สืออีเหนียงพึ่งลงจากรถม้า จิ่นเกอก็รีบโผเข้าหามารดาทันที “ท่านแม่ อุ้ม อุ้ม!”
แม่นมกู้ที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเข้าไปหาเขา “ให้แม่นมอุ้มดีหรือไม่เจ้าคะ”
จิ่นเกอรีบส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งขึ้นมาทันที “ท่านแม่ อุ้ม อุ้ม!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับอุ้มจิ่นเกอขึ้นมา “โตขนาดนี้แล้ว ยังอ้อนเป็นเด็กอยู่ได้!”
จิ่นเกอซบหน้าลงบนบ่าของมารดา สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
แม่นมกู้พูดขึ้นด้วยความลังเลว่า “ฮูหยิน ท่านโหวกำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ท่านอุ้มคุณชายน้อยหก ตอนนี้น้ำหนักของคุณชายน้อยหกเพิ่มขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ…”
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปในเรือนหลัก “ข้าอุ้มเขามาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ได้รู้สึกหนักเท่าไรนัก” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยที่ได้รับข่าวว่าสืออีเหนียงกลับมาแล้ว ก็พากันเดินออกมาจากทางเดินเล็กที่อยู่ข้างๆ ระหว่างห้องเอ่อร์ฝัง
ทั้งสองเข้ามาคารวะสืออีเหนียงด้วยความนอบน้อม
จิ่นเกอหันไปมองสวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ย ขานเรียกขึ้นว่า “พี่ชาย” จากนั้นก็ลงจากอ้อมแขนของมารดา
สืออีเหนียงรู้ว่าบุตรชายกำลังออดอ้อน ก็เลยไม่ได้ขัดใจเขาแต่อย่างใด นางหอมแก้มของจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามสวีซื่อเจี้ยว่า “กาน้ำชาของเจ้าปั้นไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนเช้าปั้นไปหนึ่งกา แต่ลืมทำรูเทน้ำที่ปากของกาน้ำชา ก็เลยไม่สามารถรินน้ำได้” ใบหน้าของสวีซื่อเจี้ยแดงขึ้นเล็กน้อย “ก็เลยต้องปั้นใหม่อีกกาขอรับ”
สองแม่ลูกพูดคุยกันพลางเดินไปยังห้องปีกทิศตะวันตก
สืออีเหนียงวางจิ่นเกอลงบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง
แต่จิ่นเกอกลับรีบปีนลงไปทันที เขาวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าแม่นมกู้ “ขนมของข้า ขนมของข้า!”
แม่นมกู้รีบหันไปรับกล่องไม้บุหนังจากสาวใช้น้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังมา “ขนมอยู่นี่เจ้าค่ะ”
จิ่นเกอก็เปิดฝาของกล่องไม้ออก จากนั้นเขาก็หยิบขนมยื่นให้กับสวีซื่ออวี้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงเตา
สวีซื่ออวี้จ้องมองจิ่นเกอด้วยความประหลาดใจ “ให้ข้าหรือ”
จิ่นเกอพยักหน้าเบาๆ “พี่ชายทานขนมขอรับ!”
สวีซื่ออวี้รู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หลายวันมานี้ หลังจากที่เขากลับจวนมา จิ่นเกอมักจะหวงแหนของของเขาเป็นอย่างมาก เขาเห็นทุกอย่างกับตา
สวีซื่ออวี้ยื่นมือไปรับขนมจากจิ่นเกอด้วยความระมัดระวัง
มันคือขนมไส้ถั่วแดง ใช้แม่พิมพ์ขึ้นรูปขนมเป็นทรงดอกกุหลาบ
“กานไท่ฮูหยินเป็นคนทำขนมนี้” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หวานแต่ไม่เลี่ยน รสชาติถือว่าไม่เลวทีเดียว คราวที่แล้วจิ่นเกอทานไปตั้งสองชิ้น กานไท่ฮูหยินจึงจำขึ้นใจ ครั้งนี้พวกข้าไปเยี่ยมนาง นางก็เลยทำเผื่อสองกล่องให้พวกข้านำติดมือกลับมา ข้าก็เลยถือโอกาสนี้ขอวิธีทำขนมกลับมาด้วย ไว้วันไหนว่างๆ เรามาลองทำขนมด้วยกัน”
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังพูดอยู่นั้น จิ่นเกอก็ได้หยิบขนมออกมาจากกล่องอีกหนึ่งชิ้นยื่นให้กับสวีซื่อเจี้ย “พี่ชาย ทานขนมขอรับ!”
สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอเล่นด้วยกันมานาน ถึงแม้ว่าของจะมีแค่ชิ้นเดียว เขาก็ยังยินดีที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นด้วยความใจกว้าง
เมื่อเห็นว่ามือน้อยๆ ของจิ่นเกอเต็มไปด้วยน้ำมัน เขาก็ยิ้มพร้อมกับรับขนมมา จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เขาเช็ดมือ
จิ่นเกอกลับปัดทิ้งด้วยความหงุดหงิดใจ จากนั้นก็วิ่งกลับไปหาแม่นมกู้ หยิบขนมออกมาใหม่อีกหนึ่งชิ้นแล้ววิ่งไปที่เตียงเตายื่นให้กับสืออีเหนียง “ท่านแม่ ทานขนมขอรับ”
สืออีเหนียงลูบศีรษะของบุตรชายเบาๆ “เจ้าทานเถิด แม่ไม่ทาน!”
จิ่นเกอกลับไม่ยอม ดื้อดึงจะให้สืออีเหนียงรับขนมไส้ถั่วแดงให้ได้
สืออีเหนียงจึงทำได้เพียงรับขนมจากเขามา
จิ่นเกอวิ่งกลับไปหยิบขนมอีกหนึ่งชิ้น แล้วก็วิ่งพรวดไปที่เตียงเตา ปีนขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มทานขนมในมือ
ทุกคนเห็นแล้วต่างก็พากันหัวเราะเขาด้วยความเอ็นดู
จิ่นเกอเงยหน้าขึ้นมา แก้มทั้งสองข้างของเขาปูดนูนออกมาเพราะกำลังอมขนมไส้ถั่วแดงไว้ เขากวาดตามองทุกคนด้วยความแปลกใจ ราวกับกำลังคลางแคลงใจว่าเหตุใดทุกคนถึงได้หัวเราะเขา
คนในห้องต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังเข้าไปใหญ่
เวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเข้มถามขึ้นว่า “มีอะไรกัน เหตุใดถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้”
ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันจะไหวตัว จิ่นเกอก็ดีดตัวกระโดดขึ้นมาทันที “ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”
ชายที่สวมด้วยชุดจื๋อตัวผ้าแพรสีน้ำเงินสดเดินเข้ามา สีหน้าและแววตาของเขาอ่อนโยน หว่างคิ้วปรากฏรอยยิ้มบางๆ หากไม่ใช่สวีลิ่งอี๋แล้วจะเป็นใครไปได้
เขาเดินเข้าไปอุ้มจิ่นเกอขึ้นมา
จิ่นเกอก็รีบนำขนมไส้ถั่วแดงในมือป้อนให้กับสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ ทานขนมขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็กัดขนมที่เขาป้อนคำเล็กๆ ไปหนึ่งคำ
สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยรีบเข้าไปคารวะเขาทันที สืออีเหนียงเองก็ลุกขึ้นจากเตียงเตา จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้น้อยไปรินน้ำชามาให้เขา
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปนั่งที่เตียงเตา หันไปถามกับสืออีเหนียงว่า “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาเอาป่านนี้”
สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “บังเอิญไปเจอกับคุณนายสี่สกุลถังที่จวนสกุลกาน ก็เลยนั่งคุยกันอยู่สักพักใหญ่ จากนั้นก็แวะไปที่จวนองค์หญิงฝูเฉิง ก็เลยกลับมาเอาป่านนี้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดจู่ๆ ถึงแวะไปที่จวนองค์หญิงฝูเฉิงได้” สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “สกุลโจวเกิดเรื่องขึ้นหรือ”
“ไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรหรอกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้น้อยวางลงบนโต๊ะข้างหน้าสวีลิ่งอี๋ “เพียงแต่ว่าในเมื่อจะออกไปข้างนอกทั้งที ก็เลยถือโอกาสแวะไปที่นั่นด้วย”
สวีซื่อเจี้ยยังคงงุนงงไม่เข้าใจ จึงยืนฟังอย่างเงียบๆ อยู่ข้างๆ แต่สวีซื่ออวี้สามารถเข้าใจในเนื้อหาของบทสนทนา เขาจึงหันไปส่งสายตาให้กับสวีซื่อเจี้ย ถือโอกาสตอนที่สวีลิ่งอี๋จิบชาไปหนึ่งคำขอตัวถอยออกมา
ตั้งแต่สวีลิ่งอี๋ไปกราบไหว้เทพดวงดาวเหวินฉวี่ซิงที่วัดกับสวีซื่ออวี้แล้ว เขาเองไม่ได้พูดอะไรมาตลอดทาง สวีซื่ออวี้ที่ดูสุขุมและเก็บตัวนั้นกำลังพยายามสะกดกั้นความสุขที่เปี่ยมล้นในหัวใจแทบไม่ไหว รู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าบุตรชายทั้งสามของเขาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจให้สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยอยู่ทานข้าวพร้อมกับเขา แล้วยังหันไปสั่งกับสืออีเหนียงว่า “ไปเรียกจุนเกอมาด้วยก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงชอบการทานข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นที่สุด จึงยิ้มพลางหันไปสั่งกับบ่าวรับใช้ในเรือนให้ไปเรียกสวีซื่อจุนมา จากนั้นก็ให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหาร
*****
ตกกลางคืน สืออีเหนียงก็ได้ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “ทางฝั่งสกุลหวัง มีข่าวดีใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“โต้วเก๋อเหล่าได้เขียนหนังสือคุ้มครองหวังจิ่วเป่า” สวีลิ่งอี๋ลดหนังสือในมือที่อ่านได้เพียงครึ่งเล่มลง หันไปมองสืออีเหนียงที่กำลังนั่งถักเปียอยู่ริมเตียงด้วยรอยยิ้ม พลางหยอกล้อนางว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสังเกตสีหน้าของผู้อื่นเป็นด้วย”
“วันนี้ท่านโหวอุ้มจิ่นเกอหัวเราะมีความสุขถึงปานนั้น แม้แต่คนตาบอดก็ยังรับรู้ได้ว่าท่านอารมณ์ดีแค่ไหน!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “แล้วข้าจะดูไม่ออกได้อย่างไรกัน”
สวีลิ่งอี๋ก็วางหนังสือลง เข้าไปอุ้มสืออีเหนียงทิ้งลงบนเตียงในคราวเดียว จากนั้นก็ขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้
“ร้อนจะแย่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงบ่นพึมพำพลางผลักตัวเขาออกเบาๆ
“ร้อนหรือ!” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยๆ โน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือว่า “เช่นนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกดีหรือไม่ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น…” พูดจบเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเสียหน่อย…”
ใบหูของสืออีเหนียงพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
ตาคนนี้ สองวันก่อนพึ่งจะอุ้มนางไปยืนหน้าเครื่องฉายภาพเคลื่อนไหวถ้ำมองตะวันตก…ให้เขาเชยชมทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด…
“ท่านโหว!” ฉากเหตุการณ์วันนั้นปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง ร่างกายของนางก็อ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันที น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋กัดหูของนางพลางหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ปลดคอเสื้อของนางออกอย่างช่ำชอง เผยให้เห็นเสื้อชั้นในสีน้ำเงินอ่อนที่ปักด้วยลายพืชน้ำ
“ชุดสีแดงกุหลาบที่ปักด้วยลายดอกโบตั๋นผืนนั้นสวยกว่า!” เขาพูดขึ้นพึมพำข้างหูนาง พลางปลดเสื้อชั้นในไปครึ่งตัว เผยให้เห็นยอดเนินอกสีชมพูที่ชูชันสะท้อนอยู่ใต้ลายผ้าปักพืชน้ำสีเขียว แต่งแต้มเป็นภาพที่สีสันฉูดฉาดต้องตาต้องใจ พลอยทำให้จิตใจเขาหิวกระหายดุจเปลวไฟที่โหมกระหน่ำขึ้นมาทันที
สืออีเหนียงผลักเขาออก “ในเมื่อไม่สวย เช่นนั้นก็รอพรุ่งนี้ ไว้ข้าเปลี่ยนเป็นชุดสีแดงกุหลาบผืนนั้นมาให้ท่านโหวดูอีกทีก็ยังไม่สาย” พูดจบนางก็จะหันหลังให้กับเขา แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋ชิงกัดยอดเนินอกของนางก่อน
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบมากขึ้นกว่าเดิม
สวีลิ่งอี๋หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ เขาละเลงลิ้นทั่วเม็ดบัวยอดเนินอกของนางอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา “จะชุดไหนก็เหมือนกัน ข้ารับเจ้าได้เสมอ!”
เขานี่นะ เวลาได้สิ่งที่ต้องการแล้วชอบแสร้งตีหน้าซื่อ นางไม่ได้หน้าหนาเหมือนเขาเสียหน่อย เรื่องต่อล้อต่อเถียงนางไม่ใช่คู่ปรับของเขาจริงๆ
สืออีเหนียงถือโอกาสกัดไหล่เขาไปหนึ่งที
ทำเอาเขาหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็พลิกตัวกลับไปนอนพิงที่หัวเตียงดังเดิม จ้องมองไปยังสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เย้ายวน “มานี่มา มาให้ข้ากอดหน่อย!”
คงอยากจะให้นางเป็นคนเริ่มก่อนกระมัง!
หลังจากนั้นก็จะมาหยอกล้อนาง ว่านางวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของเขาเอง
สืออีเหนียงจ้องเขาตาเขม็ง
สวีลิ่งอี๋พยายามกลั้นหัวเราะ จากนั้นก็ปลอบนางเสียงเบาว่า “คนดี! มาให้ข้ากอดหน่อย!” เสียงเข้มของเขาแผ่วเบาลง ฟังดูน่าหลงใหลมากขึ้นกว่าเดิม
สืออีเหนียงจึงหยิกเขาไปเต็มแรง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา…
*****
ตอนฟ้าใกล้จะสว่าง สืออีเหนียงจึงพึ่งจะมีโอกาสได้พูด
“วันนี้ปินจวี๋มาหาข้าแต่เช้าตรู่ นางบอกว่าเด็กอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ผิวพรรณขาวผ่อง บนร่างกายไม่มีรอยแผลเป็นแม้แต่รอยเดียว ตอนนี้ยังไม่กล้าอุ้มมาที่จวน รอผ่านไปสักระยะหนึ่ง ให้แก้มของเด็กยุบลงกว่านี้อีกหน่อย ไม่เป็นที่จับตามองของผู้อื่นแล้ว ค่อยอุ้มมาให้ท่านโหวดูเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลใจว่า “หลังจากที่เห็นเด็กผอมลง หวังว่าทางนั้นคงจะไม่กล่าวโทษว่าเราไม่ได้ดูแลเด็กให้ดีเท่าที่ควร!”
หลังจากที่ปินจวี๋กลับไปวันนั้น ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรอีกเลย เขาเป็นคนไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น ถึงแม้สวีลิ่งอี๋จะไม่ได้ถาม แต่สืออีเหนียงดูออกว่าเขาค่อนข้างเป็นห่วง บางครั้งแผนการก็ไม่สู้การเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นจะมีคำว่า ‘ถ้าหาก’ ได้อย่างไรกัน!
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างแปลกใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าสะใภ้ว่านต้าเสี่ยนจะเป็นคนละเอียดรอบคอบเช่นนี้!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หลุดขำออกมาทันที “อะไรกัน! ทั้งหมดเป็นความคิดของว่านต้าเสี่ยนต่างหาก ตอนนางเห็นเด็กครั้งแรกก็จะอุ้มมาที่นี่ทันที…” ขณะที่พูดอยู่นั้นนางก็นึกถึงใบหน้าที่แดงก่ำของปินจวี๋ขึ้นมา “ความสัมพันธ์ของนางกับว่านต้าเสี่ยนก้าวหน้าไปไม่น้อย คนเราเวลาอยู่กับใครก็จะเหมือนกับคนผู้นั้น!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปลื้มใจ
สวีลิ่งอี๋เองก็หัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็ล้อนางเล่นว่า “แล้วเจ้าเล่า เหมือนผู้ใด”
สืออีเหนียงก็ถือโอกาสหยอกล้อเขากลับด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ท่านโหวไม่รู้หรือเจ้าคะ คนทั้งจวนต่างก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายิ่งอยู่ข้าก็ยิ่งสุขุมขึ้น เวลาได้ยินข้าพูดจาก็จะต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก…”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลูบผมของสืออีเหนียงที่ถูกเขาทำจนยุ่งอย่างเบามือ “รีบหลับตานอนหลับได้แล้ว ส่วนเรื่องทางฝั่งสกุลหวังเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง มีข้าอยู่ทั้งคน!” น้ำเสียงอบอุ่นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเหนื่อยจนไม่อยากขยับนิ้วแม้แต่นิ้วเดียว นางไม่ได้พูดอะไรต่อ ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ นอนขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋
*****
ยังไม่ทันจะพ้นสองวัน สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
ศาลต้าหลี่ได้ตัดสินโทษของหวังจิ่วเป่าไปทั้งหมดสิบเก้าประการ จวนสกุลหวังถูกรื้อค้นและยึดทรัพย์ หวังจิ่วเป่าและเหล่าบรรดาขุนนางในราชสำนักที่ได้ร่วมประกาศนิรโทษกรรมแก่เหล่ากบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนภรรยาและบุตรนั้นถูกเนรเทศไปยังเขตเหลียวตง
เมื่อข่าวถูกแพร่กระจายออกไป สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ที่นั่นเป็นพื้นที่รกร้างและห่างไกลผู้คน มีแต่ทหารที่ล้มเหลวในศักยภาพเท่านั้นที่จะเฝ้าอยู่ที่นั่น หลังจากที่เขารบชนะมาสองครั้งรวด ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจเท่านั้นที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มีชื่อเสียงเรียงนามขึ้นมา จึงจะสามารถย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ที่ดีขึ้น
ที่เขตเหลียวตง เขาไม่มีใครที่พอจะฝากฝังได้เลย
สืออีเหนียงเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของเขา จากนั้นก็โอบกอดเอวของเขาไว้ แนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังของเขา
“ท่านโหว” สืออีเหนียงเรียกสวีลิ่งอี๋ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ท่านกำลังกังวลใจเรื่องเจตนาของฮ่องเต้อยู่หรือเจ้าคะ”