บรรยากาศในตำหนักเจาหยางเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
เสียงการต่อสู้จากนอกท้องพระโรงก็กำลังใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
หากเป็นเมื่อก่อน ฮ่องเต้คงส่งองค์ชายสามไปจัดการกับศัตรูนานแล้ว
แต่วันนี้…
ทุกคนรู้สึกได้ถึงความไม่เชื่อใจอย่างรุนแรงที่ฮ่องเต้มีต่อองค์ชายสาม
ทั้งบรรดาขุนนางและเหล่าพระสนมต่างก็ไม่กล้าอ้าปาก พวกเขาทำได้เพียงก้มหน้าลงมองพื้นพร้อมกับความคิดมากมายที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัว
ว่ากันตามจริง เมื่อดูจากกองกำลังที่องค์ชายสามมีอยู่ในมือ ถ้าเขาคิดที่จะก่อกบฏ เขาก็น่าจะลงมือไปนานแล้ว
เขาจะปล่อยให้มีเบาะแสหลงเหลืออยู่จนตกไปอยู่ในมือของผู้อาวุโสอู่ได้อย่างไร
ฮ่องเต้ย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงแสดงท่าทางเช่นนี้ออกมา
ย่อมไม่มีฮ่องเต้พระองค์ใดอยากเก็บองค์ชายที่มีชื่อเสียงมากกว่าตัวเองเอาไว้
ดังนั้นใน ’ละคร’ ฉากสำคัญนี้ แม้ผู้อาวุโสอู่จะเป็นคนเสนอความคิดขึ้น แต่คนที่ต้องการคว้าโอกาสในการกำจัดองค์ชายสามเอาไว้อาจจะเป็นตัวฮ่องเต้เอง…
“ผู้อาวุโสอู่ขอรับ!” ทหารที่ถูกส่งไปค้นหาเสื้อคลุมตัวนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว และบนใบหน้าของเขาก็มีสีหน้าดีใจปรากฏอยู่ ดูเหมือนการไปที่ตำหนักจิ่วฉงจะคุ้มค่าทีเดียว!
ผู้อาวุโสอู่เหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย คิ้วของเขาแสดงออกถึงความพอใจ ”ว่าอย่างไร เจออะไรหรือไม่”
ทหารคนนั้นพยักหน้า ”ตอนที่พวกเราเข้าไปในห้องขององค์ชาย ทีแรกนั้นพวกเราถูกองครักษ์เงาขวางเอาไว้ แต่พวกเราคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะพวกเขาทำตัวผิดปกติ ดังนั้นพวกเราจึงรีบบุกเข้าไปขอรับ เป็นอย่างที่คิด พวกเราพบห่อผ้าสีดำที่ใครบางคนจงใจซ่อนเอาไว้ในลิ้นชักลับภายในห้องนั้นขอรับ!”
ผู้อาวุโสอู่สั่งให้คนของตัวเองใช้ผ้าสีดำห่อชุดลายมังกรของปลอมตัวนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสังเกตเห็น ในเมื่อห่อผ้าสีดำห่อนั้นถูกพบแล้ว มันย่อมหมายความว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจบเห่แล้ว คราวนี้เขาไม่มีวันหวนกลับมาได้อย่างแน่นอน!
“องค์ชาย ท่านควรอธิบายให้พวกเรารู้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะว่ามีอะไรอยู่ในห่อผ้าสีดำห่อนั้น” รอยยิ้มของผู้อาวุโสอู่สว่างไสว ”องค์ชายอย่าบอกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะว่าท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองผู้อาวุโสด้วยสายตาราบเรียบ ในเวลาเดียวกันนั้น มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน
หนานกงเลี่ยเป็นคนฉลาด แม้เขาจะไม่รู้ความจริงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่เพียงมองแค่ปราดเดียว เขาก็รู้ว่าผู้อาวุโสอู่จะต้องทำอะไรบางอย่างลงไปอย่างแน่นอน เมื่อหนานกงเลี่ยหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ความเป็นห่วงก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เขาไม่เชื่อว่าอาเจวี๋ยจะซ่อนชุดลายมังกรตัวนี้เอาไว้
เพราะเขารู้ดียิ่งกว่าใครว่าด้วยกองกำลังที่อาเจวี๋ยมีอยู่ หากเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาย่อมมีหนทางนับร้อยพันวิธีที่จะยึดเอาบัลลังก์มาเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจะซ่อนชุดลายมังกรตัวนี้ไปทำไม
แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจยับยั้งไม่ให้คนอื่นคิดวางแผนการเล่นงานเขาได้
ถ้าอาเจวี๋ยถูกตัดสินว่ามีความผิดเพราะซ่อนชุดลายมังกรตัวนี้เอาไว้ละก็ เช่นนั้น…
หนานกงเลี่ยขมวดคิ้วเข้าหากัน ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ของเขาเผยความเลือดเย็นอำมหิตออกมาเป็นครั้งแรก
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรของตัวเอง และไอออกมาอย่างแรง เขาตวัดสายตาไปมองห่อผ้าที่ทหารนำเข้ามา ความเดือดดาลปะทุขึ้น ”ดี! อาเจวี๋ย เจ้าช่างเป็นลูกชายที่ดีจริงๆ!”
เพล้ง!
มีเสียงถ้วยชาแตกดังขึ้นอีกครั้ง!
แต่ครั้งนี้ชาถ้วยนั้นกลับเฉียดเส้นผมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไป และกระแทกเข้ากับเสาไม้ที่อยู่ด้านหลังเขาแทน
รอยยิ้มบางๆ ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงสง่างาม ใบหน้าของเขาก็ยังเย็นชาและหล่อเหลาดังเดิม เขาไม่ขยับเลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งท่านั่งของเขาก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ความกดดันที่ออกมาจากดวงตาเรียวรีนั้นกลับสามารถสร้างความตกใจให้ได้แม้กระทั่งกับฮ่องเต้!
ฮ่องเต้ดูเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าการกระทำของตนออกจะเกินเหตุไปเสียหน่อย ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย ”วันหนึ่งจักรวรรดินี้ก็ต้องเป็นของเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องร้อนใจถึงเพียงนี้ด้วย! เจ้าถึงกับซ่อนชุดลายมังกรเอาไว้! ข้ารักเจ้าที่สุดมาโดยตลอด แล้วเจ้าล่ะ! พวกกบฏที่ก่อความวุ่นวายอยู่ข้างนอกนั่นก็เป็นความคิดของเจ้าหรือ?! เจ้าต้องการอะไร! บังคับให้ข้าสละราชบัลลังก์หรือ!?”
แต่ก่อนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะทันได้อ้าปาก
ผู้อาวุโสอู่ก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างกะทันหัน ”ฝ่าบาท! กระหม่อมเป็นคนจากจวนผู้อาวุโส ดังนั้นการปกป้องจักรวรรดิและประชาชนที่อยู่ในนั้นล้วนแต่เป็นความรับผิดชอบของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าย่อมต้องก้าวออกมาพูดอะไรบางอย่าง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่รู้ดีว่าองค์ชายสามบรรลุวรยุทธ์ไปถึงขั้นใด และเขาก็ยังเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการดูแลความปลอดภัยของวังหลวงมาตลอดหลายปี แต่ตอนนี้พอมีกองกำลังทหารกบฏมาอยู่ที่หน้าประตู และอาจจะบุกเข้ามาในนี้ได้ทุกเมื่อ ทำไมองครักษ์เงาขององค์ชายสามจึงไม่ลงมือทำอะไรเลยล่ะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งที่ตัวเขาเองก็อยู่ในตำหนักเจาหยางแห่งนี้เช่นกัน แต่กลับดูเหมือนว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียว กระหม่อมได้บอกเอาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการปกป้องวังหลวงนั้นเป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก การบุกเข้ามานั้นยากยิ่งกว่า ภายในวังหลวงมีตำหนักและห้องอยู่เป็นจำนวนมาก หากกองกำลังทหารกบฏเหล่านั้นต้องการล้อมโจมตีวังหลวงจริงละก็ พวกเขาจะต้องวางแผนมาอย่างละเอียดรอบคอบแน่พ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่มีทางทำสำเร็จได้! แต่วันนี้กองกำลังทหารบกฏเหล่านั้นกลับสามารถฝ่ากำแพงหลายต่อหลายชั้นของวังหลวงเข้ามาได้ และกำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ตำหนักเจาหยาง เช่นนี้หมายความได้เพียงอย่างเดียวว่ามีใครบางคนในวังหลวงที่คอยให้ความช่วยเหลือพวกเขาอยู่จากข้างในพ่ะย่ะค่ะ! หากดูจากสถานการณ์แล้ว คนที่ออกคำสั่งกับกองกำลังทหารกบฏเหล่านั้นจะต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับวังหลวงเป็นอย่างดี คนคนนั้นจะต้องเป็นองค์ชายสามแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไร้สาระ!” ผู้ว่าการเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืน ”ผู้อาวุโสอู่มั่นใจถึงเพียงนั้นได้อย่างไรว่าองค์ชายสามเป็นคนที่วางแผนก่อกบฏขึ้นมา ท่านคิดเอาเองหรือ ท่านไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลับปรักปรำเขาอย่างรุนแรงเช่นนี้ หากอดีตฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้เข้าละก็ ท่านคิดว่าเขาจะยอมไว้ชีวิตท่านหรือ ผู้อาวุโสอู่!”
ผู้อาวุโสอู่ยิ้มพร้อมกับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ”ใต้เท้าเฉิน อย่าเอาอดีตฮ่องเต้มาขู่ให้ข้ากลัวเลย สุขภาพของพระองค์ไม่ดีเท่าใดนัก เขาเพิ่งเดินทางไปที่วัดหลิงอิ่น และข้าเกรงว่าเขาคงจะไม่ได้กลับมาอีกพักใหญ่ แต่ต่อให้อดีตฮ่องเต้กลับมาทัน สิ่งเดียวที่เขาจะได้เห็นก็คือได้เห็นว่าองค์ชายสามเป็นคนเนรคุณเพียงใด พระองค์ย่อมไม่มีวันปกป้องเขาแน่ มีแต่จะยิ่งจัดการเขาด้วยความเด็ดขาดเท่านั้น!”
“ผู้อาวุโสอู่พูดถูกแล้ว” ผู้อาวุโสจ้านยืนขึ้นเช่นกัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสง่างาม ”ความผิดที่องค์ชายสามก่อขึ้นในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วแต่ท่านกลับยังปกป้องเขาอยู่อีกหรือ ใต้เท้าเฉิน หรือว่าท่านเองก็มีส่วนร่วมด้วยเหมือนกัน”
ทันใดนั้นผู้ว่าการเฉินก็หันหลังกลับมาด้วยสีหน้าเดือดดาล ”ท่าน! พวกท่านใส่ร้ายข้า!” เขาประสานมือของตัวเองเข้าหากัน แล้วกล่าวว่า ”ฝ่าบาท ท่านต้องสืบสวนเรื่องนี้โดยละเอียดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท ได้โปรดสืบสวนเรื่องนี้โดยละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ถัดจากผู้ว่าการเฉิน เสนาบดีหลายคนก็เริ่มคุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน พวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้สืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ คนดีจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผิด
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ายิ่งพวกเขาเข้าข้างองค์ชายมากเพียงใด ฮ่องเต้ก็ยิ่งต้องการลงโทษไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมากขึ้นเท่านั้น!
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มือที่ถือยาอยู่กำเข้าหากันแน่น
ราชสำนักกลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
มีเสนาบดีจำนวนกว่าครึ่งช่วยร้องขอความเป็นธรรมแทนองค์ชายสาม!
พวกเขารู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรคือใคร!
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หนานกงเลี่ยก็รู้ว่าคงไม่ได้การเสียแล้ว!
ผู้บวงสรวงอัจฉริยะอย่างเขาย่อมเข้าใจฮ่องเต้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
ฮ่องเต้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับอาเจวี๋ยมาตลอด จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็กังวลว่าชื่อเสียงของอาเจวี๋ยจะก้าวข้ามเขาไป
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้ลงโทษจวนผู้อาวุโสอย่างรุนแรงตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
การเผยบุคลิกลักษณะของนักปกครองออกมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับองค์ชาย
คุณสมบัติอันเหมาะสมกับการเป็นฮ่องเต้ของอาเจวี๋ยนั้นชัดเจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงถูกทุกคนเย็นชาใส่มาตั้งแต่ยังเด็ก
แต่ตอนนี้กลับมีคนมากมายคุกเข่าร้องขอความเป็นธรรมให้กับอาเจวี๋ย และหากดูจากนิสัยของฮ่องเต้แล้ว ไม่ใช่แค่เขาจะไม่ยอมไว้ชีวิตอาเจวี๋ยเท่านั้น แต่อาจจะสั่งลงโทษอาเจวี๋ยอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย!