ตอนที่ 569 เจ้าของตึกจะยึดร้านคืน
แม้ว่าร้านเปาห่าวซือจะขายติ่มซำต่าง ๆ เป็นหลัก แต่ก็ยังขายอาหารตุ๋นและเมนูอื่น ๆ ด้วย
กลายเป็นร้านแรกที่มีทั้งอาหารทั่วไปและติ่มซำขาย
เจิ้งซวี่ตงได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่หลินม่ายเคยแนะนำเกี่ยวกับร้านไหตี่เลา เขาจึงเปิดตัวเมนูหม้อไฟ
ไม่ได้มีแต่ชาวฉงชิ่งเท่านั้นที่ชอบกินหม้อไฟ ชาวเจียงเฉิงก็ชอบกินหม้อไฟไม่แพ้กัน
การกินหม้อไฟในช่วงฤดูหนาวเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม การกินหม้อไฟที่ร้านเปาห่าวซือนั้นแตกต่างจากร้านหม้อไฟอื่น ๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่นิยมสั่งบะหมี่มากินด้วย
บะหมี่ทุกชนิดคือหัวใจหลัก หม้อไฟเป็นแค่องค์ประกอบเสริมเท่านั้น
หม้อไฟที่ปรุงโดยเชฟชาวฉงชิ่งของร้านมีรสชาติดีมาก แต่ก็เผ็ดชาจนเกินไป
หลังจากกินหม้อไฟแล้ว ทั้งครอบครัวก็เดินทางไปช้อปปิ้งต่อที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง
บรรยากาศในห้างสรรพสินค้าไม่ต่างจากนอกห้าง มีแค่ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเท่านั้นที่จัดโปรโมชั่นต้อนรับคริสต์มาส ดังนั้นร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ตกกลางคืน หลินม่ายนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้สวย
เครื่องจักรที่กวนหย่งหัวยกให้แทนเงินค่าชดเชยใช้งานได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเสื้อผ้าได้อย่างดีเยี่ยม
ตลาดสดบนถนนต้าซิงก็เปิดทำการอย่างราบรื่นเช่นเดียวกัน ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลในระยะสั้น
ขณะที่ครุ่นคิดเธอก็หลับตาพริ้มอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที
ท่ามกลางความมึนงง หลินม่ายยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสายพร้อมกับกรอกเสียงลงไป ทันใดนั้นเสียงของติงไห่เฟิงก็ดังมาจากปลายสาย “หัวหน้าหลิน พวกเราจับตัวคนที่มาพ่นสีแดงได้แล้ว!”
หลินม่ายลืมตาตื่นขึ้นจากความง่วงงุนโดยทันที เธอเหลือบมองนาฬิกาปลุกขนาดเล็กบนโต๊ะ พบว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสาม
เจ้าคนคิดไม่ซื่อคนนั้นเล่นงานก่อนเวลาตื่นตามปกติของเธอไปสองชั่วโมง เขาปล่อยให้เธอนอนต่ออีกสักสองชั่วโมงไม่ได้หรือไงกัน?
เธอถาม “เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? นายได้ถามเขาหรือเปล่าว่าทำไมต้องมาพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวโต ๆ ด้วย?”
ติงไห่เฟิงตอบกลับ “เขาเป็นผู้ชายครับ ผมสอบปากคำเขาแล้ว เขาถูกคนอื่นจ้างให้มาทำอะไรแบบนี้อีกทีหนึ่ง”
“งั้นคนจ้างให้เขาทำแบบนี้เป็นใคร?”
“รู้แค่ว่าคนจ้างเป็นผู้หญิง แต่ไอ้หมอนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร หล่อนแค่จ่ายเงินจ้างโดยไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวเองทั้งสิ้น”
คำพูดของติงไห่เฟิงยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของหลินม่ายขึ้นไปอีก ผู้หญิงจิตป่วยคนไหนกันที่เกลียดชังเธอ?
“ถ้าผู้ชายคนนั้นอยากตามหาผู้หญิงที่ว่าจ้างเขาล่ะ เขาจะติดต่อหล่อนไม่ได้เลยเชียวเหรอ?”
“ไม่ได้ครับ ผู้หญิงเป็นฝ่ายมาหาไอ้หมอนี่ทุกครั้ง”
หลินม่ายหยุดคิดชั่วขณะ “ถึงยังไงสองคนนี้ก็พบเจอกันตั้งบ่อย อย่างน้อยเขาก็น่าจะบรรยายลักษณะของผู้หญิงคนนั้นได้”
“ผมลองเค้นถามแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย ไอ้หมอนี่บอกว่าทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนั้นมาหาเขา หล่อนจะโพกหัวด้วยผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ เปิดเผยให้เห็นแค่ดวงตาหนึ่งคู่ เขาเลยไม่เคยเห็นหน้าหล่อนชัด ๆ สักครั้ง อย่างเดียวที่เขารู้คือผู้หญิงคนนั้นไม่สูงมาก อายุยังน้อย และพูดภาษาจีนกลางด้วยสำเนียงที่ไม่ได้มาตรฐาน”
ผู้หญิงคนนี้ลึกลับเกินไป หลินม่ายกระหายใคร่รู้ว่าหล่อนเป็นใครยิ่งกว่าเก่า
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ปล่อยผู้ชายคนนี้ไปเถอะ ขู่ไม่ให้เขาบอกใครเด็ดขาดว่าตัวเองเคยโดนจับได้ คราวนี้นายลองส่งคนไปสอดแนมเขาดู บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะมาหาเขาแล้วจ้างให้มาพ่นสีแดงหน้าโรงงานเราอีกก็ได้”
จากนั้นเธอก็ถามต่อ “รอบนี้ผู้ชายคนนั้นยังเขียนคำแช่งตัวใหญ่เบ้อเร่ออีกไหม?”
“เขียนสิ” ติงไห่เฟิงตอบ “เขาเขียนสองคำเหมือนกับครั้งที่แล้ว ‘คนรวยที่ไร้ความเมตตา’ และ ‘จะต้องตายอย่างอนาถ’ ”
หลินม่ายคิดไม่ออกว่าใครกันที่คิดว่าเธอเป็นคนรวยที่ไร้ความเมตตา และใครกันที่อยากให้เธอตาย
แม่เฒ่าหวังงั้นเหรอ?
ไม่น่าเป็นไปได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอไม่เคยทำอะไรที่ไร้ความเมตตากับแม่เฒ่าหวัง ต่อให้เธอจะทำอย่างนั้นจริง ๆ แม่เฒ่าหวังก็ดูไม่เหมือนคนที่ชอบทำเรื่องงี่เง่าทำนองนี้เพื่อทำลายเธอ
อีกอย่าง ช่วงนี้แม่เฒ่าหวังยังโดนแม่และลูกสาวตระกูลตู้แวะเวียนมาขู่เข็ญทุกวัน ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ แล้วจะเอาพลังล้นเหลือจากไหนมาจัดการเธอ!
ในเมื่อนึกไม่ออกว่าเป็นใคร หลินม่ายก็ไม่ใส่ใจที่จะคิดถึงเรื่องนี้อีก
เธอมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอุ่น ๆ อีกครั้งเพื่อนอนต่ออีกหน่อย
ช่วงนี้โรงงานไม่มีเรื่องอะไรให้เธอต้องเข้าไปจัดการ หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลินม่ายก็กลับขึ้นไปบนห้องเพื่ออ่านหนังสือเรียน
แต่พออ่านหนังสือไปได้สักระยะหนึ่ง จ้าวเลี่ยงก็โทรมารายงานเธอว่า พนักงานเก่าที่ถูกตลาดสดบนถนนต้าซิงเลิกจ้างมารวมตัวกันสร้างปัญหา บอกว่าวันนี้พวกเขาต้องพบเธอให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะบุกเข้าไปพังตลาดซะ
หลินม่ายขมวดคิ้ว ก่อนจะยืนกรานกับจ้าวเลี่ยงว่าเธอจะไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด
ตราบใดที่พนักงานเก่าพวกนั้นกล้าบุกเข้าไปพังตลาด ก็ให้จับตัวพวกเขาทั้งหมดส่งไปที่สถานีตำรวจเสีย แล้วให้พวกเขาชดเชยค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ละเว้นไม่ได้ไม่แต่เฟินเดียว
อดีตพนักงานพวกนั้นต้องการอะไรจากเธองั้นหรือ? อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเจ้าของคนใหม่ของตลาดสดที่พวกเขาเคยทำงานให้ไปจ้างคนอื่น พอไม่ได้รับผลประโยชน์ก็เลยหวังจะเรียกร้องเอาจากเธอ
คนพวกนี้คุ้นเคยกับการอาละวาดสร้างปัญหา คิดจะเล่นกับศักดิ์ศรีของเธองั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!
ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากหลินม่ายวางสาย เหรินเป่าจูก็โทรเข้ามา
หล่อนพูดด้วยความกระวนกระวายว่าฉิวลี่หวาเจ้าของตึกที่พวกเธอเช่าเป็นร้านค้าส่งเสื้อผ้าบนถนนฮั่นเจิ้งต้องการฉีกสัญญา และขอให้พวกเขาย้ายออกไปภายในวันนี้ เพราะหล่อนจะยึดหน้าร้านคืน
หลินม่ายถามกลับ “คุณบอกหล่อนหรือยัง ว่าถ้าหล่อนเป็นฝ่ายผิดสัญญา หล่อนต้องจ่ายค่าชดเชยให้เราห้าหมื่นหยวน?”
“ฉันบอกแล้วค่ะ แต่เจ๊แซ่ฉิวก็ยังยืนยันจะให้เราย้ายออกไปให้ได้”
เหรินเป่าจูพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “พี่จวี่ผู้จัดการร้านค้าส่งบอกฉันว่า ฉิวลี่หวามักหาเวลาว่างแวะเวียนมาดูร้านของพวกเราบ่อย ๆ ต้องเป็นเพราะกิจการร้านเราดีแน่ ๆ หล่อนก็เลยจงใจผิดสัญญาเช่า ความจริงแล้วหล่อนคงอยากบีบให้พวกเราจ่ายค่าเช่าแพงกว่าเดิมมากกว่า ซึ่งมันเกินไป!”
หลินม่ายบอกว่า “ขนาดคุณยังมองออกเลยว่าหล่อนมีเจตนาแอบแฝงในการผิดสัญญาเช่า หล่อนก็แค่บีบบังคับพวกเราเพื่อที่ตัวเองจะได้ขึ้นค่าเช่าอย่างไร้ข้อกังขา เรื่องนี้จัดการง่ายนิดเดียว เราก็ตอบตกลงยกเลิกสัญญากับหล่อนไปซะ รอให้หล่อนจ่ายค่าชดเชยมาครบห้าหมื่น แล้วเราจะย้ายออกภายในสองชั่วโมง”
เหรินเป่าจูถึงกับตกตะลึง “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว หลังวันปีใหม่ก็เข้าสู่เดือนสิบสองทางจันทรคติ ซึ่งเป็นโอกาสทองแห่งปีสำหรับธุรกิจเสื้อผ้า ถ้าเรายอมรับการผิดสัญญาเช่าของเจ้าของตึกตั้งแต่ตอนนี้ รายได้ที่เราสูญเสียไปในหนึ่งวันมากกว่าห้าหมื่นหยวนซะอีก คุณหลิน คุณจะเก็บเมล็ดงาแต่ยอมเสียแตงโมด้วยเงินแค่ห้าหมื่นหยวนจริง ๆ เหรอคะ?”
หลินม่ายเหยียดยิ้ม “คุณคิดเหรอว่าฉิวลี่หวาจะหาเงินตั้งห้าหมื่นหยวนมาจ่ายค่าชดเชยให้เราได้? ถ้าหล่อนหามาจ่ายไม่ได้ เราก็ไม่ต้องย้ายออกไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าหล่อนหาเงินมาจ่ายได้จริง ๆ ล่ะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยอมให้หล่อนผิดสัญญาเช่าเถอะ พอได้รับเงินชดเชยแล้ว เราถึงจะยอมให้หล่อนขึ้นราคาค่าเช่าตามที่ต้องการ แล้วเราก็เอาเงินค่าชดเชยที่ได้มาไปจ่ายค่าเช่าที่แพงขึ้นให้หล่อนซะ ขนแกะขึ้นบนตัวแกะ ฝ่ายเราไม่มีอะไรจะเสีย คุณไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย ตอนแรกที่ฉันยืนยันว่าจะระบุค่าชดเชยที่ต้องชำระเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาไว้ที่ห้าหมื่นหยวน ก็เพราะคิดไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องเกิดขึ้น”
เหรินเป่าจูรู้สึกทึ่งกับวิธีการแก้ปัญหาที่อีกฝ่ายเสนอ
หล่อนพยักหน้าทั้งที่ตัวเองอยู่ปลายสาย “ได้ค่ะ ฉันจะทำตามที่คุณบอก”
ก่อนกินอาหารมื้อกลางวัน เหรินเป่าจูก็โทรกลับมาอีกครั้ง รายงานความคืบหน้าให้หลินม่ายฟังด้วยเสียงระรื่น
หล่อนบอกฉิวลี่หวาว่า ถ้าหล่อนต้องการให้พวกเธอย้ายออกก็ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญาให้ได้ก่อน หลังจากนั้นพวกเธอถึงจะยอมย้ายออก
“น่าเสียดายที่คุณไม่เห็น ยายป้าเจ้าของตึกทำหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ยินฉันพูดแบบนั้น หล่อนคงไม่คิดมาก่อนว่าพวกเราจะยอมย้ายออกไปง่าย ๆ คงคิดว่าถ้าตัวเองขับไล่เราออกไป เราต้องร้องไห้อย่างน่าสังเวชและร้องขอความเมตตาจากหล่อนล่ะมั้ง” เหรินเป่าจูพูดประชดประชันผ่านทางโทรศัพท์
หลินม่ายแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าของตึกคงมั่นใจว่าธุรกิจเราดี ค้าขายล่าช้าไม่ได้แม้แต่วันเดียว ไม่อย่างนั้นคงขาดทุนย่อยยับ นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่หล่อนแสร้งทำเป็นผิดสัญญา เพื่อกดดันให้เราเสนอจ่ายค่าเช่าที่สูงขึ้น พอดีว่าฉันไม่คิดจะง้ออย่างที่หล่อนต้องการ ย้ายออกก็ย้ายออก แต่หล่อนต้องจ่ายค่าชดเชยให้เราด้วย!”
“หัวหน้าหลินยังคาดเดาทุกอย่างได้แม่นยำตามเคย หล่อนไม่สามารถหาเงินจำนวนมากมาจ่ายค่าชดเชยได้จริง ๆ ฮ่าฮ่า!” ว่าแล้วเหรินเป่าจูก็ระเบิดหัวเราะด้วยความสะใจ
ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขด้วยมันสมองอันปราดเปรื่องของหลินม่าย
ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องงีบหลับอีกต่อไป
หลังมื้ออาหารกลางวัน หลินม่ายออกไปที่ธนาคาร ขอถอนเงินจำนวนห้าหมื่นหยวน จากนั้นก็ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง
ก่อนหน้านี้เธอเคยให้สัญญากับผู้จัดการข่งของห้างเจียงเฉิง ว่าจะคืนเงินห้าหมื่นหยวนซึ่งเป็นค่าชดเชยเมื่อเขาสั่งถอนร้านเสื้อผ้า Unique ของเธอออกจากห้างสรรพสินค้าในตอนนั้น
แต่เพราะเธอยุ่งมากกับงานและการเรียน แถมยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ถ้าไม่ใช่เพราะฉิวลี่หวาคิดจะฉีกสัญญาเช่าในวันนี้ เกรงว่าเธอคงจำมันไม่ได้แล้ว
แต่ทำไมผู้จัดการข่งถึงไม่ยอมมาทวงเงินสักแอะ หรือว่าเขาเองก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน?
เงินห้าหมื่นหยวนนั้นเกี่ยวพันกับอนาคตทางอาชีพของเขาเหมือนกัน
ถ้าเขาไม่สามารถทวงเงินห้าหมื่นหยวนที่เคยจ่ายเป็นค่าชดเชยให้กับเธอคืนมาได้ เขาจะถูกลดตำแหน่ง
ผู้จัดการข่งไม่เคยลืมเงินค่าชดเชยจำนวนห้าหมื่นหยวนนั้นเลยสักวัน
แต่เพราะหลินม่ายสัญญาว่าจะคืนเงินค่าชดเชยห้าหมื่นหยวนให้เขาภายในสามเดือน
ระหว่างนั้นเขาใช้ชีวิตในแต่ละวันนานเหมือนหนึ่งปี ทันทีที่ครบสามเดือน เขาก็รอให้หลินม่ายเป็นฝ่ายริเริ่มเอาเงินห้าหมื่นหยวนมาคืนให้เขาก่อน
แต่หลินม่ายกลับไม่ตอบสนองใด ๆ เขาจึงได้แต่รอแล้วรอเล่าโดยที่ไม่กล้าทวงถาม
ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วของหลินม่ายได้นำผลกำไรจำนวนมหาศาลเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
ถึงหลินม่ายจะไม่ใช่เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งผู้ยิ่งใหญ่ แต่เธอก็เป็นเทพเจ้าน้อยแห่งความมั่งคั่งอยู่ดี ใครจะกล้าทำให้เธอได้รับความขุ่นเคืองกัน!
ผู้จัดการข่งกลัวว่าถ้าเขาเป็นฝ่ายทวงถามเงินค่าชดเชย อาจเป็นการสร้างความรำคาญให้กับหลินม่าย แล้วถ้าเธอถอนร้านค้าตัวเองออกไปจากห้าง เขานั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน
สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากในอดีต
ต่อให้หลินม่ายถอนร้านค้าตัวเองออกจาห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง ร้านของเธอก็ไม่ได้รับผลกระทบมากมายนัก
ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงก็มีร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเหมือนกัน
ถึงห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงจะไม่มีร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วแล้ว แต่ลูกค้าก็สามารถไปที่ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเพื่อเลือกซื้อได้ เพราะทั้งสองแห่งอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว
ดังนั้นถ้าร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่วถูกถอนออกจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง ฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ก็คือทางห้างเอง
ผู้จัดการข่งวิตกกังวลมาก เขาไม่กล้าทวงถามก็จริง แต่ลึก ๆ แล้วเขาอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาให้สัญญากับผู้บังคับบัญชาว่าจะรีบทวงเงินค่าชดเชยจำนวนห้าหมื่นหยวนให้ได้ก่อนวันขึ้นปีใหม่ แต่ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงเส้นตายแล้ว เขากลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
ในขณะที่เขากระวนกระวายเหมือนมดไต่บนกระทะร้อน ทันใดนั้นหลินม่ายก็มาขอพบพร้อมกับเงินค่าชดเชยจำนวนห้าหมื่นหยวน ซึ่งทำให้เขาดีใจมาก
หลินม่ายวางเงินไว้บนโต๊ะของเขาพลางพูดว่า “ผู้จัดการข่งคะ ฉันคิดว่าคุณคงรู้ว่าเงินค่าชดเชยนี้เป็นสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ แต่ฉันเลือกที่จะรักษาคำพูดและยินดีคืนให้คุณ เพราะกลัวว่าคุณจะอธิบายให้ผู้บังคับบัญชาฟังไม่ได้ ฉันยอมถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อช่วยเหลือคุณก็จริง แต่ฉันไม่อยากได้รับคำขอบคุณใด ๆ ขอแค่คุณไม่พยายามสวมรองเท้าคู่เล็กให้ฉันเหมือนก่อนหน้านี้ก็พอ”
ผู้จัดการข่งพยักหน้าแล้วตอบกลับ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นความผิดของผมเอง ขอบคุณความเอื้อเฟื้อจากคุณมาก ๆ เลยครับ”
หลินม่ายไม่อยู่พูดคุยอะไรกับเขาอีก เธอหันหลังกลับและขอตัวจากไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เดาว่าคนที่มาพ่นสีใส่นั่นน่าจะเป็นยัยอู๋เสี่ยวเถาไม่ก็นังหลินเพ่ยที่กลับชาติมาเกิดอะ ยัยสองคนนี้มันคิดอะไรดีๆ กันไม่เป็นหรอก
คิดจะตุกติกม่ายจื่อล่ะสิป้า หารู้ไม่ว่าเขาดักทางไว้หมดแล้วในวันเซ็นสัญญา
ไหหม่า(海馬)