Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ตอนที่ 396 แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่

ตอนที่ 396 แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่

นับตั้งแต่เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเข้าฉายอย่างเป็นทางการ หลินเยวียนก็ให้ความสนใจกับเสียงตอบรับของภาพยนตร์มาโดยตลอด รวมไปถึงเรื่องที่ชาวเน็ตจำนวนมากจงใจแกล้งคนอื่น เขาเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เพียงแต่หลินเยวียนไม่คิดว่ารอบตัวเขาจะมีตัวอย่างของคนที่ถูกตุ๋นจนเปื่อยให้เห็น

เขาทำได้เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ

วันรุ่งขึ้น หลินหยวนตื่นแต่เช้า อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และทานอาหารตามปกติ จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่บริษัท

เดือนธันวาคมใกล้เข้ามาแล้ว

อากาศเริ่มเย็นลง

คนที่ร่างกายอ่อนแออย่างหลินเยวียนเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะใส่ลองจอนส์ แต่เมื่อคิดว่าฤดูหนาวยังไม่มาถึงอย่างเป็นทางการ เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ถ้าสวมลองจอนส์ตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงฤดูหนาวจะปรับตัวไหวหรือ?

จะให้ใส่ลองจอนส์ทับสองชั้นก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง?

หลินเยวียนทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมทับให้หนาขึ้น และเปลี่ยนไปสวมกางเกงยีนส์บุขน เขาไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นสวมเสื้อผ้าสีเขียวสีแดงออกจากบ้านอย่างไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องศิลปะการจับคู่สีเสื้อผ้า

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในครอบครัวของเขาเมื่อยังเป็นเด็ก

อันที่จริงการแต่งตัวของหลินเยวียนนั้นเรียบง่ายตั้งแต่ยังเด็ก

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรสนิยมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

ต่อให้เป็นคนที่มีรสนิยมหรือมีหน้ามีตาดีแค่ไหน แต่สวมเสื้อผ้าที่ปะชุนหลายครั้งมานานหลายปี สะพายกระเป๋าเป้สีเขียวทหารแต่ใช้มานานหลายปีจนเริ่มกลายเป็นสีขาว ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความมอซอ

หลินเยวียนไม่มีทางเลือก และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน

เพียงแต่ใบหน้าระดับลูกรักพระเจ้าและรูปร่างสูงโปร่งแลดูสง่า จึงข่มความมอซอได้ในระดับหนึ่ง มิหนำซ้ำกลับขับให้โดดเด่นกว่าเดิมด้วย

วันนี้ต่างออกไป

ปัจจุบันนี้หลินเยวียนมีรายได้สูงมาก คุณภาพของเสื้อผ้าจึงสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ความเคยชินในวัยเด็กของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังคงมีทัศนคติว่ามีอะไรก็ใส่อย่างนั้น ไม่เคยจงใจแต่งองค์ทรงเครื่องให้ยุ่งยาก

เดิมทีเป็นเช่นนั้น

แต่เมื่อเขาสวมชุดนี้และเตรียมตัวไปบริษัท หลินเซวียนที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่เพราะตื่นสาย จู่ๆ ก็ร้องเรียกหลินเยวียน

“หยุดอยู่ตรงนั้น”

“มีอะไร”

หลินเยวียนหันไปหาพี่สาวด้วยความสับสน หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมกดโอนเงิน

ทุกครั้งที่พี่สาวคนนี้เรียกให้เขาหยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยทั่วไปแล้วเธอมักจะแบมือขอเงินค่าขนม

แต่ครั้งนี้หลินเซวียนไม่ได้มีเจตนาขอเงิน เพียงแต่มองประเมินหลินเยวียนขึ้นๆ ลงๆ พลางส่งเสียงจุ๊ๆ เบาๆ

“ได้เวลาเปลี่ยนชุดแล้ว”

“ผมว่าแบบนี้ดีอยู่แล้ว”

หลินเยวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้

ในครอบครัวนี้มีเพียงหลินเซวียนที่สนใจเรื่องการแต่งตัว เธออ่านนิตยสารแฟชั่นใหม่ล่าสุด เวลาว่างชื่นชอบศึกษาเสื้อผ้าของนางแบบ บางครั้งก็ใช้เงินไปกับการจับจ่ายเสื้อผ้าที่เธอถูกใจ

เงินเดือนไม่พอใช้?

ไปปอกลอกน้องชายก็ได้

หลินเซวียนไม่ได้เป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่าสงสารที่ต้องขบคิดอย่างหนักว่าจะใส่ไส้กรอกแฮมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไม่อีกต่อไป ทุกสิ่งที่ใฝ่ฝันในวัยเยาว์ได้รับการเติมเต็มอย่างง่ายดายหลังจากน้องชายประสบความสำเร็จ อีกทั้งเงินเดือนของเธอเองก็ไม่ใช่น้อย ถึงขั้นที่สูงกว่าพนักงานร่วมสายอาชีพด้วยซ้ำไป

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูใจกว้างกับเธอเสมอ

อย่างไรก็ตาม วันนี้หลินเซวียนคล้ายจะไม่ได้ต้องการเติมเต็มความใฝ่ฝันของตนอีกต่อไป กรงเล็บของเธอยื่นไปทางน้องชาย “เป็นถึงเซี่ยนอวี๋ ทำไมถึงไม่ใส่ใจการแต่งตัวแบบนี้ บริษัทนายไม่มีเกณฑ์การแต่งตัวหรือไง”

“เหมือนจะมีนะ”

“แล้วนายแต่งตัวแบบนี้?”

“ไม่มีใครว่าอะไรผมนะ”

หลินเซวียนชะงักเพราะคำพูดของหลินเยวียน ดวงตาของเธอหม่นลง คล้ายกับถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ ผ่านไปชั่วครู่ก่อนจะส่งเสียงหึออกมา “ถึงยังไงน้องชายสุดที่รักของฉันก็ต้องโดดเด่นเตะตา วันนี้พี่หยุดงาน จะพานายไปซื้อเสื้อผ้า!”

“ผมมีเสื้อผ้า”

“นายไม่มีเซนส์ด้านแฟชั่น”

หลินเซวียนไม่รอให้หลินเยวียนตอบปฏิเสธ พาหลินเยวียนขับรถออกไป “หลังจากที่พี่เริ่มทำงาน เสื้อผ้าทั้งหมดของนายเป็นที่พี่ซื้อออนไลน์มา หลังจากนี้เสื้อผ้าของนาย เดี๋ยวพี่ช่วยเลือกเอง”

“อื้อ”

หลินเยวียนยอมจำนน

ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าในตอนนี้ของหลินเซวียนมีราคาสูงกว่าเสื้อผ้าของหลินเยวียนหลายเท่า แต่ตอนที่หลินเซวียนเริ่มทำงานใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เธอซื้อให้หลินเยวียน โดยทั่วไปแล้วมีราคาตัวละหลายร้อยหยวน

ในจำนวนเงินที่เท่ากัน หลินเซวียนในตอนนั้นสามารถซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองได้หลายตัว!

อย่าถามว่าเสื้อผ้าอะไร ไฉนราคาถูกปานนั้น

หลินเซวียนเคยซื้อกระโปรงสั้นราคาตัวละสิบกว่าหยวนหลายตัวจากอินเทอร์เน็ต อีกทั้งกระโปรงสั้นตัวเดียวก็ใส่ได้ครึ่งฤดูร้อน

ยิ่งเมื่อใดที่ไม่ระวัง เผลอทำขาดไป ก็เสียใจอยู่หลายวัน

ในแง่ของความโทรม หลินเซวียนในตอนนั้นโทรมจริงๆ ไม่เหมือนที่เธอบอกกับน้องๆ ก่อนเริ่มทำงานเลย

“ถ้าพี่ทำงานได้เงินแล้ว จะซื้อกระโปรงสวยๆ รองเท้าสวยๆ เสื้อสีดำสุดเซ็กซี่…”

หลังจากมีงานทำ เธอซื้อเสื้อผ้าคุณภาพดีก็จริง แต่ซื้อให้น้องชายและน้องสาว

คนที่รู้จักหลินเซวียน ต่างก็มั่นใจว่า

ต่อให้หลินเซวียนแต่งงานไป เธอก็จะยังอุทิศชีวิตเพื่อน้องๆ อยู่ดี

อันที่จริง หลินเซวียนเองก็ไม่ได้ปิดบังความฝันของเธอที่อยากแต่งงานกับคนมีฐานะ

เพียงแต่ความฝันนี้ก็อันตรธานหายไปหลังจากที่หลินเยวียนสร้างชื่อเสียงในฐานะเซี่ยนอวี๋

เธอในตอนนี้ จึงกลายเป็น ‘คนมีฐานะ’ เสียเอง

เมื่อพาหลินเยวียนมายังห้างสรรพสินค้า หลินเซวียนก็สำแดงวิธีการซื้อเสื้อผ้าของคนมีฐานะ นั่นคือการรูดๆๆ

รูดบัตรรัวๆ

หลินเยวียนกลายเป็นไม้แขวนเสื้อมีชีวิตไปโดยปริยาย

เสื้อผ้าชิ้นใดที่มาสวมอยู่บนร่างกายของหลินเยวียน จะสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของดีไซเนอร์ได้เสมอ

ยามที่เสื้อผ้าชุดที่ห้าถูกบรรจุลงถุงแล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็ทนไม่ไหว “มากเกินไปแล้ว”

“งั้นเปลี่ยนที่”

หลินเซวียนมองไปยังห้างสรรพสินค้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ยังมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซื้ออีกตั้งหลายตัว

เสื้อผ้าเหล่านี้ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าที่นายแบบในนิตยสารที่หลินเซวียนอ่านสวมใส่ ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เฝ้าฝันว่าหลินเยวียนสวมเสื้อผ้าเหล่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร วันนี้เป็นเพียงการวางแผนในการ ‘แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่’ เท่านั้น

ผลลัพธ์พิสูจน์แล้วว่า คุณสมบัติพื้นฐานของนายแบบเหล่านี้จำกัดอยู่ที่จินตนาการของหลินเซวียนเอง

ถ้าหากก่อนหน้านี้หลินเยวียนไม่ได้มาด้านดนตรี แต่ไปเป็นนายแบบ ครอบครัวก็คงมีรายได้มหาศาลเช่นกัน

“เปลี่ยนที่? ไปไหน” หลินเยวียนคิดว่าพี่สาวยังมีแผนการต่อไป

“ร้านตัดผม พี่นัดอาจารย์โทนี่ไว้แล้ว”

หลินเซวียนยิ้มอย่างได้ใจ และไม่เปิดโอกาสให้หลินเยวียนมีโอกาสปฏิเสธ เธอเหยียบคันเร่งตรงไปยังร้านตัดผมประเภทที่คนทั่วไปเห็นและไม่อยากเข้า

“ร้านนี้เชื่อถือได้ใช่ไหม” หลินเยวียนนึกสงสัย

“พี่เป็นสมาชิกระดับสูงสุดเชียวนะ”

หลินเซวียนย่างสามขุมเข้าไปอย่างวางมาด หลินเยวียนเดินตามไปอย่างจนใจ และพนักงานก็เข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี

ไม่รู้ว่าทำไม หลินเยวียนถึงมองเห็นเงาของรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจากท่าทีของพนักงาน

แน่นอน หลินเยวียนเองก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

ขณะที่สระผม พนักงานหญิงในร้านแทบทะเลาะกันว่าใครควรเป็นคนสระผมให้หลินเยวียน

หลินเซวียนซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยแซวว่า “ผมนายยาวเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่ชอบตัดผม แบบนี้ไม่ได้นะ”

หลินเยวียนกระซิบ “ทำไมพี่ไม่ไปบอกเหยาเหยาบ้างล่ะ”

หลินเซวียนตอบทันควัน “น้องยังเป็นนักเรียน มากเกินไปก็ไม่ดี เรียนจบแล้วค่อยทำ”

หลินเยวียน “…”

นี่ก็เป็นความเคยชิน ถ้าผมไม่ยาวถึงระดับหนึ่งจริงๆ เขาจะไม่ตัด

ประหยัดเงิน

ภายหลัง แม่ซื้อกรรไกรตัดผมให้พี่ นับตั้งแต่นั้นมา พี่ก็เป็นคนตัดผมให้หลินเยวียนมาโดยตลอด

เขาต้องสวมหมวกตั้งแต่ตัดผมเสร็จ เพราะทรงผมออกจะพิลึกกึกกืออยู่มาก ช่วงหลังถึงจะพอออกไปพบปะผู้คนได้บ้าง

ความจริงพิสูจน์แล้วว่าฝีมือในการตัดผมของพี่มีการพัฒนา

เมื่อหลินเยวียนเดินออกมาจากร้านตัดผม เขาก็รู้สึกมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนบนท้องถนนหันมา พี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ เลียริมฝีปากด้วยซ้ำไป

ปกติแล้วก็มักมีคนมองหลินเยวียน เขาชินกับเรื่องนี้นานแล้ว

เพียงแต่ในวันนี้มีคนหันมามองมากเป็นพิเศษ​ มากจนถึงขั้นที่ผู้ที่ถูกมองอยู่เป็นนิจมาตั้งแต่เด็กอย่างหลินเยวียนยังรู้สึกอึดอัด

แน่นอน

ลูกค้าผู้ชายหลายคนซึ่งกำลังจะตัดผมชี้ไปทางหลินเยวียนอย่างตื่นเต้น “ผมขอทรงนั้น”

หลังจากนั้น ช่างตัดผมก็มุมปากกระตุก เอ่ยเตือนอย่างละมุนละม่อม “คุณผู้ชาย อันที่จริงรูปหน้าของคุณเหมาะกับผมทรงปัจจุบันมากกว่านะครับ”

ลูกค้าไม่พอใจ “คุณกำลังสอนผมอย่างนั้นหรือ?”

ช่างตัดผมแทบร่ำไห้ “ขอโทษด้วยครับ ความสามารถของผมมีจำกัด”

ก็เบ้าหน้าของคุณให้ตัดยังไงก็ออกมาไม่ได้แบบนั้นอะพี่ชาย!

……………………………………………….นับตั้งแต่เรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูเข้าฉายอย่างเป็นทางการ หลินเยวียนก็ให้ความสนใจกับเสียงตอบรับของภาพยนตร์มาโดยตลอด รวมไปถึงเรื่องที่ชาวเน็ตจำนวนมากจงใจแกล้งคนอื่น เขาเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เพียงแต่หลินเยวียนไม่คิดว่ารอบตัวเขาจะมีตัวอย่างของคนที่ถูกตุ๋นจนเปื่อยให้เห็น

เขาทำได้เพียงแสดงความเห็นอกเห็นใจ

วันรุ่งขึ้น หลินหยวนตื่นแต่เช้า อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน และทานอาหารตามปกติ จากนั้นก็เตรียมตัวไปที่บริษัท

เดือนธันวาคมใกล้เข้ามาแล้ว

อากาศเริ่มเย็นลง

คนที่ร่างกายอ่อนแออย่างหลินเยวียนเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะใส่ลองจอนส์ แต่เมื่อคิดว่าฤดูหนาวยังไม่มาถึงอย่างเป็นทางการ เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ถ้าสวมลองจอนส์ตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงฤดูหนาวจะปรับตัวไหวหรือ?

จะให้ใส่ลองจอนส์ทับสองชั้นก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง?

หลินเยวียนทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมทับให้หนาขึ้น และเปลี่ยนไปสวมกางเกงยีนส์บุขน เขาไม่ได้พิถีพิถันเรื่องการแต่งตัว ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นสวมเสื้อผ้าสีเขียวสีแดงออกจากบ้านอย่างไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องศิลปะการจับคู่สีเสื้อผ้า

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในครอบครัวของเขาเมื่อยังเป็นเด็ก

อันที่จริงการแต่งตัวของหลินเยวียนนั้นเรียบง่ายตั้งแต่ยังเด็ก

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรสนิยมส่วนตัว แต่เกี่ยวข้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว

ต่อให้เป็นคนที่มีรสนิยมหรือมีหน้ามีตาดีแค่ไหน แต่สวมเสื้อผ้าที่ปะชุนหลายครั้งมานานหลายปี สะพายกระเป๋าเป้สีเขียวทหารแต่ใช้มานานหลายปีจนเริ่มกลายเป็นสีขาว ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความมอซอ

หลินเยวียนไม่มีทางเลือก และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน

เพียงแต่ใบหน้าระดับลูกรักพระเจ้าและรูปร่างสูงโปร่งแลดูสง่า จึงข่มความมอซอได้ในระดับหนึ่ง มิหนำซ้ำกลับขับให้โดดเด่นกว่าเดิมด้วย

วันนี้ต่างออกไป

ปัจจุบันนี้หลินเยวียนมีรายได้สูงมาก คุณภาพของเสื้อผ้าจึงสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ความเคยชินในวัยเด็กของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังคงมีทัศนคติว่ามีอะไรก็ใส่อย่างนั้น ไม่เคยจงใจแต่งองค์ทรงเครื่องให้ยุ่งยาก

เดิมทีเป็นเช่นนั้น

แต่เมื่อเขาสวมชุดนี้และเตรียมตัวไปบริษัท หลินเซวียนที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่เพราะตื่นสาย จู่ๆ ก็ร้องเรียกหลินเยวียน

“หยุดอยู่ตรงนั้น”

“มีอะไร”

หลินเยวียนหันไปหาพี่สาวด้วยความสับสน หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมกดโอนเงิน

ทุกครั้งที่พี่สาวคนนี้เรียกให้เขาหยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยทั่วไปแล้วเธอมักจะแบมือขอเงินค่าขนม

แต่ครั้งนี้หลินเซวียนไม่ได้มีเจตนาขอเงิน เพียงแต่มองประเมินหลินเยวียนขึ้นๆ ลงๆ พลางส่งเสียงจุ๊ๆ เบาๆ

“ได้เวลาเปลี่ยนชุดแล้ว”

“ผมว่าแบบนี้ดีอยู่แล้ว”

หลินเยวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้

ในครอบครัวนี้มีเพียงหลินเซวียนที่สนใจเรื่องการแต่งตัว เธออ่านนิตยสารแฟชั่นใหม่ล่าสุด เวลาว่างชื่นชอบศึกษาเสื้อผ้าของนางแบบ บางครั้งก็ใช้เงินไปกับการจับจ่ายเสื้อผ้าที่เธอถูกใจ

เงินเดือนไม่พอใช้?

ไปปอกลอกน้องชายก็ได้

หลินเซวียนไม่ได้เป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่าสงสารที่ต้องขบคิดอย่างหนักว่าจะใส่ไส้กรอกแฮมลงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไม่อีกต่อไป ทุกสิ่งที่ใฝ่ฝันในวัยเยาว์ได้รับการเติมเต็มอย่างง่ายดายหลังจากน้องชายประสบความสำเร็จ อีกทั้งเงินเดือนของเธอเองก็ไม่ใช่น้อย ถึงขั้นที่สูงกว่าพนักงานร่วมสายอาชีพด้วยซ้ำไป

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูใจกว้างกับเธอเสมอ

อย่างไรก็ตาม วันนี้หลินเซวียนคล้ายจะไม่ได้ต้องการเติมเต็มความใฝ่ฝันของตนอีกต่อไป กรงเล็บของเธอยื่นไปทางน้องชาย “เป็นถึงเซี่ยนอวี๋ ทำไมถึงไม่ใส่ใจการแต่งตัวแบบนี้ บริษัทนายไม่มีเกณฑ์การแต่งตัวหรือไง”

“เหมือนจะมีนะ”

“แล้วนายแต่งตัวแบบนี้?”

“ไม่มีใครว่าอะไรผมนะ”

หลินเซวียนชะงักเพราะคำพูดของหลินเยวียน ดวงตาของเธอหม่นลง คล้ายกับถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจ ผ่านไปชั่วครู่ก่อนจะส่งเสียงหึออกมา “ถึงยังไงน้องชายสุดที่รักของฉันก็ต้องโดดเด่นเตะตา วันนี้พี่หยุดงาน จะพานายไปซื้อเสื้อผ้า!”

“ผมมีเสื้อผ้า”

“นายไม่มีเซนส์ด้านแฟชั่น”

หลินเซวียนไม่รอให้หลินเยวียนตอบปฏิเสธ พาหลินเยวียนขับรถออกไป “หลังจากที่พี่เริ่มทำงาน เสื้อผ้าทั้งหมดของนายเป็นที่พี่ซื้อออนไลน์มา หลังจากนี้เสื้อผ้าของนาย เดี๋ยวพี่ช่วยเลือกเอง”

“อื้อ”

หลินเยวียนยอมจำนน

ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าในตอนนี้ของหลินเซวียนมีราคาสูงกว่าเสื้อผ้าของหลินเยวียนหลายเท่า แต่ตอนที่หลินเซวียนเริ่มทำงานใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เธอซื้อให้หลินเยวียน โดยทั่วไปแล้วมีราคาตัวละหลายร้อยหยวน

ในจำนวนเงินที่เท่ากัน หลินเซวียนในตอนนั้นสามารถซื้อเสื้อผ้าให้ตนเองได้หลายตัว!

อย่าถามว่าเสื้อผ้าอะไร ไฉนราคาถูกปานนั้น

หลินเซวียนเคยซื้อกระโปรงสั้นราคาตัวละสิบกว่าหยวนหลายตัวจากอินเทอร์เน็ต อีกทั้งกระโปรงสั้นตัวเดียวก็ใส่ได้ครึ่งฤดูร้อน

ยิ่งเมื่อใดที่ไม่ระวัง เผลอทำขาดไป ก็เสียใจอยู่หลายวัน

ในแง่ของความโทรม หลินเซวียนในตอนนั้นโทรมจริงๆ ไม่เหมือนที่เธอบอกกับน้องๆ ก่อนเริ่มทำงานเลย

“ถ้าพี่ทำงานได้เงินแล้ว จะซื้อกระโปรงสวยๆ รองเท้าสวยๆ เสื้อสีดำสุดเซ็กซี่…”

หลังจากมีงานทำ เธอซื้อเสื้อผ้าคุณภาพดีก็จริง แต่ซื้อให้น้องชายและน้องสาว

คนที่รู้จักหลินเซวียน ต่างก็มั่นใจว่า

ต่อให้หลินเซวียนแต่งงานไป เธอก็จะยังอุทิศชีวิตเพื่อน้องๆ อยู่ดี

อันที่จริง หลินเซวียนเองก็ไม่ได้ปิดบังความฝันของเธอที่อยากแต่งงานกับคนมีฐานะ

เพียงแต่ความฝันนี้ก็อันตรธานหายไปหลังจากที่หลินเยวียนสร้างชื่อเสียงในฐานะเซี่ยนอวี๋

เธอในตอนนี้ จึงกลายเป็น ‘คนมีฐานะ’ เสียเอง

เมื่อพาหลินเยวียนมายังห้างสรรพสินค้า หลินเซวียนก็สำแดงวิธีการซื้อเสื้อผ้าของคนมีฐานะ นั่นคือการรูดๆๆ

รูดบัตรรัวๆ

หลินเยวียนกลายเป็นไม้แขวนเสื้อมีชีวิตไปโดยปริยาย

เสื้อผ้าชิ้นใดที่มาสวมอยู่บนร่างกายของหลินเยวียน จะสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของดีไซเนอร์ได้เสมอ

ยามที่เสื้อผ้าชุดที่ห้าถูกบรรจุลงถุงแล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็ทนไม่ไหว “มากเกินไปแล้ว”

“งั้นเปลี่ยนที่”

หลินเซวียนมองไปยังห้างสรรพสินค้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ยังมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซื้ออีกตั้งหลายตัว

เสื้อผ้าเหล่านี้ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าที่นายแบบในนิตยสารที่หลินเซวียนอ่านสวมใส่ ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เฝ้าฝันว่าหลินเยวียนสวมเสื้อผ้าเหล่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร วันนี้เป็นเพียงการวางแผนในการ ‘แปลงโฉมน้องชายครั้งใหญ่’ เท่านั้น

ผลลัพธ์พิสูจน์แล้วว่า คุณสมบัติพื้นฐานของนายแบบเหล่านี้จำกัดอยู่ที่จินตนาการของหลินเซวียนเอง

ถ้าหากก่อนหน้านี้หลินเยวียนไม่ได้มาด้านดนตรี แต่ไปเป็นนายแบบ ครอบครัวก็คงมีรายได้มหาศาลเช่นกัน

“เปลี่ยนที่? ไปไหน” หลินเยวียนคิดว่าพี่สาวยังมีแผนการต่อไป

“ร้านตัดผม พี่นัดอาจารย์โทนี่ไว้แล้ว”

หลินเซวียนยิ้มอย่างได้ใจ และไม่เปิดโอกาสให้หลินเยวียนมีโอกาสปฏิเสธ เธอเหยียบคันเร่งตรงไปยังร้านตัดผมประเภทที่คนทั่วไปเห็นและไม่อยากเข้า

“ร้านนี้เชื่อถือได้ใช่ไหม” หลินเยวียนนึกสงสัย

“พี่เป็นสมาชิกระดับสูงสุดเชียวนะ”

หลินเซวียนย่างสามขุมเข้าไปอย่างวางมาด หลินเยวียนเดินตามไปอย่างจนใจ และพนักงานก็เข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี

ไม่รู้ว่าทำไม หลินเยวียนถึงมองเห็นเงาของรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจากท่าทีของพนักงาน

แน่นอน หลินเยวียนเองก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

ขณะที่สระผม พนักงานหญิงในร้านแทบทะเลาะกันว่าใครควรเป็นคนสระผมให้หลินเยวียน

หลินเซวียนซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยแซวว่า “ผมนายยาวเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่ชอบตัดผม แบบนี้ไม่ได้นะ”

หลินเยวียนกระซิบ “ทำไมพี่ไม่ไปบอกเหยาเหยาบ้างล่ะ”

หลินเซวียนตอบทันควัน “น้องยังเป็นนักเรียน มากเกินไปก็ไม่ดี เรียนจบแล้วค่อยทำ”

หลินเยวียน “…”

นี่ก็เป็นความเคยชิน ถ้าผมไม่ยาวถึงระดับหนึ่งจริงๆ เขาจะไม่ตัด

ประหยัดเงิน

ภายหลัง แม่ซื้อกรรไกรตัดผมให้พี่ นับตั้งแต่นั้นมา พี่ก็เป็นคนตัดผมให้หลินเยวียนมาโดยตลอด

เขาต้องสวมหมวกตั้งแต่ตัดผมเสร็จ เพราะทรงผมออกจะพิลึกกึกกืออยู่มาก ช่วงหลังถึงจะพอออกไปพบปะผู้คนได้บ้าง

ความจริงพิสูจน์แล้วว่าฝีมือในการตัดผมของพี่มีการพัฒนา

เมื่อหลินเยวียนเดินออกมาจากร้านตัดผม เขาก็รู้สึกมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้คนบนท้องถนนหันมา พี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ เลียริมฝีปากด้วยซ้ำไป

ปกติแล้วก็มักมีคนมองหลินเยวียน เขาชินกับเรื่องนี้นานแล้ว

เพียงแต่ในวันนี้มีคนหันมามองมากเป็นพิเศษ​ มากจนถึงขั้นที่ผู้ที่ถูกมองอยู่เป็นนิจมาตั้งแต่เด็กอย่างหลินเยวียนยังรู้สึกอึดอัด

แน่นอน

ลูกค้าผู้ชายหลายคนซึ่งกำลังจะตัดผมชี้ไปทางหลินเยวียนอย่างตื่นเต้น “ผมขอทรงนั้น”

หลังจากนั้น ช่างตัดผมก็มุมปากกระตุก เอ่ยเตือนอย่างละมุนละม่อม “คุณผู้ชาย อันที่จริงรูปหน้าของคุณเหมาะกับผมทรงปัจจุบันมากกว่านะครับ”

ลูกค้าไม่พอใจ “คุณกำลังสอนผมอย่างนั้นหรือ?”

ช่างตัดผมแทบร่ำไห้ “ขอโทษด้วยครับ ความสามารถของผมมีจำกัด”

ก็เบ้าหน้าของคุณให้ตัดยังไงก็ออกมาไม่ได้แบบนั้นอะพี่ชาย!

……………………………………………….

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

Status: Ongoing

‘เขา’ ทะลุมิติมายังจักรวาลคู่ขนานซึ่งมีชื่อว่า ‘บลูสตาร์’

ดินแดนซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะวัฒนธรรม ศาสตร์ทุกแขนงซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ดนตรี จิตรกรรม วรรณกรรม หรือการเขียนพู่กันก็ล้วนเฟื่องฟูอย่างยิ่ง

ร่างที่เขามาสิงอยู่คือ ‘หลินเยวียน’ นักศึกษาปีสองที่กำลังจะเดบิวต์

แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้หลินเยวียนป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้ร้องเพลงไม่ได้ และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

ครอบครัวก็หมดเงินไปกับค่ารักษาจนอยู่ในภาวะการเงินขัดสน

เป็นเหตุให้หลินเยวียนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระของครอบครัวต่อไป

แต่ ‘เขา’ ไม่คิดจะปลิดชีพตัวเองเหมือนหลินเยวียน

ถึงแม้ร่างนี้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังพอเหลือเวลาให้ทำอะไรอยู่บ้าง

และแม้จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ก็ยังพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของครอบครัวได้

เขาจะเขียนเพลง เขียนหนังสือ ถ่ายทอดความรู้ หารายได้ให้ครอบครัว!

ทันใดนั้น…

[กำลังตรวจเลือด…กำลังตรวจยีน…กำลังตรวจม่านตา…

ระดับความเข้ากันได้ร้อยละ 99.36…ตรงตามมาตรฐาน…

เลือกจากฐานข้อมูล…โลกในระบบสุริยจักรวาล…ระบบกำลังเชื่อมต่อ…]

[ดาวน์โหลดสำเร็จ เชื่อมต่อระบบศิลปะเสร็จสมบูรณ์!]

[สวัสดีโฮสต์ ยินดีสำหรับการเชื่อมต่อกับระบบศิลปะ

ระบบของเราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านได้เป็นศิลปินของบลูสตาร์!]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท