ตอนที่ 572 แม่ลูกพบกัน
เทศกาลงานกาล่าประกาศรางวัลไก่ทองคำออกอากาศตรงเวลาในวันปีใหม่ ดึงดูดผู้คนมากมายให้สนใจรับชม
เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ออกแบบโดยเถาจืออวิ๋น หลินม่าย และเหมิงตานสำหรับนักแสดงหญิงที่เข้าร่วมงาน เรียกได้ว่าเฉิดฉายที่สุดในเทศกาลงานกาล่าประกาศรางวัลไก่ทองคำ
หลังจากนั้นก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่หญิงสาวหลายคนต่างพูดถึงหลังมื้ออาหาร
งานเลี้ยงอาหารค่ำในเทศกาลประกาศรางวัลไก่ทองคำนี้ ไม่เพียงทำให้แบรนด์เสื้อผ้าจิ่นซิ่วกลายเป็นแบรนด์เสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ภายในชั่วข้ามคืน แต่ยังประสบความสำเร็จในการส่งเสริมให้แบรนด์ไป๋เหอกลายเป็นแบรนด์เครื่องประดับชั้นนำ
ยอดขายของผลิตภัณฑ์ทั้งสองประเภททะลุเป้าอีกครั้งหลังเทศกาลกาล่า ทำให้หลินม่ายมีความสุขมาก
ช่วงเย็นของวันปีใหม่ ทั้งครอบครัวนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดเทศกาลงานกาล่าประกาศรางวัลไก่ทองคำ ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยไปช้อปปิ้งกับหนิวลี่ลี่
หนิวลี่ลี่เลือกเสื้อโค้ตตัวยาวสีม่วงจากร้านเสื้อผ้าจิ่นซิ่ว
เธอลองสวมเสื้อโค้ตยาวตัวนั้นดู จากนั้นก็หันไปทางหน้ากระจกแบบเต็มตัว แล้วถามฟางจั๋วเยวี่ยผ่านกระจกตรงหน้า “ดูดีไหม?”
“ดูดี” ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้า
หนิวลี่ลี่สังเกตว่าเขาตอบกลับโดยที่ไม่ได้สนใจมองหล่อนด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่สนใจ
พอถอดเสื้อโค้ตตัวนั้นออกแล้วก็ส่งให้พนักงานขายรับไปพับใส่ถุง เตรียมจ่ายเงินซื้อ
ฟางจั๋วเยวี่ยรั้งแขนเสื้อของหล่อนไว้ก่อน “เลือกเสื้อผ้าที่คุณชอบเลย เดี๋ยวผมค่อยไปขอให้พี่สะใภ้ลงบิลให้ทีหลังก็ได้”
หนิวลี่ลี่ปัดมือเขาออก “ใช่ว่าฉันไม่มีปัญญาจ่ายซะหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจ่ายเอง” ฟางจั๋วเยวี่ยชิงเดินนำหน้าไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน
เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกจากร้านไปพร้อมกับหนิวลี่ลี่ที่ถือถุงกระดาษใส่เสื้อโค้ตไว้
พวกเขาเผอิญพบกับหวังเหวินฟางเข้า
หวังเหวินฟางกับฟางเว่ยกั๋วหย่าร้างกันมานานแล้ว แต่รูปลักษณ์ของหล่อนยังคงสวยสง่าเช่นปกติ วันนี้หล่อนแต่งตัวดี เดินเคียงข้างมากับชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนทำอาชีพเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการ
สองแม่ลูกมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นานนักสายตาของหวังเหวินฟางก็จับจ้องไปที่หนิวลี่ลี่
หล่อนแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า ถามฟางจั๋วเยวี่ย “แฟนลูกเหรอ?”
ยังไม่ทันที่ฟางจั๋วเยวี่ยจะตอบกลับ เขาก็เหลือบไปเห็นเถาจืออวิ๋นที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงแบบเดียวกันกับที่ฟางจั๋วเยวี่ยเพิ่งจะซื้อให้หนิวลี่ลี่เมื่อกี้นี้ จูงฉีฉีไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เดินพูดคุยกันไปหัวเราะกันไปกับพ่อเถาและแม่เถา
ฉีฉีมองเห็นเขาเหมือนกัน รีบชี้มาทางเขาทันที “อาจั๋วเยวี่ย!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ผละออกจากมือของเถาจืออวิ๋น แล้ววิ่งตรงมาหาเขาพร้อมกับตะโกนคำเดิม “อาจั๋วเยวี่ย!”
ฟางจั๋วเยวี่ยรีบอุ้มเขาขึ้นมา ถามว่า “หนูออกมาซื้อของกับคุณปู่ คุณย่า และคุณแม่ใช่ไหม?”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงัก บอกเขาเสียงเจื้อยแจ้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่เขาประกอบให้มันเจ๋งมาก เพื่อน ๆ ทุกคนต่างก็อิจฉาเขากันหมด
เถาจืออวิ๋นและพ่อแม่ของเธอเดินเข้ามาหา ส่งยิ้มให้พร้อมกับทักทายฟางจั๋วเยวี่ยและหนิวลี่ลี่
หนิวลี่ลี่ลูบเสื้อคลุมสีม่วงที่เถาจืออวิ๋นสวมใส่อยู่ “พี่ดูดีมากเลยค่ะพอสวมเสื้อคลุมตัวนี้!”
เถาจืออวิ๋นยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ไม่ขนาดนั้นหรอก”
สายตาฟางจั๋วเยวี่ยแสดงออกชัดถึงความชื่นชมในขณะที่มองเธอ
พอเห็นแบบนั้น หนิวลี่ลี่ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ตอนแรกเธอคิดว่าฟางจั๋วเยวี่ยดูเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมอย่างเสื้อผ้าที่ผู้หญิงสวมใส่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อกี้นี้หล่อนถึงไม่ถือสาเขา
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอีกสองสามคำ ก่อนเถาจืออวิ๋นจะดึงฉีฉีเข้าไปกอด แล้วตอบกลับอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถอะ ปล่อยให้อาจั๋วเยวี่ยได้ใช้เวลาส่วนตัวกับอาหนิว”
พูดจบก็พาพ่อเถาและแม่เถาเดินจากไป
หลังจากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยถึงได้หันกลับมาตอบคำถามของหวังเหวินฟางด้วยสีหน้าเย็นชา “ใช่” แล้วจูงมือหนิวลี่ลี่ตั้งท่าจะเดินออกไป
หวังเหวินฟางก้าวออกไปขวางทางพวกเขาเสียก่อน “พบหน้าโดยบังเอิญดีกว่าเลือกวัน ในเมื่อเราพบกันแล้ว งั้นก็ไปกินอาหารร่วมกันสักมื้อสิ”
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับอย่างเย็นชา “ผมกินแล้ว”
“งั้นก็ไปร้านกาแฟแล้วจิบกาแฟสักถ้วยก็แล้วกัน”
หวังเหวินฟางหันกลับไปบอกลาชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพาฟางจั๋วเยวี่ยกับหนิวลี่ลี่ไปที่ร้านกาแฟ หลังจากได้โต๊ะแล้วก็เริ่มการสอบสวนที่มาที่ไป
ไม่นานนักหล่อนก็รู้เกี่ยวกับภูมิหลังและเรื่องส่วนตัวของหนิวลี่ลี่จากปากเจ้าตัว
หนิวลี่ลี่เกิดในครอบครัวของนายทหารฝ่ายเสนาธิการ คุณปู่ของหล่อนเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานพาณิชย์ประจำเจียงเฉิง แถมตัวหล่อนยังประกอบอาชีพที่มีเกียรติอย่างการเป็นนักข่าว
หลังจากสอบถามทุกอย่างที่ควรจะรู้แล้ว หวังเหวินฟางก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋า
จากนั้นก็ดึงธนบัตรออกมาสิบใบ แล้วมอบให้หนิวลี่ลี่ “เพราะเราสองคนพบกันครั้งแรก จึงไม่ทันได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ นี่เป็นเงินแค่เล็กน้อยเท่านั้น หวังว่าเธอจะไม่รังเกียจ!”
หนิวลี่ลี่รีบโบกมือแสดงการปฏิเสธ
หวังเหวินฟางพูดเชิงบังคับ “เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ยอมรับของขวัญจากผู้อาวุโสได้ยังไง?”
พออีกฝ่ายอ้างเหตุผลนี้ หนิวลี่ลี่จึงจำใจต้องยอมรับมัน
หวังเหวินฟางยืนขึ้น ส่งยิ้มให้พร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่อยู่เป็นก้างขวางคอเธอสองคนอีกต่อไปแล้ว พวกเธอใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันต่อเถอะ” หลังจากนั้นหล่อนก็เดินออกจากร้านไป
ขณะนอนอยู่บนเตียงในตอนกลางคืน ฟางจั๋วเยวี่ยเอาแต่นึกถึงรูปร่างเพรียวบางของเถาจืออวิ๋นในเสื้อคลุมสีม่วงตัวนั้นไม่สร่าง พยายามอยู่นานก็ไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้
…
เจิ้งซวี่ตงกังวลว่าตั้งแต่ร้านเปาห่าวซือปรับราคาอาหารให้สูงขึ้น ธุรกิจและยอดขายของร้านอาจจะตกต่ำลง
แต่ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่วันปีใหม่ กิจการกลับไม่เงียบเหงาซึมเซาอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้
ตั้งแต่ร้านสาขาแรกไปจนถึงร้านสาขาใหม่ อัตราการแวะเวียนมาอุดหนุนของลูกค้าสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำ
โดยรวมแล้วไม่ถึงขั้นฮอตฮิตเหมือนเมื่อก่อน แต่ยอดขายก็ยังเป็นไปได้สวย
หัวใจของเจิ้วซวี่ตงแทบจะหล่นกลับลงไปอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง
หลังจากวันขึ้นปีใหม่ ซุนอวิ้นหงก็เริ่มทำการโฆษณาห้องชุดในเขตชุมชนถนนชิงเหนียน
หล่อนลงโฆษณาขนาดใหญ่ในหนังสือพิมพ์ ทั้งยังว่าจ้างให้คนไปแจกใบปลิวเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มากขึ้น ปรากฏว่ามีคนมาดูบ้านหลายคน แต่ยังไม่มีใครตัดสินใจซื้อ
ทางด้านหลินม่าย ถึงแม้หลังปีใหม่เธอไม่ได้เข้าไปที่โรงงานอีกต่อไป แต่เธอก็อ่านหนังสือเรียนอย่างหนักอยู่ที่บ้าน หวังเร่งเครื่องครั้งสุดท้ายเพื่อสอบเทียบข้ามระดับชั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความสนใจกับกิจการต่าง ๆ ของบริษัท
ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ของซุนอวิ้นหง หรือใบปลิวอสังหาริมทรัพย์ที่พิมพ์ออกมา เธอได้เห็นพวกมันทั้งหมดแล้ว
ตอนนั้นเธอถึงกับส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่าโฆษณาและใบปลิวพวกนี้คงสร้างผลกระทบไม่ได้มากนัก
เนื่องจากวิธีการทางการตลาดของซุนอวิ้นหงนั้นค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีอะไรน่าดึงดูด นับประสาอะไรกับความสนใจของผู้คน
เธอต่อสายตรงหาซุนอวิ้นหง สั่งให้ซุนอวิ้นหงจัดหาเฟอร์นิเจอร์เข้าไปตกแต่งห้องชุดแต่ละห้องให้กลายเป็นห้องจำลองโดยด่วน
หลังจากห้องจำลองได้รับการตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยเข้าไปถ่ายทำโฆษณาอย่างเป็นทางการ พยายามสร้างภาพลักษณ์ผ่านโฆษณาให้เห็นถึงความของสมาชิกในครอบครัวที่อาศัยอยู่ในห้องจำลอง จากนั้นก็นำวิดีโอโฆษณาไปขอออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในช่วงวันปีใหม่
พริบตาเดียวผ่านไป อีกสองวันก็จะถึงวันสอบปลายภาคแล้ว
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายไปโรงเรียนโดยสะพายกระเป๋าเป้ไว้ด้านหลัง
เมื่อเธอมาถึงโรงเรียน พบว่าคาบเรียนแรกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน แต่อาจารย์หวังก็นั่งอยู่หน้าห้องเรียนแล้ว กำลังสอนให้นักเรียนอ่านภาษาอังกฤษ
เมื่อเห็นหลินม่าย เขาหันมาพยักหน้าให้เธอครั้งหนึ่ง
หลินม่ายเดินเข้าไปหาเขา แล้วกระซิบว่า “อาจารย์หวังคะ ฉันขอพูดอะไรกับคุณสักครู่ได้ไหม?”
อาจารย์หวังหันไปกำชับกับนักเรียนในห้องสองสามคำ จากนั้นก็เดินตามเธอออกไปจากห้องเรียน หยุดยืนอยู่ตรงทางเดิน
ตอนนี้โถงทางเดินหน้าห้องเรียนไม่มีใครเดินผ่าน เหมาะสำหรับการสนทนาแบบส่วนตัว
หลินม่ายเริ่มบอกความจำนงของตัวเอง “อาจารย์หวังคะ ฉันมาขอทำสอบปลายภาคในภาคเรียนที่หนึ่งของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกค่ะ”
ตราบใดที่เธอสามารถสอบปลายภาคในภาคการศึกษาที่หนึ่งของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกผ่าน เธอก็สามารถสอบเทียบข้ามไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกได้โดยตรง
เรื่องนี้เธอสามารถติดต่อกับรองอาจารย์ใหญ่ได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องบอกครูประจำชั้นก่อน
แต่หลินม่ายรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่แจ้งให้อาจารย์หวังทราบก่อน อาจดูเป็นการข้ามหน้าข้ามตาเขาเกินไป
อาจารย์หวังตะลึงงัน เข้าใจแผนการของหลินม่ายอย่างรวดเร็ว “เธออยากสอบเทียบข้ามระดับชั้นสินะ?”
หลินม่ายพยักหน้า
อาจารย์หวังเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกครั้ง “เตรียมตัวมาพร้อมหรือยัง?”
หลินม่ายพยักหน้าอีกครั้ง
อาจารย์หวังดูเลื่อนลอยเล็กน้อย “ได้ เดี๋ยวครูจะไปคุยเรื่องนี้กับอาจารย์ประจำชั้นมัธยมปีที่หก ให้เขาเตรียมข้อสอบปลายภาคมาให้เธอทำ”
ภายใต้การจัดการของอาจารย์หวัง หลินม่ายจึงสามารถทำข้อสอบปลายภาคของชั้นมัธยมปีที่หกได้อย่างราบรื่น
ส่วนการสอบใหญ่ เช่น ข้อสอบปลายภาคจำลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องใช้เวลาสอบทั้งหมดสามวัน
หลังการสอบทั้งสามวันผ่านพ้นไปแล้ว หลินม่ายรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมาก
ความพยายามอย่างหนักของเธอไม่เสียเปล่า หลังวันขึ้นปีใหม่เธอแทบไม่สละเวลาไปทำอย่างอื่นเลย ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนเพื่อทบทวนโจทย์ ทำให้คุ้นเคยกับข้อสอบเป็นอย่างดี
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จงเชื่อหัวใจของตัวเองเถอะจั๋วเยวี่ย ปล่อยไว้นานเกินไปจะไม่ดีกับทั้งสามคนนะ
หวังมาเกาะว่าที่ลูกสะใภ้ล่ะสิหวังเหวินฟาง ถึงได้ทำหน้าใหญ่ขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)