ยามที่หวังเป่าเล่อกำลังหมกมุ่นอยู่กับเสียงฉินอันเสนาะหูสามตัวของตน อักขระเสียงที่เกิดจากเสียงฟู่เกือบสองร้อยตัวซ้อนทับกันในร่างกายเขาก็ทำให้รอบๆ เกิดการบิดเบี้ยวเล็กน้อยเหมือนกับสนามพลังซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมาก
หวังเป่าเล่อย่อมสังเกตเห็นมันเช่นกันจึงนำมันออกมาตรวจดู ก่อนจะเก็บเข้าไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาสนใจเสียงฉินสามตัวนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้เขาเสียใจคือเสียงฉินยังน้อยเกินไปไม่สามารถสร้างทำนองได้
“ไม่เป็นไร ด้วยคุณสมบัติการรู้แจ้งของข้า ไปที่ฝูงปลาดนตรีครามอีกไม่กี่ครั้งก็รวบรวมเสียงฉินได้แล้ว” เมื่อคิดว่าเส้นทางแห่งท่วงทำนองของตนโชติช่วงดั่งไฟแห่งความหวังแล้ว หวังเป่าเล่อก็เบิกบานใจและมั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่ตอนที่ร่างต้นแบบสัมผัสกับสตรีชุดแดงในตอนนั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็คือบทเพลง แม้กระทั่งตอนที่ไปถึงสำนักเหอเสียน สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ก็คือแบบนี้เช่นกัน
ทุกคนล้วนกำลังรังสรรค์บทเพลงของตน เพราะวาสนาและประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นบทเพลงก็จะไม่เหมือนกัน และเอกลักษณ์ในวิธีที่หลากหลายนี้เองที่เป็นปัจจัยดึงดูดหวังเป่าเล่อ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ตระหนักว่าเอกลักษณ์เช่นนี้เกี่ยวโยงกับความปรารถนาที่จะเป็นอิสระในฐานะร่างแยกของเขา
ในแง่หนึ่งร่างแยกของหวังเป่าเล่อต้องการพิสูจน์ว่าตนมีจิตใต้สำนึกเป็นอิสระ มีบุคลิกของตัวเองและแยกออกจากร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เขาสนใจบทเพลง
เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าบทเพลงที่ตนรังสรรค์ขึ้นนั้นจะเป็นท่วงทำนองแบบไหน
เพราะเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้มอบปลาดนตรีครามให้พ่อบ้านในทันที การจับได้หลายตัวในช่วงเวลาหนึ่งวันเช่นนี้อาจทำให้ความแตกได้
นั่นไม่สอดคล้องกับแผนขั้นต่อไปของเขา หวังเป่าเล่อจึงรอคอยอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งยามค่ำคืนมาถึงอีกครั้ง ร่างของเขาหายวับไปทันทีและพุ่งออกห่างจากเขาสำนักเหอเสียน
ตลอดทางเขาหลีกเลี่ยงการตรวจพบทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาจึงเริ่มเหาะด้วยความเร็วสูงสุดไปยังจุดที่ฝูงปลาดนตรีครามอาศัยอยู่
ความเร็วในครั้งนี้น่าทึ่งมาก เขามาถึงในเวลาไม่นาน แต่ด้วยความรอบคอบ หลังจากมาถึงแล้วก็ไม่ได้หยุดทันที แต่เหาะไปในที่ไกลๆ ก่อนจะวาบร่างหายไปปรากฏตัวอยู่อีกทิศหนึ่งและค่อยๆ กลับมาด้วยความเร็วที่ตรวจพบได้ยากแทน
ความระแวดระวังเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อให้ความสำคัญกับอาณาเขตฝูงปลาดนตรีครามมาก แม้กระทั่งระหว่างทางที่มาเขายังเพิกเฉยต่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ตามมา จนกระทั่งหลังจากมาถึงอาณาเขตฝูงปลาดนตรีคราม เขาก็นั่งขัดสมาธิลงตรงที่เดิมกับเมื่อวาน เก็บซ่อนลมปราณและรอคอยอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปสักพักหวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงจึงเริ่มขุดหลุม หลังจากนั่งอยู่ในนั้นก็นำดินมาฝังกลบเพื่อซ่อนตัวอย่างมิดชิด แล้วจึงรอคอยรุ่งสางอย่างใจจดใจจ่อ
คืนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ
ถึงอย่างไรราตรีนี้ก็กว้างใหญ่นัก อีกทั้งผู้ฝึกตนของทั้งสามสำนักล้วนปลีกวิเวก ต่อให้มีบางส่วนออกมาข้างนอกก็ยากที่จะพบกันในราตรีอันกว้างใหญ่ได้ ช่วงเวลานี้หวังเป่าเล่อเองก็เคยพบเพียงแค่ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนเมื่อวานเท่านั้น
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรอคอยอย่างราบรื่นจนถึงรุ่งสาง ความคึกคักของฝูงปลามาพร้อมกับเสียงบทเพลงแห่งมวลมหาธรรมชาติ หวังเป่าเล่อจากใต้ดินจึงรีบโผล่ขึ้นมานั่งสมาธิเริ่มต้นรู้แจ้งทันที
อักขระเสียงค่อยๆ ผุดขึ้นในใจเขา ท่ามกลางเสียงมวลมหาธรรมชาติอันไพเราะทำให้หวังเป่าเล่อมีความสุข โดยไม่รู้ตัวกฎแห่งสุขของเขาก็เริ่มเติบโตอย่างช้าๆ
เป็นเช่นนี้จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป
ในหนึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อมารู้แจ้งอยู่ที่นี่แทบทุกรุ่งสาง เขาเคยพยายามจะเคลื่อนย้ายฝูงปลาด้วย แต่ก็ไร้ประโยชน์ ในช่วงหนึ่งเดือนนี้มีคนเคยผ่านมาที่นี่ แม้จะสังเกตเห็นฝูงปลาดนตรีคราม แต่ก็ไม่ได้อยู่รอจนถึงรุ่งสางจึงไม่มีใครค้นพบความลับของสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินผ่านมาสองครั้ง หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิดก็ไม่ได้ลงมือ หากผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินตายไปคนหนึ่งก็ยังไม่เป็นไร แต่หากตายอีกสองสามคนจะเป็นการยากที่จะเก็บความลับของที่นี่ไว้
ดังนั้นหนึ่งเดือนมานี้แม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี และจำนวนเสียงโบราณของหวังเป่าเล่อก็เกือบถึง 40 ตัวแล้ว
ด้วยเสียงโบราณมากขนาดนี้ เขาจึงสามารถเรียบเรียงและสร้างทำนองที่เป็นของตัวเองได้แล้ว แท้จริงแล้วเขาทำอย่างนั้นด้วยความพยายามของเขาจนท่วงทำนองสำเร็จไปแล้ว
เมื่อเริ่มใช้งานท่วงทำนองนี้ ร่างของเขาจะสลายไปหลอมรวมกับเสียงฉิน และเสียงฉินอันเร่งเร้านี้ยังแฝงไปด้วยความปรารถนาในอิสรภาพและความยืนหยัดของหวังเป่าเล่อ
เขาถึงกับฝันไว้ว่าหลังจากท่วงทำนองนี้สมบูรณ์และกลายเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์แบบแล้วก็จะปรับกฎปรารถนาเสียงของตนให้กลายเป็นบทประพันธ์แห่งท่วงทำนอง
“ข้าคิดชื่อไว้หมดแล้ว มันจะชื่อว่าอิสรภาพ!” หวังเป่าเล่อตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้น ส่วนเสียงฟู่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดคำนวณอะไรมาก โดยพื้นฐานแล้วมันเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ตัวต่อวัน จนถึงตอนนี้ก็มีประมาณ 3,000 กว่าตัวแล้วซึ่งซ้อนทับกันทั้งหมด
ส่วนเรื่องอานุภาพนั้น เนื่องจากเขาจดจ่ออยู่กับเสียงฉิน อีกทั้งยังไม่มีใครให้เขาลงมือด้วยจึงยังไม่เคยลอง
ขณะเดียวกันหนึ่งเดือนที่ผ่านไป ฝูงปลาดนตรีครามที่นี่ก็ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดของการรวมตัวและเริ่มล้มตาย
ราวกับว่าชีวิตของพวกมันมีเพื่อเล่นเสียงมวลมหาธรรมชาติเท่านั้น และเสียงมวลมหาธรรมชาติตลอดหนึ่งเดือนก็กินพลังของพวกมันไปหมดสิ้นแล้ว ในท้ายที่สุดการชนกันทุกครั้งล้วนหมายถึงความตาย
มันโหดร้าย ขณะเดียวกันเสียงก็เสนาะหูอย่างยิ่ง ทั้งไพเราะและโหดเหี้ยม
จนกระทั่งวันนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อมายังอาณาเขตของฝูงปลาดนตรีครามกลางดึกอีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นปลาเลยสักตัวเดียว เขารู้ว่าวาสนาในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว
“โลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงช่างประหลาดนัก…” หวังเป่าเล่อสัมผัสสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่าด้วยอารมณ์ หลังจากค้นหาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปลาดนตรีคราม เขาจึงส่ายหน้าและทำท่าว่าจะจากไป ทว่าในตอนนั้นเอง หูก็ได้ยินเสียงดนตรีดังลอยมาเบาๆ
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเยือกเย็น อีกทั้งยังไม่พอใจราวกับสตรีโบราณต้องออกเรือนไปกับคนที่นางไม่ได้รัก บนเกี้ยวเจ้าสาวนั้นอารมณ์ในจิตใจได้กลายเป็นจังหวะดนตรีดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อเสียงดนตรีใกล้เข้ามา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาทันที ยามที่หันไปมองเขาก็เห็นเกี้ยวสีแดงสดที่ตนเคยพบถูกร่างผอมแห้งสี่ร่างแบกเดินเข้ามาช้าๆ
เมื่อเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาจำได้ว่าเกี้ยวที่ตนเคยพบในตอนนั้นมีมือขวายื่นออกมาจากม่าน แกว่งไปมาไร้ทิศทาง แต่เกี้ยวหลังนี้…กลับเป็นมือซ้าย!
นิ้วมือราวหยกขาวพิสุทธิ์เช่นเดียวกัน เล็บสีแดงสดเช่นเดียวกัน บรรยากาศอันน่าพิศวงเช่นเดียวกัน
มันค่อยๆ เคลื่อนมาถึงช้าๆ