ฮูหยินสองออกมาจากลานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ โคมไฟทุกที่ก็ถูกจุดไฟหมดแล้ว
นางยิ้มมุมปาก เดินช้าลงแล้วค่อยๆ เดินออกมาจากสวนดอกไม้
ในซอยกำแพงดอกไม้ มีสาวใช้น้อยสองสามคนแอบเตะลูกขนไก่อยู่ที่นั่น
สาวใช้น้อยสวมที่คาดผมสีแดงและสวมเสื้ออ่าวสีเขียว หัวเราะกันอย่างมีความสุข
ฮูหยินสองอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นเช่นนี้นางก็ยิ้ม
มีสาวใช้ที่รูปร่างสูงพาสาวใช้น้อยเดินเข้ามา
เมื่อเห็นฮูหยินสองและเจี๋ยเซียง พวกนางก็รีบย่อเข่าคำนับ
ฮูหยินสองคุ้นหน้านาง แล้วก็เห็นปิ่นปักผมสีทองบนหัวของนาง รู้ว่านางคือสาวใช้ที่มีหน้ามีตาในจวน ฮูหยินสองพยักหน้าแล้วถามนาง “เจ้าเป็นสาวของใช้เรือนใด”
สาวใช้คนนั้นตอบอย่างนอบน้อม “เรียนฮูหยินสองเจ้าค่ะ บ่าวมีนามว่าเซียงจู๋ เป็นสาวใช้ของคุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ”
พรุ่งนี้สวีซื่ออวี้ต้องไปส่งเจ้าสาวออกเรือน นางไม่ช่วยเขาเก็บข้าวของที่เรือน แต่กลับมาทำอะไรที่นี่
ฮูหยินสองฉงนใจ สีหน้าของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้ากำลังจะไปทำอะไร”
เซียงจู๋ก้มหน้าก้มตา “เรียนฮูหยินสอง คุณชายสองบอกให้บ่าวไปขอน้ำมันดอกคำฝอยที่พี่จู๋เซียงสาวใช้ของฮูหยินสี่เจ้าค่ะ ได้ยินว่าพี่จู๋เซียงพาฮูหยินสี่มาหาคุณหนูใหญ่ บ่าวจึงมาหาพี่จู๋เซียงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็สงสัย เอ่ยถาม “คุณชายน้อยสองอยากได้น้ำมันดอกคำฝอยไปทำไม”
เซียงจู๋ตอบกลับเสียงเบา “คุณชายน้อยสองบอกว่า ครั้งนี้มีคนไปด้วยกันเยอะ ต้องนำพวกหกเหล็ง ยาเม็ดเสวี่ยจินและน้ำมันดอกคำฝอยไปด้วย น้ำมันดอกคำฝอยในเรือนของคุณชายน้อยสองใช้ไปหมดแล้ว จึงอยากมาขอที่ฮูหยินสี่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงพึ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ตอนใกล้จะออกเดินทางเช่นนี้! เหวินจู๋เล่า ช่วงนี้นางทำอะไร”
เซียงจู๋ได้ยินน้ำเสียงที่เป็นกังวลของฮูหยินสอง ก็รีบพูด “ช่วงนี้พี่เหวินจู๋ช่วยคุณชายน้อยสองเขียนรายชื่อบ่าวรับใช้ที่จะติดตามไปส่งเจ้าสาวออกเรือนที่ซังโจว เมื่อครู่ตรวจดูข้าวของในหีบถึงได้รู้เจ้าค่ะ!”
คำตอบของนางทำให้ฮูหยินสองสงสัยอีกครั้ง “เขียนรายชื่อบ่าวรับใช้ที่จะติดตามไปส่งเจ้าสาวออกเรือนที่ซังโจว? เรื่องพวกนี้บอกให้บ่าวรับใช้ที่ฝ่ายรายงานเป็นคนจัดการก็ได้ เหตุใดนางไม่จัดการหีบของคุณชายน้อยสองแต่กลับมาจัดการเรื่องพวกนี้”
เซียงจู๋เอ่ยตอบ “คุณชายน้อยสองเป็นคนบอกเจ้าค่ะ คุณชายน้อยสองยังห้ามไม่ให้พี่เหวินจู๋บอกใคร จะให้สาวใช้และป้ารับใช้คนไหนทำอะไรบ้าง สาวใช้คนไหนทำอะไรกับป้ารับใช้คนไหน ป้ารับใช้คนไหนทำอะไรกับสาวใช้คนไหน ต้องเขียนให้ชัดเจนเจ้าค่ะ สกุลเซ่าเป็นสกุลใหญ่สกุลโต พวกเขามีคนรับตัวเจ้าสาว เราก็มีคนส่งตัวเจ้าสาว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น คนที่เป็นหัวหน้าส่งเจ้าสาวออกเรือนอย่างเขาไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ไปถามบรรดาผู้ดูแล จะทำให้คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปบอกเจี๋ยเซียง “เจ้าพาเซียงจู๋ไปหาคุณหนูใหญ่เถิด เกรงว่าตอนนี้ฮูหยินสี่คงกำลังคุยกับคุณหนูใหญ่ พยายามอย่าทำให้ฮูหยินสี่ตกใจ!”
เจี๋ยเซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
ฮูหยินสองพาสาวใช้น้อยไปที่เรือนของไท่ฮูหยินด้วยท่าทีที่ครุ่นคิด
จิ่นเกอตื่นแล้ว กำลังนั่งทานขนมซูปิ่งอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็อยู่ด้วย คนหนึ่งกำลังทานขนมซูปิ่งกับจิ่นเกอ อีกคนหนึ่งกำลังเล่าเรื่องที่ตัวเองไปขี่ม้ากับสวีลิ่งอี๋ด้วยความตื่นเต้น “…ข้าทำตามที่อาจารย์สอน ถือสายบังเหียนแน่น นั่งอยู่บนหลังม้า…ม้าก็กระโดดออกไปทันทีขอรับ…”
ไท่ฮูหยินที่เป็นกังวลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ต่อไปจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าต้องตั้งใจฟังอาจารย์ เขาวิ่งออกไปแล้ว เจ้าค่อยวิ่งตาม อย่าทำให้ย่าตกใจ”
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วขยับเข้าไปดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยิน “ข้าไม่ได้ก่อเรื่องอันใด ข้างๆ ยังมีคนคอยคุ้มกันอยู่ตั้งเจ็ดแปดคน!”
ในขณะที่เขากำลังพูด จิ่นเกอก็ตะโกนเรียกฮูหยินสองว่า “ท่านป้าสอง” เขานั่งตรงข้ามกับประตู จึงเห็นฮูหยินสองเดินเข้ามาเป็นคนแรก
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพยักหน้าให้จิ่นเกอ ไท่ฮูหยินจึงบอกจื่อหง “ทุกคนมากันแล้ว บอกให้โรงครัวจัดอาหารเถิด!”
จื่อหงยิ้มแล้วเดินออกไป
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้นที่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบเดินเข้ามาโค้งคำนับฮูหยินสอง
ฮูหยินสองมองดูสวีซื่อจุนที่มีท่าทีไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงนึกถึงสีหน้าที่สุขุมของสวีซื่ออวื้ขึ้นมา…
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้ผู้ดูแลจ้าวจะไปส่งตัวเจ้าสาวกับเจ้าที่ประตูเมืองเยี่ยนจิงแล้วค่อยกลับมาใช่หรือไม่”
สวีซื่อจุนพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านป้าสองไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าไปกับผู้ดูแลจ้าวและผู้คุ้มกัน พวกเขาต้องปกป้องข้าเป็นอย่างดีแน่นอน!”
ไม่ต่างอะไรจากคำตอบทั่วไป ใช่ว่าตนไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสวีซื่ออวี้โตกว่าสวีซื่อจุนแค่ไม่กี่ปี แต่เขากลับมีความเป็นพี่ชายแล้ว แต่สวีซื่อจุนนั้นยังออดอ้อนไท่ฮูหยินเหมือนเด็กน้อยอยู่เลย!
คิดเช่นนี้ ฮูหยินสองจึงมองสวีซื่อจุนด้วยสายตาที่เคร่งขรึม
*****
ฤกษ์งามยามดีออกเรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์คือยามเฉิน
ยามเหม่า จู๋เซียงก็มาเรียกพวกนางทั้งสองคนตื่นนอน
เจินเจี่ยเอ๋อร์นึกถึงเรื่องที่สืออีเหนียงพูดกับตัวเองเมื่อคืน ก็หน้าแดงก่ำราวกับถูกไฟเผาก็ไม่ปาน จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่สืออีเหนียงบอกนางว่า แต่งงานออกไปแล้วควรกตัญญูต่อแม่สามีเช่นไร เอาใจใส่สามีตัวเองเช่นไร ปรองดองกับบรรดาลูกสะใภ้อย่างไร นางก็ก้มหน้าแล้วครุ่นคิด
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็โล่งใจ
ในที่สุดก็ผ่านด่านนี้ไปได้ด้วยดี
ตนพูดชัดเจนแล้วขนาดนี้แล้ว แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร ถามอะไรนาง นางก็ไม่ตอบ เลยไม่รู้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจแล้วหรือยัง แต่เซ่าจ้งหรานคงจะเคยได้รับการสั่งสอนเรื่องพวกนี้มาบ้างแล้ว ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ พวกเขาสองคนน่าจะไม่ก่อเรื่องอันใดที่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ!
สะใภ้หนานหย่งคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ทันทีที่เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ตื่นแล้ว นางก็นำหวีมาหวีผมให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ ล้างหน้าล้างตาแต่งตัว ยุ่งวุ่นวายจนถึงยามเฉิน จากนั้นเสลี่ยงของสกุลเซ่าก็มาถึง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ใกล้ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว คุณนายสามสกุลหวงรีบเชิญสืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงไปที่ห้องโถง จากนั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่สวมผ้าคลุมหัวสีแดงและชุดแต่งงานสีแดงก็เดินออกมา
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ เหวินอี๋เหนียงยืนอยู่ข้างหลังสืออีเหนียง
คู่บ่าวสาวมาอำลาบิดาและมารดา
เซ่าจ้งหรานที่นิสัยร่าเริงสวมชุดแต่งงานสีแดง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจเหมือนเจ้าบ่าวทั่วไป แต่กลับดูหล่อเหลา ทำเอาญาติผู้หญิงที่อยู่ในห้องโถงต่างพากันเอ่ยปากชื่นชม สีหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
เมื่อสวีลิ่งอี๋พูดว่า “แต่งงานออกไปแล้ว ต้องทำตามกฎเกณฑ์ เคารพสามีตัวเอง” สืออีเหนียงก็พูดต่อประโยคว่า “เคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่สามี” เหวินอี๋เหนียงพูดว่า “เชื่อฟังคำสั่งสอนของแม่สามี อย่าทำให้ครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง” จากนั้นเสียงไม้ไผ่ก็ดังขึ้น คุณนายสามสกุลหวงประคองเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินออกไป…
เหวินอี๋เหนียงพลันน้ำตาคลอเบ้า
*****
ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปแล้วก็มาถึงวันเกิดของจิ่นเกอ
ช่วงเช้า สืออีเหนียงทำบะหมี่อายุยืนให้คนในจวนด้วยตัวเอง ถือว่าฉลองวันเกิดอายุสามขวบของจิ่นเกอ อีกสิบวันต่อมา คนที่ไปส่งตัวเจ้าสาวก็กลับมา สวีซื่ออวี้เล่าเหตุการณ์ระหว่างทางและพิธีแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ฟัง รู้ว่าพวกเขาเดินทางปลอดภัย นับว่างานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์ราบรื่นไปได้ด้วยดี ไท่ฮูหยินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่รู้ว่าต่อไปจะได้เจอนางอีกเมื่อไร!” ยังพูดไม่ทันจบประโยค น้ำตาก็รื้นขอบตา
สืออีเหนียงนึกถึงความเศร้าโศกของไท่ฮูหยินในวันที่เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงาน ก็รีบเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน “เดินทางไปเมืองซังโจวใช้เวลาแค่สามสี่วัน หากท่านคิดถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก็เขียนจดหมายบอกให้นางกลับมาเที่ยวที่จวนสักสองสามวันก็ได้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางพูดกับสืออีเหนียง “นางแต่งงานออกไปอยู่ไกล อีกหนึ่งเดือนถึงจะกลับสกุลเดิม ข้าคิดว่า ถึงตอนนั้นให้อวี้เกอไปรับนางกลับมาเถิด!” ไท่ฮูหยินพูดอย่างจริงจัง
สวีซื่ออวี้ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าจะกลับไปเล่ออานแล้วขอรับ ข้าคิดว่า ให้พี่ใหญ่ไปรับน้องหญิงใหญ่กลับสกุลเดิมดีกว่า อาจารย์เจียงบอกให้ข้าเข้าสอบระดับราชสำนักในปีหน้า แล้วยังบอกว่าการเรียนของข้าล่าช้าไปมาก บอกให้ข้าฉลองปีใหม่ที่เล่ออานขอรับ!”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!” ไท่ฮูหยินเอ่ยคัดค้านทันที “จะให้เจ้าฉลองปีใหม่ที่อื่นได้อย่างไร”
สวีซื่ออวี้ไม่เหมือนสวีซื่อจุน สวีซื่ออวี้นั้นไม่มีเวลาแล้ว หากเขาไม่รีบสอบให้ผ่านระดับราชสำนักเขาก็จะไม่มีชื่อเสียง เมื่อไร้ซึ่งเกียรติยศ ไม่ว่าจะเป็นอนาคตหรือว่าแต่งภรรยา ล้วนแต่เป็นปัญหาใหญ่ เรื่องนี้คือเรื่องสำคัญ ถ้ามัวแต่พัวพันอยู่กับเรื่องพวกนี้ ก็จะเป็นการเสียเวลา
ฮูหยินสองไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร นางเเค่ยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินห้าจึงยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “อนาคตของอวี้เกอคือเรื่องใหญ่ เขาทำเพื่อชื่อเสียงของสกุลเถิด!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้นางก็ไม่คัดค้านอีกต่อไป แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ บอกให้สืออีเหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อน “เจ้าบอกคุณชายสี่ บอกเขาว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้อวี้เกอฉลองปีใหม่ข้างนอก!”
สืออีเหนียงพูดโน้มน้าวไท่ฮูหยิน “อวี้เกอโตแล้ว แม้แต่เจี่ยนเกอที่เป็นน้องชายยังแต่งงานแล้ว เรื่องแต่งงานของเขาก็ไม่ควรล่าช้าเจ้าค่ะ!” พูดต่อไปว่า “ท่านโหวตั้งใจวางแผนอนาคตของอวี้เกอ หากเขามีชื่อเสี่ยงเกียรติยศเร็วๆ ก็จะได้แต่งงานเร็วๆ ท่านก็จะได้อุ้มเหลนเร็วๆ!”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ ในที่สุดนางก็ยอมให้อวี้เกอกลับเล่ออาน แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าใกล้จะฤดูหนาวแล้ว ก็สงสารสวีซื่ออวี้ที่ต้องออกเดินทางท่ามกลางความหนาวเย็น ปีใหม่ก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัว นางจึงมอบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้เขา “…อยากทานอะไร อยากสวมใส่อะไร หรือว่าอยากได้พู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก เจ้าก็ซื้อเองเถิด!”
สวีซื่ออวี้เอ่ยขอบพระคุณไท่ฮูหยิน พอเดินออกมาก็เจอเข้ากับเจี๋ยเซียง “ฮูหยินสองเชิญคุณชายน้อยสองไปหาเจ้าค่ะ บอกว่ามีของจะให้ท่าน!”
สวีซื่ออวี้รีบไปที่เรือนของฮูหยินสองทันที
ฮูหยินสองมอบชุดข้อสอบเก่าสองสามชุดให้สวีซื่ออวี้ “ถึงแม้ว่าจะเร็วไป แต่เจ้าสามารถอ่านข้อสอบพวกนี้ได้ มันมีประโยชน์ต่อเจ้าแน่นอน”
สำหรับสวีซื่ออวี้แล้ว นี่สำคัญมากกว่าเงินทองเสียอีก
เขารับมาอย่างระมัดระวัง
กลับไปก็ได้รับเสื้อผ้าฤดูหนาวที่สืออีเหนียงให้คนนำมาให้
“ฮูหยินสี่บอกว่า ยอมลำบากถึงจะประสบความสำเร็จและกลายเป็นที่เคารพของทุกคน บอกให้ท่านตั้งใจเรียนที่เล่ออาน สอบผ่านระดับราชสำนักในปีหน้าอย่างราบรื่นเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้ไปขอบพระคุณสืออีเหนียง เลือกฤกษ์งามยามดีออกเดินทางไปเล่ออานในวันที่ยี่สิบสี่เดือนสิบ
เมื่อถึงเดือนสิบเอ็ด ไท่ฮูหยินก็ส่งสวีซื่อฉินไปรับเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับสกุลเดิม
ท่าทีที่สุขุมของเจินเจี่ยเอ๋อร์มีความสดใสมากขึ้น
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ถามไถ่สถานการณ์หลังแต่งงานของนาง
เมื่อรู้ว่านายหญิงเซ่าดีกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางพึ่งจะแต่งงานเข้าไปก็ให้นางช่วยดูแลเรื่องในจวนแล้ว อีกทั้งคนในสกุลเซ่าคนอื่นล้วนให้ความสำคัญกับนาง ที่จวนมีงานเลี้ยงอะไรก็ต้องมาบอกนาง ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และสามีก็เคยพาบุตรสาวมาเยี่ยมเยียนนาง ไท่ฮูหยินจึงพยักหน้าเบาๆ
สกุลโอวหยางและสกุลเซ่าแลกหนังสือบันทึกวันเดือนปีเกิดเมื่อปลายเดือนสิบ ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะไม่กังวลท่าทีของสกุลเซ่า แต่นางกลับกลัวว่านายหญิงสกุลเซ่าจะใช้บุตรสาวของสกุลโอวหยางมาข่มเจินเจี่ยเอ๋อร์เพื่อความสมดุลของทั้งสองฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องรับใช้แม่สามีของเจ้าให้ดี”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ “ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่มีทางทำให้สกุลสวีเสียชื่อเสียงแน่นอน!”
ไท่ฮูหยินยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปมองหน้าสืออีเหนียง ทำให้สืออีเหนียงแปลกใจ