียงสวมเสื้อสีแดงสดใส นางผอมลงไปตั้งสิบจิน ทำให้นางดูสีหน้าซีดเซียว ตอนแรกที่สืออีเหนียงเห็นอู่เหนียงก็เกือบจะจำแทบไม่ได้
เมื่อนางเดินเข้ามาสืออีเหนียงก็บอกให้สาวใช้ยกชาร้อนเข้ามาให้นาง “สองสามวันนี้ทานอะไรก็อาเจียน ไม่เหมือนตอนที่ตั้งครรภ์ซินเกอ ข้าสงสัยว่าครั้งนี้น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงกระมัง”
อู่เหนียงจิบชาแล้วถอนหายใจ
รู้ข่าวกะทันหันเช่นนี้
สืออีเหนียงพูดด้วยความตกใจ “พี่หญิงห้า ท่านท้องหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ นางรีบพูด “พี่หญิงห้ากลับมาคนเดียวหรือกลับมากับพี่เขยห้า เหตุใดถึงไม่ส่งคนมาบอกข้าก่อนเล่า”
อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขยห้าของเจ้ายังอยู่ที่เหวินเติง” พูดจบ สีหน้าของนางก็มืดมนลง “ที่นั่นค่อนข้างลำบาก เจ้าดูสารรูปของข้าตอนนี้สิ…พี่เขยห้าของเจ้าเห็นเช่นนี้ก็บอกให้ข้ากลับมาดูแลครรภ์ที่เยี่ยนจิง ข้าจึงพาซินเกอกลับมาก่อน!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็รู้สึกโล่งใจ
ตนคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเฉียนหมิงเสียอีก!
“กลับมาก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจินเจี่ยเอ๋อร์จะแต่งงานเดือนสิบ พี่หญิงพาซินเกอมาร่วมงานเถิด”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไป “เยี่ยนจิงอุดมสมบูรณ์ เฉียนเอ้อร์ไฉสองสามีภรรยาก็เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วยังมีเจ้าคอยช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีจั๋วเถาอยู่ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลซินเกอ…”
พวกนางสองคนพูดคุยกันอยู่นาน อู่เหนียงอยู่ทานข้าวเย็นที่จวนสกุลสวีแล้วกลับไป
*****
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ สวีซื่ออวี้กลับมาจากเล่ออาน ทุกคนเริ่มเตรียมการงานแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์
สวีซื่ออวี้เป็นพี่ใหญ่ แน่นอนว่าเขาต้องไปส่งเจ้าสาวออกเรือน แต่ว่าญาติผู้หญิงที่จะไปส่งเจ้าสาวออกเรือนไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี
ฮูหยินห้าจึงแนะนำว่า “หรือว่า ให้คุณนายน้อยใหญ่ไปส่งเจ้าสาวออกเรือนดีหรือไม่ เช่นนี้ฉินเกอก็จะได้ไปด้วย ส่วนอวี้เกอเองก็จะได้มีเพื่อนร่วมทาง เจอเรื่องอันใดก็มีคนช่วยคิด!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่านี่คือความคิดที่ดี รีบเอ่ยปากอย่างเห็นด้วย “ข้าก็คิดว่าคุณนายน้อยใหญ่เหมาะสมที่สุด ไม่เพียงแต่เป็นคนมีวาสนา แล้วยังเป็นคนใจกว้างและเด็ดขาด ถึงแม้ว่าสกุลเซ่าจะเป็นสกุลใหญ่สกุลโต แต่นางก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า บอกให้คนไปเรียกคุณชายสามมา “…บอกให้คุณนายน้อยใหญ่ไปช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์ปูเตียง!”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็มีท่าทีเหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบพูดขึ้น “ท่านแม่ให้โอกาสนาง นับเป็นวาสนาของนาง ข้าจะไปบอกฉินเกอประเดี๋ยวนี้ ให้ฉินเกอไปซังโจวกับนางขอรับ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพอใจ คุณชายสามพูดคุยกับนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขันทีในพระราชวังก็มาไถ่ถามถึงสถานการณ์เรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ตามคำสั่งของฮองเฮา เขาจึงลุกขึ้นขอตัวลาแล้วไปหาสวีลิ่งอี๋
“พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่ใช่คนไม่รู้ความ” สองพี่น้องดื่มชาพูดคุยกันนอกห้องหนังสือ “เหมือนกับครั้งก่อนที่เจี่ยนเกอแต่งงาน ข้าพูดกับพี่สะใภ้สามของเจ้าด้วยเหตุผล พี่สะใภ้สามของเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร สุดท้ายน้องสะใภ้สี่ก็นำเงินของขวัญคืนให้พี่สะใภ้สามทั้งหมด พี่สะใภ้สามของเจ้าปฏิเสธอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมรับมันมา”
สวีลิ่งอี๋เห็นสีหน้าที่อมทุกข์ของคุณชายสาม ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ”
คุณชายสามพยักหน้า “พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่ใช่คนเลว เพียงแค่ว่านางเป็นคนใจร้อน แล้วอีกอย่าง ภรรยาของฉินเกอก็เป็นบุตรสาวสกุลใหญ่สกุลโต เรื่องอันใดก็จัดการอย่างเป็นระเบียบ แต่บางครั้งพี่สะใภ้สามของเจ้าไม่พอใจ มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา พลอยทำให้บรรดาสาวใช้พวกนั้นเข้าใจเจตนาของพี่สะใภ้สามของเจ้าผิด จึงไม่เคารพยำเกรงภรรยาของฉินเกอ บางครั้งข้าเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิ คนพวกนั้นถึงได้เกรงกลัว เช่นนี้ พี่สะใภ้สามของเจ้าจึงคิดว่าข้าเข้าไปยุ่งมากเกินไป…ตอนนี้ ภรรยาของฉินเกอต้องไปส่งเจ้าสาวออกเรือน ที่เรือนจะได้สงบสุขสักสองสามวัน!”
[1]ดื่มสุราพิษดับกระหาย คือหวังแต่จะแก้ปัญหาความลำบากเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจผลร้ายแรงที่จะตามมา
[2]แมวสายพันธุ์ปอซือ หรือ แมวสายพันธุ์เปอร์เซีย จู๋เซียงย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
“บุตรเขยมาทำไมหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปหาเขา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง จึงจับหน้านางมาหอมแก้มแล้วพูดว่า “มั่วเหยียน เจ้าหาบุตรเขยที่ดีให้สกุลสวีของเรา” พูดด้วยท่าทีปิติยินดี
สืออีเหนียงแปลกใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องชำระ
สืออีเหนียงจึงเดินตามไป ยืนพิงประตูห้องน้ำแล้วถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกมา เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้เรียกเซ่าจ้งหรานเข้าเฝ้า แล้วยังพระราชทานงานแต่งให้น้องชายของเซ่าจ้งหรานให้สืออีเหนียงฟัง “… เขาคิดว่าข้าไม่รู้ จึงส่งคนมาบอกข้า!” พูดพลางถอนหายใจ “ฮ่องเต้เรียกให้เขาไปเข้าเฝ้านั้นเป็นเกียรติอย่างมาก บางครั้งแค่คำพูดประจบประแจงแค่ประโยคเดียวก็สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในทันที ถึงแม้เขาจะยังเด็ก แต่ยังคงรักษาท่าทีสุขุมเมื่อฮ่องเต้ถามคำถามได้ ระมัดระวังคำพูดคำจา ตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม นับเป็นเรื่องที่ยาก มั่วเหยียน จ้งหรานถือเป็นบุตรเขยที่ดีของสกุลสวี!”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจสกุลสวี!
ให้หลานสาวของขุนนางคนสนิทอย่าง โอวหยางหมิงแต่งงานเข้าไปอยู่ในสกุลเซ่า ก็แค่อยากวาดเสือให้วัวกลัว เตือนให้สกุลเซ่ารักษาความเป็นกลาง แล้วก็บอกให้สวีลิ่งอี๋อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามใช่หรือไม่?
สืออีเหนียงไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ทำให้คนเสียอารณ์พวกนี้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าบุตรเขยจะเฉลียวฉลาดเช่นนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าสกุลเซ่าค่อนข้างคล้ายคลึงกับสกุลเรา ในเมื่อบุตรเขยคือบุตรชายที่มีความสามารถของสกุลเซ่า คิดว่าเขาคงจะเข้าใจเจตนาของบรรพบุรุษสกุลเซ่าเป็นอย่างดี แล้วก็จะได้นึกถึงสถานการณ์ของสกุลเราด้วยเจ้าค่ะ ดังนั้นจึงคิดว่าบุตรเขยดีกว่าคุณชายหลี่” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็อยากหยอกล้อสวีลิ่งอี๋ “ไม่เกี่ยวกับที่บุตรเขยหน้าตาหล่อเหลากว่าคุณชายหลี่คนนั้นเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ เขาหัวเราะขึ้นมาทันที “ข้าไม่ยักจะรู้ ว่าเจ้ายังตัดสินคนอื่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอก”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยมือ
พวกเขาสองคนมองดูจิ่นเกอที่นอนหลับสนิท เห็นอาจินเฝ้าอยู่ข้างๆ ถึงได้สบายใจแล้วกลับไปที่ห้องข้างใน
“วันเกิดของจิ่นเกอ เราจัดโต๊ะสักสองสามโต๊ะให้คึกคักดีหรือไม่” สวีลิ่งอี๋ปรึกษากับสืออีเหนียง “ถึงตอนนั้นทุกคนจะได้ครึกครื้น!”
“วันเกิดของลูกๆ ข้าว่าแค่ทานบะหมี่อายุยืนก็พอ” สืออีเหนียงเอ่ยปฏิเสธ “แม้แต่ท่านโหวก็ยังไม่จัดงานเลี้ยง แค่วันเกิดของเขา ข้าคิดว่าไม่ต้องยุ่งยากหรอกกระมัง”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไรอีก
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พลิกตัว แต่เขากลับลืมตาไม่ยอมหลับตา
สืออีเหนียงถอนหายใจ นางกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง “ท่านโหวรีบนอนเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ผลักนางออก “เจ้าทำอะไรน่ะ… “
แต่มือของสืออีเหนียงกลับโอบเอาไว้แน่น เขาไม่ได้ออกแรงมากจึงผลักนางไม่ออก
“ท่านโหวรีบนอนเถิดเจ้าค่ะ!” นางยังคงยืนกราน “ข้าจะกอดท่านโหวอยู่แบบนี้!”
ถูกสืออีเหนียงกอดอย่างอ่อนโยน ราวกับแม่ที่กำลังกอดลูก เต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู…สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความตกใจเป็นความแปลกใจ
เขาหลับตา จมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบจางๆ หัวใจของเขาค่อยๆ สงบลง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
*****
ตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจิ่นเกอ
“ท่านพ่อไม่ยอมตื่น!” เขาเอียงหัวจ้องมองสวีลิ่งอี๋
ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นนั่งแล้วอุ้มจิ่นเกอ “ท่านแม่ของเจ้าเล่า”
“ท่านแม่ไปหาพี่หญิง ข้าอยู่ที่นี่ขอรับ!” ประโยคยาวๆ แต่สองสามคำสุดท้ายกลับกระท่อนกระแท่น แต่สวีลิ่งอี๋ก็ฟังเข้าใจ
เขายิ้มแล้วหอมแก้มจิ่นเกอ พลันนึกถึงงานเลี้ยงวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ของเซินเกอ เขาคิดว่าวันเกิดของบุตรชายของตัวเองทานแค่บะหมี่อายุยืนนั้นไม่ค่อยยุติธรรมกับเขาสักเท่าไร จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สองสามวันต่อมา ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไปหาสุนัขตัวใหญ่ตัวเล็กสองสามตัวมาจากไหน เขานำมาให้จิ่นเกอเล่น
จิ่นเกอตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก ลูกหนังก็ไม่เตะแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็บอกว่าจะไปหาสุนัข
สืออีเหนียงกลัวว่าสุนัขจะไม่สะอาด นางจึงเรียกบ่าวรับใช้สองสามคนมาช่วยสุยเฟิง ช่วยอาบน้ำให้สุนัขสองสามตัวนั้น
จิ่นเกอเห็นเช่นนี้ก็นึกสนุก เขาเดินตามสุยเฟิงไปดูสุนัขอาบน้ำทุกวัน
ไท่ฮูหยินรู้เช่นนี้ก็บอกให้นำสุนัขพวกนั้นออกไปทันที
“…หากมีเห็บจะทำเช่นไร” นางเกลี้ยกล่อมจิ่นเกอ “ประเดี๋ยวท่านย่าจะมอบแมวให้เจ้าตัวหนึ่ง…ไม่ใช่ มอบแมวให้เจ้าคู่หนึ่ง ขนสีขาวมีดวงตาสีเขียว สวยงามเป็นอย่างมาก ดีหรือไม่”
จิ่นเกอส่ายหน้า “ลูกสุนัขของข้าขอรับ!”
ไท่ฮูหยินเป็นกังวล นางเรียกสวีลิ่งอี๋ไปตำหนิ “หากมันกัดเขาเข้าจะทำอย่างไร รักลูก ก็ต้องมีขีดจำกัด จะทำเหมือนเจ้าได้เช่นไร รีบหาวิธีนำสุนัขพวกนั้นออกไปประเดี๋ยวนี้!”
สืออีเหนียงก็คิดว่าจิ่นเกอยังเด็กเกินไป ที่สำคัญที่สุดก็คือสมัยโบราณไม่มีวัคซีน แล้วก็ไม่รู้ว่าสุนัขพวกนี้มาจากไหน จิ่นเกอชอบเล่นกับพวกมัน หากไปจับโดนอะไรเข้าทำให้มันโกรธคงจะไม่ดี นางจึงยืนเงียบอยู่ข้างไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋เลยบอกให้สุยเฟิงนำสุนัขไปไว้ที่ไร่
เมื่อจิ่นเกอไม่เห็นสุนัช เขาก็ร้องไห้อยู่ตั้งนาน ร้องไห้จนเสียงแหบเสียงแห้ง ใครปลอบใจก็ไม่ฟัง
ไท่ฮูหยินโทษสวีลิ่งอี๋อีกครั้ง “จะรีบร้อนแบบนี้ได้อย่างไร บอกให้นำออกไปก็นำออกไปทันที” จากนั้นก็บอกให้ป้าของตู้ไปจับแมวที่จวนหย่งชังโหวมาสองตัว “…พึ่งจะคลอดสี่ตัว วันนั้นนางถามข้าว่าอยากได้หรือไม่ ข้าบอกว่ามันขนร่วงจึงไม่อยากได้”
เช่นนี้คือการดื่มสุราพิษดับกระหาย[1]?
สืออีเหนียงรีบเอ่ยปากห้ามปรามไท่ฮูหยินเอาไว้ “ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อแมวขนร่วง ไม่เลี้ยงก็ได้กระมัง จิ่นเกอก็แค่เห็นว่าสุนัขพวกนั้นสนุก ถึงไม่ยอมให้นำพวกมันออกไป เด็กน้อยลืมอะไรง่าย ข้าคิดว่า อีกสองสามวันมีของเล่นใหม่ๆ มา ประเดี๋ยวเขาก็ลืมเองเจ้าค่ะ”
“ถึงอย่างไรก็จะปล่อยให้เขาร้องไห้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้!” ไท่ฮูหยินไม่ยอมฟัง นางบอกให้ป้าตู้ไปจับแมว
ป้าตู้เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เหนื่อยใจ จากนั้นก็ขานรับแล้วเดินออกไป จับแมวสายพันธุ์ปอซือ[2]ตาสีฟ้าสองตัวที่พึ่งจะครบเดือนกลับมา จิ่นเกอเห็นแล้วก็ยืนสะอื้นพลางพูดพึมพำว่า “สุนัขของข้า สุนัขของข้า…”
ไท่ฮูหยินอุ้มจิ่นเกอ “หลานรักของย่า…” นางสงสารเขา จากนั้นจึงบอกกับสวีลิ่งอี๋ “ยังไม่ไปบอกให้บ่าวรับใช้ที่ชื่อสุยเฟิงตามสุนัขพวกนั้นกลับมาอีก!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็บอกให้คนไปตามสุนัขพวกนั้นกลับมา
ที่จวนจึงมีแมวเพิ่มมาอีกสองตัว
สืออีเหนียงยกมือก่ายหน้าผากแล้วพูดกับจู๋เซียง “ดูเหมือนว่าคงต้องรอให้จิ่นเกอโตกว่านี้อีกสักหน่อย รู้ความแล้ว ค่อยคิดหาวิธีแก้นิสัยที่ไม่ดีของเขา!”
จู๋เซียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกเป็นเด็กร่าเริง ไท่ฮูหยินและท่านโหวโปรดปรานเขา มันคือวาสนาของคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ แต่กลัวแค่ว่าจะมีคนอิจฉา พาคุณชายน้อยหกทำอะไรไม่ดี ฮูหยินจะใจอ่อนไม่ได้ ต้องดูแลคุณชายน้อยหกให้ดีนะเจ้าคะ” นางพูดเป็นนัย
สืออีเหนียงเลิกคิ้ว
จู๋เซียงรีบพูด “บ่าวก็แค่เป็นห่วงเท่านั้น ไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเจ้าค่ะ!”
“ไม่แปลกที่เจ้าจะเป็นห่วง” สืออีเหนียงพูดเสียงเบา “ต่อไปหากคุณชายน้อยหกทำอะไรผิด เจ้าต้องรายงานให้ข้ารู้ทันที”
จู๋เซียงย่อเข่าคำนับแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน เฉียนฮูหยินที่ตรอกซื่อเซี่ยง มาเจ้าค่ะ!”
เฉียนฮูหยิน? อู่เหนียง?
สืออีเหนียงประหลาดใจ นางรีบบอกให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา
อู่เหนียงสวมเสื้อสีแดงสดใส นางผอมลงไปตั้งสิบจิน ทำให้นางดูสีหน้าซีดเซียว ตอนแรกที่สืออีเหนียงเห็นอู่เหนียงก็เกือบจะจำแทบไม่ได้
เมื่อนางเดินเข้ามาสืออีเหนียงก็บอกให้สาวใช้ยกชาร้อนเข้ามาให้นาง “สองสามวันนี้ทานอะไรก็อาเจียน ไม่เหมือนตอนที่ตั้งครรภ์ซินเกอ ข้าสงสัยว่าครั้งนี้น่าจะเป็นเด็กผู้หญิงกระมัง”
อู่เหนียงจิบชาแล้วถอนหายใจ
รู้ข่าวกะทันหันเช่นนี้
สืออีเหนียงพูดด้วยความตกใจ “พี่หญิงห้า ท่านท้องหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ นางรีบพูด “พี่หญิงห้ากลับมาคนเดียวหรือกลับมากับพี่เขยห้า เหตุใดถึงไม่ส่งคนมาบอกข้าก่อนเล่า”
อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขยห้าของเจ้ายังอยู่ที่เหวินเติง” พูดจบ สีหน้าของนางก็มืดมนลง “ที่นั่นค่อนข้างลำบาก เจ้าดูสารรูปของข้าตอนนี้สิ…พี่เขยห้าของเจ้าเห็นเช่นนี้ก็บอกให้ข้ากลับมาดูแลครรภ์ที่เยี่ยนจิง ข้าจึงพาซินเกอกลับมาก่อน!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็รู้สึกโล่งใจ
ตนคิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเฉียนหมิงเสียอีก!
“กลับมาก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจินเจี่ยเอ๋อร์จะแต่งงานเดือนสิบ พี่หญิงพาซินเกอมาร่วมงานเถิด”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไป “เยี่ยนจิงอุดมสมบูรณ์ เฉียนเอ้อร์ไฉสองสามีภรรยาก็เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วยังมีเจ้าคอยช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีจั๋วเถาอยู่ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลซินเกอ…”
พวกนางสองคนพูดคุยกันอยู่นาน อู่เหนียงอยู่ทานข้าวเย็นที่จวนสกุลสวีแล้วกลับไป
*****
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ สวีซื่ออวี้กลับมาจากเล่ออาน ทุกคนเริ่มเตรียมการงานแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์
สวีซื่ออวี้เป็นพี่ใหญ่ แน่นอนว่าเขาต้องไปส่งเจ้าสาวออกเรือน แต่ว่าญาติผู้หญิงที่จะไปส่งเจ้าสาวออกเรือนไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี
ฮูหยินห้าจึงแนะนำว่า “หรือว่า ให้คุณนายน้อยใหญ่ไปส่งเจ้าสาวออกเรือนดีหรือไม่ เช่นนี้ฉินเกอก็จะได้ไปด้วย ส่วนอวี้เกอเองก็จะได้มีเพื่อนร่วมทาง เจอเรื่องอันใดก็มีคนช่วยคิด!”
สืออีเหนียงรู้สึกว่านี่คือความคิดที่ดี รีบเอ่ยปากอย่างเห็นด้วย “ข้าก็คิดว่าคุณนายน้อยใหญ่เหมาะสมที่สุด ไม่เพียงแต่เป็นคนมีวาสนา แล้วยังเป็นคนใจกว้างและเด็ดขาด ถึงแม้ว่าสกุลเซ่าจะเป็นสกุลใหญ่สกุลโต แต่นางก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า บอกให้คนไปเรียกคุณชายสามมา “…บอกให้คุณนายน้อยใหญ่ไปช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์ปูเตียง!”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็มีท่าทีเหมือนยกภูเขาออกจากอก รีบพูดขึ้น “ท่านแม่ให้โอกาสนาง นับเป็นวาสนาของนาง ข้าจะไปบอกฉินเกอประเดี๋ยวนี้ ให้ฉินเกอไปซังโจวกับนางขอรับ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพอใจ คุณชายสามพูดคุยกับนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขันทีในพระราชวังก็มาไถ่ถามถึงสถานการณ์เรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ตามคำสั่งของฮองเฮา เขาจึงลุกขึ้นขอตัวลาแล้วไปหาสวีลิ่งอี๋
“พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่ใช่คนไม่รู้ความ” สองพี่น้องดื่มชาพูดคุยกันนอกห้องหนังสือ “เหมือนกับครั้งก่อนที่เจี่ยนเกอแต่งงาน ข้าพูดกับพี่สะใภ้สามของเจ้าด้วยเหตุผล พี่สะใภ้สามของเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร สุดท้ายน้องสะใภ้สี่ก็นำเงินของขวัญคืนให้พี่สะใภ้สามทั้งหมด พี่สะใภ้สามของเจ้าปฏิเสธอยู่ตั้งนานกว่าจะยอมรับมันมา”
สวีลิ่งอี๋เห็นสีหน้าที่อมทุกข์ของคุณชายสาม ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ”
คุณชายสามพยักหน้า “พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่ใช่คนเลว เพียงแค่ว่านางเป็นคนใจร้อน แล้วอีกอย่าง ภรรยาของฉินเกอก็เป็นบุตรสาวสกุลใหญ่สกุลโต เรื่องอันใดก็จัดการอย่างเป็นระเบียบ แต่บางครั้งพี่สะใภ้สามของเจ้าไม่พอใจ มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา พลอยทำให้บรรดาสาวใช้พวกนั้นเข้าใจเจตนาของพี่สะใภ้สามของเจ้าผิด จึงไม่เคารพยำเกรงภรรยาของฉินเกอ บางครั้งข้าเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิ คนพวกนั้นถึงได้เกรงกลัว เช่นนี้ พี่สะใภ้สามของเจ้าจึงคิดว่าข้าเข้าไปยุ่งมากเกินไป…ตอนนี้ ภรรยาของฉินเกอต้องไปส่งเจ้าสาวออกเรือน ที่เรือนจะได้สงบสุขสักสองสามวัน!”
[1]ดื่มสุราพิษดับกระหาย คือหวังแต่จะแก้ปัญหาความลำบากเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจผลร้ายแรงที่จะตามมา
[2]แมวสายพันธุ์ปอซือ หรือ แมวสายพันธุ์เปอร์เซีย