ณ ริมฝั่งน้ำ เฮ่อเหลียนเวยเวยหลับใหลอยู่ในโลงศพไม้ภายใต้การเรียงตัวของดาราทั้งเจ็ดดวง นางสวมเสื้อคลุมโบราณสีแดงสด ใบหน้ารูปไข่ของนางละเอียดอ่อนและงดงาม ดูราวกับไม่รับรู้ถึงความเป็นไปของโลกแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นชายชุดขาวที่ก้มหน้ามองนางอยู่ก็งอนิ้วเข้าหากัน มุมปากของเขากระตุกขึ้น น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยความเย็นชา ”น่าสมเพชจริงๆ แค่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนางก็ยังจัดการไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“นายท่าน ให้ข้าไปจัดการกับมันแทนดีไหมขอรับ” เด็กชายตัวน้อยที่มีขวดน้ำเต้าอยู่บนศีรษะเดินเข้ามาหา แม้เขาจะแบกโครงกระดูกขนาดใหญ่เอาไว้บนหลัง แต่เด็กชายก็ดูจะไม่สะทกสะท้านกับน้ำหนักของวัตถุขนาดใหญ่ที่ตัวเองแบกเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าด้านข้างของชายชุดขาวเป็นดั่งภาพวาดแห่งความสงบเยือกเย็น เขาไอออกมาเบาๆ สองสามครั้ง ”ไม่จำเป็น เจ้าอยู่ที่นี่และคอยดูแลเพลิงแห่งความเคียดแค้นนี้เอาไว้ ระวังอย่าให้มันมอดดับได้ ข้างนอกนั่นมีวิญญาณอาฆาตอยู่ถึงสองตน หากวิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังที่สุดในภพมารรวมพลังเข้าด้วยกันละก็ ชะตากรรมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมมีแต่ต้องก้าวเท้าลงสู่ยมโลกเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง”
นอกเขตอาคม เงาร่างสีดำกระโดดขึ้นไปอยู่เหนือกำแพงด้วยความว่องไว รูปร่างของเขาดูราวกับสายหมอกที่ล่องลอยไปตามโถงทางเดินของวังหลวง
ขันทีที่ทำหน้าที่เดินยามกะกลางคืนต่างคิดว่าตัวเองตาฝาดเมื่อเห็นภาพนี้ และพากันขยี้ตาอย่างต่อเนื่อง แต่ทันทีที่พวกเขาตั้งใจมองดูอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าอันที่จริงนั่นเป็นร่างของชายผมสีดำสนิทยาวเลยบ่าในชุดเสื้อคลุมสีดำ นัยน์ตาดำขลับเรืองแสงวาบทันทีที่หันมองไปทางตำหนักเย็น ทั่วร่างของเขาแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือกออกมา
แต่เพียงแค่กะพริบตา ร่างนั้นก็พลันหายวับไป เหลือไว้ก็แต่เพียงทิวทัศน์ยามค่ำคืนอันมืดมนเท่านั้น
ขันทีเหล่านั้นเผลอพึมพำกับตัวเองว่าพวกเขาคงจะถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาขนลุกไปทั้งตัว
ในเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจว่าตัวเองจะสร้างความวุ่นวายให้กับวังหลวงมากเพียงใด นัยน์ตาดำขลับของเขาหดเข้าหากันในขณะที่จ้องมองไปยังเขตอาคมที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเขาจึงก้าวขาเดินตรงไปยังแม่น้ำ…
แกร๊ง!
เสียงระฆังโลหะอันแจ่มชัดดังกังวานตัดผ่านอากาศราวกับเม็ดฝนกระทบผิวน้ำเงียบสงบ เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายออกไปพร้อมกับบรรยากาศอันน่าขนลุกอย่างสุดแสน
“ฮิๆ…” น้ำเสียงอันเยาว์วัยแต่กลับฟังดูชั่วร้ายเหนือคำบรรยายดังมาจากความมืด ”ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกพบเร็วถึงเพียงนี้”
เด็กชายสองคนปรากฏตัวขึ้นจากความมืดสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อสีเขียวกับกางเกงสีแดง ใบหน้าของพวกเขาไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ส่วนเสียงนั้นก็ฟังดูแผ่วเบาราวกับบ่อน้ำอันเงียบสงบ ”เป็นวิญญาณที่ดีทีเดียว น่าเสียดายที่นายท่านสั่งไม่ให้พวกข้ากินมนุษย์ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงได้กลายเป็นอาหารรสเลิศของพวกข้าแน่”
“ย่วน เจ้าไม่ต้องกังวลไป หลังจากฆ่าเขาแล้วพวกเราค่อยลิ้มรสเขาก็ยังไม่สาย! แม้ข้าจะชอบเลือดหญิงสาวมากกว่าเลือดชายหนุ่ม แต่ชายคนนี้ก็ดูน่าอร่อยทีเดียว” เด็กคนนั้นหันศีรษะกลับมา เผยให้เห็นโพรงปากกลวงโบ๋สีดำสนิท คำพูดที่ออกมานั้นราวกับว่าไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากปากของพวกเขา ภาพนั้นน่าสยดสยองเสียจนทำให้คนที่เห็นหายใจแทบไม่ออก…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันใบหน้าหล่อเหลาของเขาไปด้านข้าง ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”หลีกไป”
เด็กชายที่ชื่อย่วนตวัดดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดมองตรงไปที่เขาทันทีที่ได้ยินคำพูดสองคำนั้น
จากนั้น เขาก็สะบัดข้อมือครั้งหนึ่ง ระฆังสัมฤทธิ์ดังขึ้นเสียงดังฟังชัด เสียงนั้นก้องกังวานอยู่ในความมืดยามค่ำคืนราวกับเสียงโหยหวนของดวงวิญญาณจากขุมนรก
ความมืดโรยตัวลงมาปกคลุมจากเบื้องบนพร้อมกับอุณหภูมิโดยรอบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สายลมเย็นหมุนเข้าหากัน ก่อนรวมตัวกลายเป็นอสรพิษลวงตาที่พุ่งตรงเข้าใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันหวังจะฝากรอยเขี้ยวไว้บนตัวเขา!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถีบตัวขึ้นด้วยความว่องไว เสื้อคลุมสีดำตัวยาวของเขาปลิวไสวอยู่ในสายลมอย่างรวดเร็ว ยากที่ใครจะมองตามการเคลื่อนไหวของเขาได้ทัน
แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังถือว่าเชื่องช้าสำหรับวิญญาณอาฆาตของเด็กชายที่ชื่อย่วน ”ฮึ่ม มนุษย์หน้าโง่ เจ้าอย่าได้ประเมินตัวเองสูงนัก! ลืมตาขึ้นมาดูให้ดีซะว่าพวกข้ามันคนละชั้นกับเจ้า!”
ฟิ้ว!
อสรพิษจำนวนมากพุ่งออกมาจากรัง ลิ้นสีแดงสดของพวกมันส่งเสียงขู่ฟ่อตอนที่มันกัดลงบนหลังมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างแรง คิ้วหนาของเขาเลิกขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่เริ่มช้าลงทีละน้อย แต่เขากลับไม่ได้หยุดเท้า แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับเดินตรงไปทางเขตอาคมอย่างไม่คิดจะหยุด เสื้อคลุมสีดำตัวยาวของเขาสะบัดไปมา เลือดสดๆ หยดลงบนพื้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นดวง สีของเลือดที่สาดกระเซ็นนั้นบีบหัวใจพอๆ กับสีสันอันสดใสของมัน
วิญญาณอาฆาตดวงนั้นหัวเราะเย้ยหยันออกมา ”ยังขยับได้อีกหรือ แต่น่าเสียดาย… ที่นี่คือจุดจบของเจ้า! กลืนเขาลงไปซะ!”
ฟุ่บ!
ฝูงงูสีดำพุ่งเข้ามาอีกระลอก แต่ครั้งนี้มาจากรอบพื้นดินที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ พวกมันพันรอบร่างกายของเขาด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และแฝงไปด้วยความหยิ่งยโส พวกมันรัดรอบตัวและบีบร่างของเขาแน่นพลางฉีกกัดเนื้อของเขาไปพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันนั้นพวกมันก็ยังฉีดพิษเย็นสุดขีดเข้าไปในเส้นเลือดของเขา พิษนั้นทำให้อากาศไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงหัวใจของเขาได้ ส่งผลให้มีเลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกมาจากปากของเขา
“อา ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก” วิญญาณอาฆาตหัวเราะ ”แม้แต่เลือดของเขาก็ยังสดใหม่ถึงเพียงนี้ เจ้าว่าอย่างไร ย่วน?”
เสียงหัวเราะหยาบคายดังขึ้นแทนคำตอบ เสียงนั้นฟังดูน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก ”อันที่จริงข้าอยากลองชิมด้วยตัวเอง…”
“แต่ตอนนี้มันคงถึงเวลาจบชีวิตแล้ว!” ภาพของวิญญาณอาฆาตตาสีแดงก่ำที่กำลังอ้าปากกลวงโบ๋นั้นช่างน่าขนลุกจนสุดจะบรรยาย
แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นกลับเป็นอสรพิษสีดำสนิทที่พันอยู่รอบร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พวกมันรัดรอบตัวเขาแน่นราวกับเสียสติจนกระทั่งเขาล้มลงไปกับพื้น แม้ร่างของเขาจะไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่อสรพิษสีดำเหล่านั้นก็ยังไม่คิดที่จะหยุดเคลื่อนไหว
“เอาล่ะ อ่อนโยนกับเขาหน่อย อย่ากินเขาหมดล่ะ เหลือให้ข้ากับย่วน…” แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวดังขึ้น!
ทันใดนั้น ขนนกสีดำกลุ่มใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พร้อมกับนกขนาดยักษ์ที่โผบินขึ้นสู่อากาศ ในเวลาเดียวกันนั้น หมอกสีดำก็เริ่มแผ่กระจายออกไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในไม่ช้า
“ย่วน ฟังสิ นั่นเสียงอะไรน่ะ” วิญญาณอาฆาตที่มีศีรษะใหญ่กว่าหันหน้าไปถามผู้เป็นน้องชาย
ย่วนไม่มีเวลาได้ฟัง เพราะทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเต้นตุบๆ อยู่ในเส้นเลือดและพยายามที่จะหาทางออกไป อาการนี้เกิดขึ้นไปทั่วร่างกายของเขา
ตุ้บ…
ตุ้บ…
ตุ้บ!
ราวกับได้รับผลจากแรงแม่เหล็กอันไร้ที่มา การสั่นสะเทือนอันทรงพลังนั้นก็ลุกลามไปทั่วช่องอกของเขา
เขาเงยใบหน้าขาวซีดของตัวเองขึ้น ดวงตาของเขามีแสงสีฟ้าจางๆ สว่างวาบขึ้นมา พลังนั้นทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปทั่วร่าง ”ท่านพี่ ค ใคร… อยู่ที่นั่น”
วิญญาณอาฆาตยื่นมือออกไปกอดเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าที่เคย ”นอกจากชายที่รนหาที่ตายคนหนึ่ง ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว”
“ต แต่… ทำ ทำไม…” ย่วนสัมผัสได้ถึงรสคาวหวานของเลือดที่อยู่ในลำคอขณะที่มันค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปากของเขา แต่ดวงตาของเขากลับดูราวกับถูกบดบังจนมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ”ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของชายคนนั้นขอรับ”
“ชายคนนั้นหรือ” พลังปีศาจของผู้เป็นพี่นั้นอ่อนแอกว่าน้องชาย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดนอกจากความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ในอกเท่านั้น เขาสัมผัสอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ”ชายคนนั้นคือใครหรือ”
ย่วนหลับตาลงอย่างช้าๆ และพักร่างอันอ่อนแรงของเขาลงกับพื้น ริมฝีปากบางของเขาซีดเซียว และดวงตาของเขาก็สั่นไหวด้วยความไม่เชื่อ ”เขาคือ… องค์ราชา…ที่พวกเราเทิดทูนที่สุดขอรับ”