ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างทันที จากนั้นก็ตะโกนเรียกเสียงดังว่า “ท่านพ่อ!”
สวีลิ่งควนยกยิ้มพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซินเจี่ยเอ๋อร์ซับน้ำตา “ต่อไปเจ้าอย่าร้องไห้เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อีก”
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบพยักหน้าทันที
ฮูหยินห้ากลับพูดขึ้นด้วยความร้อนใจว่า “คุณชายห้า เหตุใดท่านถึงไม่ไถ่ถามให้ชัดเจนก่อน นางอยากได้นกขมิ้นท้ายทอยดำคู่นั้นที่ไท่ฮูหยินมอบให้จิ่นเกอต่างหาก!”
สวีลิ่งควนชะงักไปชั่วขณะ
เด็กน้อยดูสีหน้าของผู้ใหญ่ออก
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบโอบกอดรอบคอบิดาเอาไว้ทันที “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
สวีลิ่งควนพูดขึ้นเสียงเบากับบุตรสาวว่า “ไม่ได้! ท่านย่ามอบนกขมิ้นท้ายทอยดำคู่นั้นให้กับจิ่นเกอ ของที่ผู้ใหญ่มอบให้มา จะนำไปมอบให้ผู้อื่นตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน ข้าหาสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเหมือนของจิ่นเกอให้เจ้าคู่หนึ่งดีหรือไม่ แล้วให้เหอเซียงทำกระโปรงดอกไม้ให้สุนัขของเจ้าสวมด้วย…”
จิ่นเกอชอบสุนัขสายพันธุ์เหล่านี้เป็นอย่างมาก เมื่อเขาเห็นร้านปักเย็บกำลังทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิให้กับเหล่าบรรดาสาวใช้ ก็โวยวายจะให้ทำเสื้อผ้าให้สุนัขของเขาใส่ด้วย ร้านปักเย็บอยากจะเอาใจจิ่นเกอ ก็เลยรีบตัดชุดที่สีสันสดใสให้จิ่นเกอไปจำนวนหนึ่ง ทั้งแดงทั้งเขียว สีสันฉูดฉาดเป็นอย่างมาก ซินเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็อยากจะทำเสื้อผ้าให้แมวของนางบ้าง สุดท้าย…ทั้งแมวทั้งสุนัขต่างก็สวมเสื้อผ้ากันหมด พลอยทำให้แขกที่มาเยือนอย่างหวงฮูหยินและโจวฮูหยินต่างก็พากันหัวเราะจนตัวโยน โดยเฉพาะโจวฮูหยิน หลังจากที่นางกลับจวนไปแล้วก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้องค์หญิงฝูเฉิงฟัง องค์หญิงฝูเฉิงยังได้ให้ช่างปักเย็บของจวนองค์หญิงมาดูแบบเพื่อกลับไปทำชุดให้แมวทั้งสองตัวที่ไท่จื่อเฟยเลี้ยงไว้ที่บ้านสกุลเดิมอยู่หลายชุด และยังได้อุ้มแมวเข้าวังเพื่อนำไปให้ฮองเฮา ไท่จื่อเฟยและเหล่าบรรดาไท่เฟยทั้งหลายเชยชมอีกด้วย เหล่าบรรดาไท่เฟยใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย พอเห็นคนรอบข้างเลี้ยงแมวเลี้ยงสุนัขก็รู้สึกแปลกใหม่ไม่น้อย เลยเลยพากันเลี้ยงตาม เวลานั้นเอง ทั้งเมืองเยี่ยนจิงก็เต็มไปด้วยสุนัขและแมวที่สวมเสื้อผ้าเดินขวักไขว่ไปทั่วทั้งเมือง
“ไม่เอาเจ้าค่ะ!” ซินเจี่ยเอ๋อร์ยู่ปากพลางส่ายหน้าทันควัน “ข้าไม่ชอบสุนัขของจิ่นเกอ พวกมันชอบกัดกระโปรงของข้า แถมยังวิ่งไล่ข้าด้วย ข้าจะเอานกขมิ้นท้ายทอยดำ มันร้องเพลงได้ด้วย!”
สวีลิ่งควนได้ยินนางพูดแล้วก็รู้สึกขบขันขึ้นมา จึงยิ้มพร้อมกับถามนางว่า “สุนัขของจิ่นเกอกล้าไล่เจ้าเชียวหรือ พวกมันชักจะกล้ามากเกินไปแล้ว”
“ใช่ ใช่เจ้าค่ะ” ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบพูดขึ้น “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าขาวกับเจ้าเขียวเล่นกับเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหกของจิ่นเกอเด็ดขาด!”
“เจ้าหนึ่ง เจ้าสอง เจ้าสาม เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหกหรือ” สวีลิ่งควนจ้องมองบุตรสาวด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ
“สุนัขของจิ่นเกอยังไงล่ะเจ้าคะ!” ซินเจี่ยเอ๋อร์จ้องมองบิดาของเขาด้วยแววตาที่เหนื่อยหน่ายใจ “บางตัวชื่อเจ้าหนึ่ง บางตัวก็ชื่อเจ้าสอง…ตั้งชื่อไม่เป็นเอาเสียเลย!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” สวีลิ่งควนเห็นด้วยกับนาง “จิ่นเกอตั้งชื่อไม่เก่งจริงๆ ด้วย ไม่เห็นเพราะเหมือนเจ้าขาวกับเจ้าเขียวของเรา!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม แก้มน้อยๆ นูนขึ้นราวกับผลสาลี่ก็ไม่ปาน เหมือนกับแก้มของฮูหยินห้าไม่มีผิด
สวีลิ่งควนชื่นชอบเป็นที่สุด เขาจึงหอมแก้มของบุตรสาวไปหนึ่งที
ฮูหยินห้าเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา นางกลัวว่าสวีลิ่งควนจะสงสารบุตรสาว ไม่สืบสาวราวความก็รับปากบุตรสาวส่งเดช จะยิ่งเพิ่มความหยิ่งยโสของเด็กเข้าไปใหญ่ วันข้างหน้าเกิดอยากได้ของใครขึ้นมาก็ไปแย่งตามอำเภอใจโดยไร้ซึ่งยางอาย ผ่านไปนานเข้า ก็จะกลายเป็นคนที่มีนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่และเอาแต่ใจตัวเอง เด็กยังเล็ก ผู้ใหญ่มักจะชอบใช้ความเอ็นดูมาปฏิบัติต่อเด็ก รู้สึกว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น จ้องตายิ้มให้กันแล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป พอเด็กโตขึ้น ความต้องการก็จะมากขึ้นตาม กลับรู้สึกว่าเด็กไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ พอบิดามารดาอยากจะเข้าไปสอน ก็กลายเป็นนิสัยที่ติดเป็นสันดานไปแล้ว จะแก้ไขได้อย่างไรเล่า ตระกูลขุนนางใหญ่โตมากมายล้มเหลวด้วยเรื่องแบบนี้มานักต่อนักแล้ว!
นับประสาอะไรกับเด็กผู้หญิงเช่นซินเจี่ยเอ๋อร์ที่วันข้างหน้าจะต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์ด้วยเล่า
ตระกูลข้าราชการระดับสูง มีตระกูลไหนบ้างที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายชั่วอายุคนไม่ได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ถึงเวลานั้นทั้งย่าและแม่สามี ไหนจะป้าสะใภ้และอาสะใภ้ ไหนจะเหล่าบรรดาญาติที่เป็นสตรีในครอบครัวอีก…หากมีนิสัยเช่นนี้ เกรงว่ายังไม่ทันจะพ้นวันก็คงจะล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว! แล้ววันข้างหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างไรเล่า
ให้ท้ายนางตอนนี้ ก็เท่ากับเป็ นการทำร้ายนางทางอ้อม
“คุณชายห้า!” นางรีบพูดขึ้น “จิ่นเกอได้นกขมิ้นท้ายทอยดำมา เขาหวงแหนราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น…ซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราไม่ใช้เหตุผล ท่านอย่าทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ จนสองบ้านผิดใจกันเพียงเพราะเรื่องของเด็กเชียว!”
จิ่นเกอคลอดมาอย่างยากลำบาก สวีลิ่งควนก็รู้ข้อนี้ดี อย่าว่าแต่ท่านแม่เลย ถึงแม้จะเป็นเขาเอง เมื่อนึกถึงตอนที่พี่สี่ต่อสู้เพียงลำพังอยู่ข้างนอกเพื่อความอยู่รอดและศักดิ์ศรีของตระกูล แต่เขากลับเอาแต่หลบอยู่หลังของพี่สี่ และได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขข้างกายท่านแม่…ต่อมาก็อาศัยบารมีความสำเร็จของพี่สี่ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางข้าราชการเก่าแก่ของกรมกลาโหมหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน เวลาเจอเขาทุกคนต่างก็มักจะถอยให้ก่อนเสมอ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอกับอุปสรรคอะไรเลย โดยเฉพาะเรื่องเจี้ยเกอ…บุญคุณของพี่สี่ ชดใช้ทั้งชีวิตก็คงจะไม่หมด จิ่นเกอที่สามารถทำให้พี่สี่มีความสุขได้ ท่วมท้นไปด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ความทะนุถนอมและความเสียสละที่ซ่อนอยู่เต็มไปหมด
เมื่อเขาได้ยินคำพูดของภรรยาแล้ว ก็รีบเกลี้ยกล่อมบุตรสาวทันที “‘ผู้ดีจะไม่แย่งชิงสิ่งของอันเป็นที่รักของผู้อื่น’ หากว่าเจ้าชอบนก เราเลี้ยงนกขุนทองดีหรือไม่! เสียงของนกขุนทองก็ไพเราะน่าฟัง ยังมีนกแก้วที่พูดได้ด้วย ดีกว่านกขมิ้นท้ายทอยดำของจิ่นเกอเป็นไหนๆ”
ซินเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของบิดาเสียที่ไหนกัน นางรู้แต่ว่าบิดาของเขาก็เป็นเหมือนมารดาของเขาไม่มีผิด พอเจอเรื่องของจิ่นเกอเข้าก็พากันยอมถอยจนหมด
นางก็ร้องไห้เสียงดังออกมาด้วยความน้อยใจ “ข้าจะเอานกขมิ้นท้ายทอยดำ ข้าจะเอานกขมิ้นท้ายทอยดำ…”
“บอกแล้วว่าไม่ได้!” ฮูหยินห้ารู้ว่าสวีลิ่งควนรักและเอ็นดูบุตรสาวคนนี้เป็นที่สุด ทะนุถนอมยิ่งกว่าเซินเกอที่เป็นบุตรชายคนโตเสียด้วยซ้ำ จึงตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าเป็นพี่สาว จะเอาของของน้องชายได้อย่างไรกัน” จากนั้นก็หันไปเรียกป้าสือทันที “อุ้มคุณหนูสองกลับเรือนไป หากยังดื้อไม่หยุด ก็เอาไปขังไว้ที่โรงเก็บฟืน ไม่ต้องปล่อยออกมา”
ทุกครั้งที่ซินเจี่ยเอ๋อร์ทำผิด ฮูหยินห้าก็มักจะขู่ซินเจี่ยเอ๋อร์ว่าจะจับนางไปขังไว้ที่โรงเก็บฟืน แต่ความเป็นจริงแล้ว ซินเจี่ยเอ๋อร์โตมาจนขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำว่าหน้าตาของโรงเก็บฟืนนั้นเป็นอย่างไร แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าที่นั่นน่ากลัว…ใบหน้าของนางพลันขาวซีด กอดคอของสวีลิ่งควนไว้แน่น “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ…ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
เสียงร้องทั้งแหลมและดังลั่น ร่างกายของนางสั่นสะท้านไปหมด
สวีลิ่งควนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น หันไปต่อว่าฮูหยินห้า “ไปขู่ให้ลูกกลัวทำไม! นางยังเล็ก ค่อยๆ พูดค่อยๆ สอนก็ได้!” จากนั้นเขาก็ลูบหลังของบุตรสาวเบาๆ “ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่นี่แล้ว ไม่ให้ท่านแม่ของเจ้าจับเจ้าไปขังที่โรงเก็บฟืนอย่างแน่นอน!”
บิดาของเขาไม่ค่อยอยู่เรือน เรื่องในเรือนจึงต้องฟังมารดาเป็นหลัก
การปลอบโยนของสวีลิ่งควนไม่ได้ทำให้ซินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกสบายใจขึ้นแต่อย่างใด ซินเจี่ยเอ๋อร์กอดคอของบิดาแน่นขึ้นกว่าเดิม “ข้าไม่ไปที่โรงเก็บฟืน ข้าจะเอานกขมิ้นท้ายทอยดำ…”
‘สอนสั่งบุตรชายได้ไม่ดีเป็นความล้มเหลวของบิดา สอนสั่งบุตรสาวได้ไม่ดีเป็นความผิดของมารดา’ นางอบรมบ่มสอนบุตรสาว สวีลิ่งควนที่เป็นบิดาก็ควรจะหลบเลี่ยงหรือยืนดูอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ออกความคิดเห็น เหตุใดเขาถึงพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ วันข้างหน้าตอนเขาสอนสั่งเซินเกอ นางก็สามารถแทรกแซงได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฮูหยินห้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที
“คุณชายห้า!” นางขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห “ท่านดูนิสัยของนาง…หากยังให้ท้ายนางเช่นนี้ แล้ววันข้างหน้านางจะเป็นอย่างไร…”
ซินเจี่ยเอ๋อร์รู้ดีว่าถึงแม้คนในเรือนจะเกรงกลัวบิดา แต่เวลามารดาโมโหขึ้นมา บิดาก็ต้องฟังคำพูดของมารดาอยู่ดี
นางรีบตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมา…หากนางทำเช่นนี้ ดูเหมือนว่าบิดาก็จะไม่ฟังมารดา คำร้องขอของนางก็จะเป็นจริงมากขึ้นกว่าเดิม
ฮูหยินห้าโมโหจนเส้นเอ็นที่ขมับนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
สวีลิ่งควนจ้องมองบุตรสาวที่เห็นตนเป็นที่พึ่งสุดท้าย จากนั้นก็หันไปมองภรรยาที่สีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก…เขาไม่ต้องการจะทำให้บุตรสาวเสียใจอยู่แล้ว แต่ครั้นจะทำให้ภรรยาไม่สบายใจก็ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา เมื่อนึกได้เช่นนี้ เขาก็ตัดสินใจได้ในทันที “ได้ พ่อจะไปหานกขมิ้นท้ายทอยดำให้เจ้าประเดี๋ยวนี้เลย!” พูดพลางลูบผมที่นุ่มสลวยของบุตรสาวอย่างเบามือ
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ทั้งรู้สึกดีใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อ…” ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
สวีลิ่งควนเห็นท่าทีของบุตรสาวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เช่นนั้นก็เจ้าห้ามร้องไห้อีกนะ!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบพยักหน้าทันควัน
ฮูหยินห้าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “คุณชายห้า…”
สวีลิ่งควนกลับโบกมือให้นาง เพื่อบอกเป็นนัยให้นางว่าไม่ต้องพูดอะไรต่อ
ฮูหยินห้าที่ในตอนแรกเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก็กลืนคำพูดลงคอไป
ซินเจี่ยเอ๋อร์ดีใจราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบานก็ไม่ปาน
จากนั้นสวีลิ่งควนก็ส่งซินเจี่ยเอ๋อร์ให้กับป้าสือที่ยืนอยู่ข้างๆ
“รีบไปล้างหน้าล้างตา หวีเผ้าผมให้เรียบร้อย” เขายิ้มพร้อมกับใช้ข้อนิ้วขูดจมูกน้อยๆ ของบุตรสาวเบาๆ “มอมแมมขนาดนี้ เหมือนกับสาวใช้น้อยไม่มีผิด ไม่เห็นเหมือนคุณหนูสองแห่งสกุลสวีเลยแม้แต่น้อย!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มเจื่อน เดินตามป้าสือกลับเรือนของนางไป
จากนั้นสวีลิ่งควนก็รีบเข้าไปรั้งแขนภรรยาเอาไว้ พาเดินเข้าไปในห้องชั้นใน
“อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ ต้องรักษาร่างกายให้ดีถึงจะถูก ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่รู้ความ เจ้าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับนางเลย นางอยากได้นกขมิ้นท้ายทอยดำไม่ใช่หรือ ถึงเวลาเราค่อยซื้อให้นางสักคู่ก็สิ้นเรื่อง เหตุใดถึงต้องยึดติดกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า” เขายังคงโน้มน้าวนางต่อ “พอได้แล้ว หายโกรธได้แล้ว เมื่อคืนเจ้าบอกว่าขาเป็นตะคริวไม่ใช่หรือ วันนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง ข้าช่วยเจ้านวดคลึงสักหน่อยดีหรือไม่”
ถึงแม้ว่าจะโมโหแค่ไหนก็ตาม แต่สามีพูดจาใจเย็นขนาดนี้ หากนางยังปั้นหน้าบึ้งตึงต่อก็ออกจะเกินไปหน่อย
คิ้วที่ขมวดแน่นของนางค่อยๆ คลายลง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…นิสัยใจร้อนจนเกินไป…”
สวีลิ่งควนไม่อยากจะต่อว่าภรรยา เมื่อได้ยินแล้วเขาก็รีบพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะอากาศทำให้คนหงุดหงิด” พูดต่ออีกว่า “พอแล้ว พอแล้ว เราไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เจ้ารีบไปนั่งบนเตียงเตาเถิด ดูหน้าผากของเจ้าสิ เหงื่อผุดเต็มไปหมดแล้ว”
ฮูหยินห้านั่งลงอย่างคล้อยตาม แต่ในใจกลับเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่หยุด
ปล่อยไปทั้งแบบนี้ไม่ได้!
หากเป็นถึงองค์หญิง ก็ไม่ควรเอาแต่ใจแบบนี้อยู่ดี…จะต้องหาวิธีแก้นิสัยของนางให้ได้ถึงจะถูก!
*****
ยังไม่ทันจะพ้นสองวัน สวีลิ่งควนก็ได้ซื้อนกขมิ้นท้ายทอยดำที่เหมือนกับของจิ่นเกอมาสองตัว
ซินเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางป้อนอาหารนกด้วยตนเอง ตอนเช้าๆ พานกไปเดินเล่น ตกกลางคืนก็เอากรงนกมาแขวนไว้ที่ห้องหนังสือของเรือนปีกทิศตะวันออกในเรือนของนาง
ฮูหยินห้าเห็นบุตรสาวดีใจเช่นนี้ สุดท้ายนางก็กลืนคำตักเตือนที่จะว่ากล่าวบุตรสาวลงคอไป
รอให้ผ่านไปสักพัก หลังจากที่บุตรสาวเล่นจนเบื่อแล้ว ก็ค่อยมาว่ากันอีกที!
ถึงเวลานั้น นางก็คงจะสามารถรับฟังได้มากกว่าตอนนี้อย่างแน่นอน
ฮูหยินห้าคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เวลานั้นเอง ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามรายงาน “ฮูหยิน คุณชายน้อยสองกลับมาจากเล่ออานแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ให้เหอเซียงมาช่วยนางสวมรองเท้า แล้วหันไปพูดกับป้าสือที่อยู่ข้างๆ ว่า “ดูท่าแล้ว ปีนี้อวี้เกอคงจะเข้าร่วมการสอบระดับราชสำนักเป็นแน่แท้ หากว่าสอบผ่าน ก็จะได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉคนที่สองของสกุลสวี!”
ป้าสือก็รีบเดินเข้าไปประคองนางทันที “คุณชายน้อยสองฉลาดหลักแหลม จะต้องสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้อย่างแน่นอน” จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “วันข้างหน้าหากคุณชายน้อยสองมีอนาคตที่ดี เซินเกอของเราก็จะพลอยได้อาศัยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ไปด้วย!”
“พูดถึงเรื่องพวกนั้นตอนนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ!” ฮูหยินห้าไม่คิดเช่นนั้น “พึ่งพาเขา ข้าว่าสู้พึ่งพาท่านลุงของเซินเกอเสียยังดีกว่า!”
ติ้งหนานโหวซื่อจื่อเป็นคนที่มีคุณธรรมและพึ่งพาได้เป็นอย่างมาก!
ป้าสือยิ้มแล้วพูดว่า “คนเพิ่มมาหนึ่งคน ทางเลือกก็เพิ่มมากขึ้นเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน