สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “เจ้าคิดว่า เรื่องแต่งงานของอวี้เกอเป็นเรื่องยาก ยากตรงไหนหรือ”
ก็เพราะว่าอวี้เกอเป็นบุตรของอนุภรรยาที่มาจากสาวใช้
แต่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงจะกล้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้อยากฟังคำตอบของนาง เขาพูดเบาๆ “ทางออกของเขานั้นยากลำบากใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้า
คำพูดของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างที่จะตรงประเด็น
บุตรชายของสวีลิ่งอี๋นั้นพลอยได้รับร่มเงาบารมีตามไปด้วย แต่มันก็มีโควต้า สวีลิ่งอี๋ก็ยังมีภรรยาเอกที่อายุยังน้อยอย่างตน ตามหลักแล้ว ต่อไปนางต้องเพิ่มพูนลูกหลานให้สกุลสวีมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสวีซื่ออวี้แล้ว โควต้านั้นก็จะยิ่งสั่นคลอนลดลงตามจำนวนน้องๆ ที่จะเกิดมา
มีคำพูดโบราญที่ว่า สตรีแต่งงานออกเรือนไปก็เพื่อให้ตัวเองมีที่พึ่ง หากเป็นตระกูลที่ยากจน เงินเพียงสิบตำลึงก็สามารถอยู่ได้ถึงสองสามปี แต่สวีซื่ออวี้เกิดในสกุลใหญ่สกุลโต ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องต้อนรับแขกไปใครมา ปีหนึ่งก็ต้องใช้เงินตั้งสองสามร้อยตำลึงแล้ว คนที่แม้แต่เสื้อผ้าและอาหารการกินยังรับประกันไม่ได้ จะมีใครยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับเขากันเล่า
“ถ้าหากอวี้เกอสอบบัณฑิตซิ่วไฉผ่าน ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเห็นด้วย เขาก็พูดต่อ “แต่อย่างน้อยเขาต้องไม่คุกเข่าอ้อนวอนขอร้องตอนขึ้นศาล ไม่ต้องถูกบังคับใช้แรงงาน มีเงินจ่ายค่าภาษีที่ดิน และด้วยอำนาจบารมีของสกุลเรา จะเป็นขุนนางทูตตำแหน่งเล็กๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แล้วเขายังเป็นลูกคนโตของอนุภรรยา แต่งงานแล้วยังสามารถย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้” พูดจบ เขาก็หัวเราะ “ข้าจึงบอกว่า ถึงตอนนั้นเจ้าก็รอเลือกลูกสะใภ้เถิด!”
“ท่านโหวนี่จริงๆ เลย!” สืออีเหนียงบ่นขึ้นมา “พูดให้ข้าตกใจ ข้าคิดว่าท่านโหวมองแม่นางสกุลไหนไว้แล้วเสียอีก แต่กลับรอให้อวี้เกอสอบบัณฑิตซิ่วไฉผ่านก่อนแล้วค่อยไปสู่ขอภรรยา พูดตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่มีสาระสำคัญอะไร!”
“ไม่ต้องรีบหรอก” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วปลอบใจนาง “โตขึ้นแล้วเขาก็จะรู้เองว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร ถึงแม้รีบแต่งงานแต่พวกเขาทั้งสองคนล้วนแต่ยังเป็นเด็ก บางครั้งเรื่องที่อดทนได้ ยอมกันได้ แต่กลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายก็เกิดปมในใจต่อกัน ทำให้ความรักจืดจาง กลายเป็นความเคียดแค้นเสียมากกว่า”
นั่นคือความรู้สึกส่วนตัวของเขาเองกระมัง
สืออีเหนียงอยากถามเขา แต่เมื่อเห็นความเศร้าโศกบนใบหน้าของเขา นางจึงกลืนประโยคนั้นลงไป
นางเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องที่น่ายินดี “ท่านโหวยังไม่รู้ใช่หรือไม่เจ้าคะ สองวันก่อนข้าและเหวินอี๋เหนียงจัดเสื้อผ้าที่จิ่นเกอเคยใส่ตอนเด็กส่งไปที่เมืองซังโจวตั้งหลายชุด คนที่ไปส่งกลับมาบอกว่า ตอนนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์สบายดี แม่สามีกลัวว่านางจะหวาดกลัว จึงเชิญหลานสาวสกุลเดิมที่พูดจาเป็น แล้วยังเคยคลอดบุตรชายมาแล้วสี่คนมาเป็นแขกที่จวน คอยพูดคุยเป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ ดูแลอาหารการกินของเจินเจี่ยเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว ข้าอยากเขียนจดหมายขอบคุณ ให้คนที่นำของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปส่งที่เมืองซังโจวนำไปด้วย ท่านโหวคิดว่าอย่างไรบ้าง”
“ไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายขอบคุณเพราะเรื่องนี้” สวีลิ่งอี๋ลังเล “นางเป็นแม่สามี อยากจะทำตัวเช่นไรกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ เราก็พูดอะไรไม่ได้!”
“ไอ๊หยา ก็แค่ช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์เอาใจแม่สามีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงไม่สนใจ “ใครจะไม่อยากฟังคำพูดที่ไพเราะกันเล่า เราทำเช่นนี้ นางจะได้มีหน้ามีตา หากเจินเจี่ยเอ๋อร์ทำอะไรผิดพลาด นางก็จะได้เห็นใจเจินเจี่ยเอ๋อร์” จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้านับวันดูแล้ว อีกสองเดือนเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็จะคลอดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นบุตรชายหรือว่าบุตรสาว ผู้ดูแลหญิงที่ข้าให้ไปส่งของให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมาบอกว่า ดูท่าทีแล้ว น่าจะเป็นบุตรชายเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่านางอยากได้เงินรางวัลมากกว่า เพราะตอนที่ข้าตั้งครรภ์จิ่นเกอ ทุกคนล้วนแต่บอกว่าเป็นบุตรสาว…”
สวีลิ่งอี๋ฟังนางบ่น เขาก็ขยับหน้าเข้าไปใกล้นางแล้วพูดเบาๆ “แล้วเจ้าเล่า”
“อะไรหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้านำเสื้อผ้าของจิ่นเกอส่งไปหมด ถึงตอนนั้นบุตรชายของเราจะสวมใส่อะไร”
“จิ่นเกอโตแล้ว สวมเสื้อผ้าพวกนั้นไม่ได้แล้ว…” สืออีเหนียงพูดจบ ทันใดนั้นนางก็เข้าใจว่าสวีลิ่งอี๋หมายถึงอะไร นางหน้าแดงแล้วหยุดชะงัก จากนั้นก็พูดอย่างเขินอาย “ทุกคนล้วนแต่บอกว่าจิ่นเกอมีวาสนา ล้วนแต่บอกว่าที่ไท่จื่อเฟยให้กำเนิดบุตรชายคนโตได้อย่างราบรื่น ล้วนแต่เป็นเพราะวาสนาของเขา…ข้าจึงอยากทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์สบายใจ…”
“เป็นเพราะวาสนาของจิ่นเกอ?” สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็แปลกใจ “ใครเป็นคนพูดกัน”
“ท่านไม่รู้หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย นางปิดปากยิ้ม “สองวันก่อนข้าไปเยี่ยมไท่ฮูหยินสกุลกาน เจอกับนายหญิงสี่สกุลถังของจงซานโหว พอเห็นจิ่นเกอ สายตาของนางก็เป็นประกาย จะเชิญข้าไปเป็นแขกที่เรือนของนางให้ได้ บอกว่าลูกสะใภ้ของนางมีลูกคนที่สี่แล้ว ล้วนแต่เป็นเด็กผู้หญิง อยากให้จิ่นเกอไปนั่งบนเตียงลูกสะใภ้นาง หากไม่ใช่เพราะข้าบอกว่าองค์หญิงฝูเฉิงส่งคนมาเชิญข้าไปที่จวนองค์หญิง เกรงว่าข้าคงจะปลีกตัวออกมาไม่ได้ แต่นางยังคงไม่เชื่อ ไปส่งข้าถึงจวนองค์หญิงด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะไม่ไปหาพี่หญิงโจวกะทันหันเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เอ่ยหยอกล้อสืออีเหนียง “ข้าคิดว่าให้จิ่นเกอไปนั่งบนเตียงของนางก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะตีไหล่เขาเบาๆ “ชอบแกล้งคนอื่น!” จากนั้นก็หัวเราะ
“ข้าพูดเรื่องจริง” สวีลิ่งอี๋หัวเราะนาง “เจ้าบอกข้ามาตามตรง ว่าเจ้าส่งเสื้อผ้าของจิ่นเกอไปให้คนอื่นแล้วกี่ชุด…”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ถามอะไรกันเจ้าคะ… ส่งไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์สองสามชุด ส่งไปให้นายหญิงสี่สกุลถังสองชุด แล้วก็ส่งไปให้องค์หญิงหย่งอานสองชุด…”
พวกเขาสองคนพูดคุยหัวเราะกัน ทำให้สวีลิ่งอี๋ลืมเรื่องของหวังจิ่วเป่าไป
*****
เมื่อถึงเดือนแปด เยี่ยนจิงก็เริ่มมีฝนตกปรอยๆ
สืออีเหนียงมองดูเสื้อผ้าไหมสีน้ำเงินตัวใหม่ของสวีซื่ออวี้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “โชคดีที่ท่านพ่อของเจ้าเตือนข้า บอกให้นำตะกร้าเตรียมสอบและกระดาษสอบของเจ้าออกมาตากเมื่อเดือนหก ไม่เช่นนั้นคงจะแย่!” พูดต่อไปอีกว่า “ท่านโหวบอกว่า ตะกร้าเตรียมสอบและกระดาษสอบพวกนี้ทำให้เจ้าสอบผ่านระดับมณฑลและระดับเมืองหลวง ต่อไปพวกมันก็จะทำให้เจ้าสอบผ่านการสอบเซียงซื่อและการสอบฮุ่ยซื่อด้วย”
ใกล้จะสอบแล้ว นางอยากพูดให้กำลังใจสวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร แววตาของเขาเป็นประกาย
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ค่อยชินกับการที่สืออีเหนียงพูดเช่นนี้ต่อหน้าบุตรชายตัวเอง เขากระแอมเบาๆ แล้วพูดอย่างเรียบเฉย “เอาล่ะ นี่ก็สายแล้ว คารวะท่านแม่เสร็จเจ้าก็ออกไปได้แล้ว ประเดี๋ยวผู้คนแห่กันมา ถนนติดขัด ฝนก็ตก ยังต้องเดินไปสนามสอบอีก” จากนั้นก็พูดกับสวีซื่อจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปส่งพี่ชายของเจ้าที่สนามสอบกับพ่อบ้านไป๋เถิด!”
สองพี่น้องโค้งคำนับแล้วขานรับ “ขอรับ” อย่างเชื่อฟัง
จิ่นเกอวิ่งเข้าไป
เขาจับมือสวีซื่ออวี้แล้วเบิกตากว้าง “ข้าไปด้วย!”
สวีซื่ออวี้หัวเราะ
เขาโน้มตัวลงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “รอให้เจ้าโตกว่านี้แล้วค่อยไป!”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปอุ้มเขา “พี่ชายของเจ้ามีธุระ อย่ารบกวนเขาเลย ประเดี๋ยวแม่เล่านิทานให้เจ้าฟัง”
จิ่นเกอถึงวัยที่ฟังนิทานแล้ว เขาเหมือนกับสวีซื่อเจี้ย เล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนปากเปียกปากแฉะก็ไม่ยอมหยุด
ถึงแม้ไม่ดึงดันที่จะไปด้วย แต่จิ่นเกอก็เบะปาก ทำท่าทีไม่พอใจ
สืออีเหนียงกลัวว่าเขาจะทำให้สวีซื่ออวี้ไม่สบายใจ จึงรีบเร่งสวีซื่ออวี้ให้ออกไป “ข้าให้จู๋เซียงพาพวกเจ้าไปหาท่านย่าดีกว่า ท่านย่าเองก็เป็นห่วงเรื่องการสอบของเจ้า ตอนนี้ท่านน่าจะตื่นแล้ว!”
สวีซื่ออวี้ขานรับ “ขอรับ” แต่กลับไม่เดินออกไปทันที เขาถามจิ่นเกอ “เจ้าชอบทานอะไร ประเดี๋ยวขากลับข้าจะซื้อมาฝากเจ้า!”
จิ่นเกอไม่เคยทานของข้างนอกมาก่อน เขาไม่เหมือนสวีซื่อเจี้ยตอนเด็ก แค่ลูกกวาดเม็ดเดียวก็ทานอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเลือกทาน แต่เขาก็ไม่เคยเจาะจงว่าจะทานอะไร
เขาเอียงหัวครุ่นคิดอยู่ตั้งนาน มองไปที่สืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ทานปลากรอบขอรับ!”
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ
อาหารเช้าวันนี้ก็มีปลากรอบ
หลังจากหัวเราะเสร็จ สวีซื่ออวี้ก็พูดอย่างจริงจังว่า “หอชุนซีน่าจะมีปลากรอบ ข้าออกมาจากสนามสอบแล้วจะไปซื้อให้เจ้า!”
จิ่นเกอยิ้มแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋พูด “เจ้าตั้งใจสอบเถิด บอกให้บ่าวรับใช้ไปซื้อปลากรอบมาให้เขาก็ได้”
พวกเขาสองพ่อลูกไม่ได้จะโกหกจิ่นเกอ
สืออีเหนียงพลันโล่งใจ
สิ่งที่นางกลัวมากที่สุดก็คือผู้ใหญ่เห็นว่าเด็กยังเล็ก คิดว่าเด็กไม่รู้เรื่องอันใดก็ให้คำสัญญาสุ่มสี่สุ่มห้า สุดท้ายก็ไม่ทำตามสัญญา เมื่อเวลาผ่านไป เด็กจะไม่มีความไว้วางใจต่อผู้ใหญ่
หลังจากสวีซื่ออวี้สอบเสร็จ เขาก็ซื้อปลากรอบกลับมาให้จิ่นเกอจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่จิ่นเกอนอนหลับไปแล้ว
สวีซื่ออวี้พูดด้วยความรู้สึกผิด “เดิมทีจะกลับมาเร็วกว่านี้ แต่ว่าพี่ใหญ่ฟังนั้นรอข้าอยู่นอกสนามสอบ ลากข้าไปดื่มชาด้วยขอรับ…แล้วยังมีสหายของเขา ข้าจึงบอกให้ซือจู๋กลับมารายงาน…เดิมทีอยากมอบให้เขาด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะคุยกันนานขนาดนี้…”
พอจะจินตนาการตามได้
เหมือนกับการรวมตัวกันในวันที่สองหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ ไม่ว่าจะสอบได้ดีหรือว่าไม่ดีก็ล้วนแต่รู้สึกโล่งใจ สำหรับจะสอบติดหรือว่าซ้ำชั้น นั่นคือเรื่องของอีกสองวันข้างหน้า
นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้ามอบให้เขาพรุ่งนี้ก็ได้!”
สวีซื่ออวี้เอ่ยขอโทษแล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋ที่นั่งรอสวีซื่ออวี้กลับมาอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างวางหนังสือในมือลงแล้วพูดว่า “เขาสนิทสนมกับฟังทั่นฮวาตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ก่อนหน้านี้บอกให้คนเฝ้าอยู่หน้าประตู หากสวีซื่ออวี้กลับมาแล้วก็ให้เขาเข้ามาคารวะ แต่เจอกับสวีซื่ออวี้แล้วเขากลับไม่พูดอะไรสักคำ
สืออีเหนียงยิ้มออกมา
“อวี้เกอก็สนิทสนมกับฟังทั่นฮวาตั้งนานแล้วนี่เจ้าคะ!” นางพูดต่ออีก “แต่แค่เรื่องภรรยาของฉินเกอ พวกเขามีจุดยืนไม่เหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้สองสกุลกลับมาคืนดีกันแล้ว พวกเขาจึงยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรอีก
จิ่นเกอตื่นขึ้นในวันต่อมา เห็นถุงปลากรอบวางอยู่บนหัวเตียง เขาก็งุนงง
“คุณชายน้อยสองซื้อมาจากหอชุนซี ซื้อมาให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ” แม่นมกู้รีบพูด “เขานำมาให้เมื่อคืนแต่ท่านนอนหลับไปแล้ว”
จิ่นเกอดีใจ ถือปลากรอบวิ่งไปยังห้องของสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านแม่ พี่สองซื้อปลากรอบให้ข้าขอรับ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มเขา “ประเดี๋ยวอย่าลืมขอบคุณพี่สองของเจ้า!”
จิ่นเกอพยักหน้า เจอกับสวีซื่ออวี้เขาก็เอ่ยขอบคุณอย่างรู้ความ
“ไม่ต้องเกรงใจ!” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
มีสาวใช้วิ่งเข้ามา “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินสองถามว่าคุณชายน้อยสองมาคารวะท่านหรือยัง หากคารวะแล้ว เชิญคุณชายน้อยสองไปที่เรือนเสาหวาประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะพูดจบก็มีสาวใช้อีกคนหนึ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ พี่อวี้ป่านของไท่ฮูหยินมาถามว่า คุณชายน้อยสองคารวะท่านหรือยัง หากคารวะแล้ว เชิญคุณชายน้อยสองไปหาไท่ฮูหยินประเดี๋ยวเจ้าค่ะ!”
เมื่อวานสวีซื่ออวี้กลับมาดึกจนเกินไป ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองจึงไม่ได้รอเขา
พวกนางคงจะเป็นห่วงเรื่องการสอบของสวีซื่ออวี้กระมัง
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นมา
แต่สวีลิ่งอี๋ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางยิ้มแล้วบอกสวีซื่ออวี้ “รีบไปเถิด อย่าให้ไท่ฮูหยินและท่านป้าสองรอนาน!”
สวีซื่ออวี้ตอบรับแล้วเดินออกไป
ผ่านไปสองสามวันก็มีข่าวมาจากศาลว่าการ บอกว่าสวีซื่ออวี้สอบได้อันดับที่เก้า
เขากลายเป็นลูกศิษย์ของราชวงศ์ต้าโจว ไม่เพียงแต่สามารถไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษา ยังได้รับข้าวหกกระสอบทุกเดือนอีกด้วย