เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนกลับพบว่า ใต้ขอบตากลับดำคล้ำเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหลับไม่สนิท
จึงรู้สึกสงสารอยู่บ้าง
นับตั้งแต่พิษเย็นในร่างกายของหนิงเซ่าชิงถูกขจัดออกไป นางก็ไม่เคยเห็นเขามีรอยดำคล้ำใต้ขอบตาอีกเลย
แต่ก่อนตอนที่กลับมาจากหมู่บ้านหวังจยา ก็ไม่ได้นอนหลายวันเช่นกัน แต่กำลังวังชาของเขายังคงเต็มเปี่ยม
คิดว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้นอนทั้งคืน นั่นก็คือไม่ได้นอนมาหลายวัน ถึงได้เป็นเช่นนี้
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยมีความรู้สึกเจ็บปวดทะลักขึ้นมา เอ่ยเสียงเบา “ขอโทษ!”
หนิงเซ่าชิงออกแรงบีบมือเล็กน้อย โดยไม่มองนาง “เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องกล่าวคำพวกนี้”
ต้องรู้จักรักและทะนุถนอมบุรุษของตนเอง! หนิงเซ่าชิงไม่ใส่ใจ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับคิดว่ารอยกน้ำชาวันนี้เสร็จ จะต้องเคี่ยวน้ำแกงให้เขาบำรุงพลังหยวนชี่ สักหน่อย
ตลอดทาง ระเบียงทางเดินทอดตัวยาว สะพานคดเคี้ยว ทางเดินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ล้วนมีหมด การนั่งเสลี่ยงไปนั้นทั้งเร็วและมั่นคง เห็นได้ชัดเลยว่าข้ารับใช้ที่ยกเสลี่ยงไม่ใช่ข้ารับใช้ธรรมดา ล้วนเป็นผู้มีกำลังภายในติดตัวเล็กน้อย
ในไม่ช้าก็ถึงห้องโถงหลักในเรือนใหญ่ตระกูลหนิง
หนิงเซ่าชิงปล่อยมือมั่วเชียนเสวี่ย แล้วลงจากเสลี่ยง ความสุภาพอ่อนโยนบนใบหน้าหายไป และถูกแทนที่ด้วยความเฉยชาที่เหินห่างนานแล้ว
ซุนหมัวมัวกับจื่อจิงก็ประคองมั่วเชียนเสวี่ยลงจากเสลี่ยงอีกด้านหนึ่ง
หนิงเซ่าชิงเดินนำอยู่ข้างหน้า ซุนหมัวมัวกับจื่อจิงประคองมั่วเชียนเสวี่ยเดินอยู่ด้านหลัง ก้าวเข้าไปในห้องโถงทีละก้าวๆ
ห้องโถงใหญ่มาก แต่ตอนนี้กลับดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อทอดสายตามองไป ข้างในบ้างนั่งบ้างยืน มีหลายสิบคนได้ ดูจากการแต่งกายส่วนใหญ่ล้วนเป็นเจ้านาย
ข้ารับใช้มีเพียงแค่ฉือหมัวมัว บ่าวชราที่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่ากับสาวใช้สองสามคนที่รับผิดชอบยกน้ำชาในงาน ห้องโถงใหญ่มาก เข้าไปด้านในสามฉื่อ[1] จื่อจิงก็ปล่อยมือที่ประคองมั่วเชียนเสวี่ย แล้วถอยกลับไปยืนข้างประตู
หนิงเซ่าชิงไม่ได้หยุดเท้า มั่วเชียนเสวี่ยตามติดอยู่ด้านหลังโดยไม่มีการหยุดเดินเพราะการปล่อยมือจากจื่อจิง ยังคงเดินด้วยความเร็วเท่าเดิม นางรู้ว่าตระกูลใหญ่ยอมมีกฎระเบียบของตระกูลใหญ่
ภายในห้องโถงที่เต็มไปด้วยเจ้านาย หากไม่อนุญาต ไหนเลยจะมีที่ให้สาวใช้ยืน
ฮูหยินผู้เฒ่ากับหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนแยกกันนั่งในตำแหน่งประธานซ้ายขวา
หนิงเซ่าชิงเดินจนถึงด้านหน้าตำแหน่งที่นั่งประธานถึงได้หยุดทำความเคารพยามเช้า
หนิงเซ่าชิงขอบตาดำคล้ำ มั่วเชียนเสวี่ยกลับแต่งองค์ทรงเครื่องเสียงดงาม สีแดงระเรื่อบนใบหน้านั้นขัดหูขัดตาฮูหยินผู้เฒ่าทันที
นางจับมือหนิงเซ่าชิง เรียกหลานชายให้นั่งลงด้วยน้ำเสียงเกรงใจเจือสงสารเล็กน้อย ทั้งยังมองมั่วเชียนเสวี่ยแวบหนึ่งโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
ประกายดุร้ายในแววตาพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ฐานะของฮูหยินผู้เฒ่าสูงสุด ผู้ที่มั่วเชียนเสวี่ยจะคารวะน้ำชาเป็นคนแรกย่อมเป็นฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อหนิงเซ่าชิงนั่งลงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็เดินไปยังตำแหน่งที่หนิงเซ่าชิงยืนอยู่เมื่อครู่ ฉือหมัวมัววางเบาะนั่งตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าลง
สาวใช้ยกน้ำชามาปรนนิบัตินานแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยโขกศีรษะทำความเคารพสามครั้ง “หลานสะใภ้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
คารวะเสร็จ ก็ยืดตัวขึ้นรับน้ำชามา มือสองข้างประคองถ้วยชาไว้เหนือศีรษะ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
“เชิญท่านย่าดื่มชาเจ้าค่ะ”
“อืม เด็กดี!”
ฮูหยินผู้เฒ่าแสร้งทำตัวเป็นคนดีมาโดยตลอด ตอนนี้ยังต้องทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนกับหนิงเซ่าชิง แม้ว่าในใจจะอยากอาเจียนมากเพียงใด ไม่พอใจมั่วเชียนเสวี่ยมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถสร้างความอับอายให้นางในสถานการณ์เช่นนี้ได้
แม้ว่าเมื่อวานหนิงเซ่าชิงจะปล่อยตัวทำตามความปรารถนาเต็มที่ นางก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาในต่อหน้าธารกำนัล
ไม่ต้องกล่าวเลยว่า นางที่เป็นผู้ชราอายุปูนนี้กล่าวถึงเรื่องนี้ จะทำให้ผู้คนประณาม ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางไม่มีทางให้คนนอกเข้าใจผิดว่าหลานชายของนาง…หัวหน้าตระกูลหนิงคนใหม่เป็นคนมักมากในตัณหา
นางไม่สามารถและไม่กล้านำเรื่องศักดิ์ศรีและอนาคตมาล้อเล่น
นางรับชามา ในใจก็ตำหนิมั่วเชียนเสวี่ย สตรีที่ใช้ความงดงามให้บุรุษลุ่มหลงที่ไม่รู้จักเอาใจใส่และน่าไม่อาย แต่ใบหน้ากลับเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “เซ่าชิงยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในตระกูล หลานสะใภ้ควรจะเพิ่มการปรนนิบัติ…”
การให้โอวาทเรื่องเตือนหญิง[2] เป็นวาจาซ้ำซากน่าเบื่อ มั่วเชียนเสวี่ยฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าน้อมรับคำสั่งสอน ปากก็เอ่ยวาจาให้เกียรติ “ขอบคุณท่านย่าที่อบรมสั่งสอน หลานสะใภ้จะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าปล่อยผ่านนาง แต่คนอื่นกลับถูกคนหลอกใช้อย่างน่าเจ็บปวด
“คู่หนุ่มสาวที่เพิ่งจะแต่งงานกัน แม้ว่าความสัมพันธ์จะดีมาก แต่ก็ต้องรู้จักควบคุมบ้าง”
คนที่เอ่ยปากคือสตรีที่นั่งอยู่ฝั่งซ้าย นางสวมอาภรณ์สีม่วง แสดงสีหน้าที่นึกว่าตนเองฉลาดออกมาอย่างโง่งม
หนิงเซ่าชิงกวาดสายตาเย็นชามองไป สีหน้าของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนพลันไม่สบอารมณ์
ภายในห้องโถงมีคนที่ไม่ค่อยรู้จักฐานะตนเอง เห็นว่ามีเรื่องสนุกให้ดู ก็อ้าปากคิดจะเอ่ยปากสำทับ แต่รู้สึกได้ถึงประกายเย็นเยียบจึงไม่ได้เอ่ยออกมา เพียงแค่ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปิดบังพอเป็นพิธี
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ยากที่จะยุติ
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงคล้อยตาม มั่วเชียนเสวี่ยจึงเพิกเฉยไปโดยปริยาย
นางเตรียมใจมาเรียบร้อยแต่แรกแล้ว ในใจก็รู้สึกสงสารหนิงเซ่าชิง ตอนนี้ยังไม่อึดอัดใจ และไม่ไปคิดเล็กคิดน้อย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพียงแค่ปรายตามองนางผ่านๆ แวบหนึ่ง
คำพังเพยกล่าวได้ดี สุนัขกัดไม่เห่า[3] คนผู้นี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ได้มีสติปัญญาในการตรึกตรองปัญหามากนัก เป็นเพียงแค่คนที่ถูกหลอกใช้เท่านั้น
สามารถถูกคนหลอกใช้ได้ ก็สามารถถูกตนเองหลอกใช้ได้เช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าทำท่าทางเหมือนจิบชาพอเป็นพิธี แล้ววางถ้วยชาลง ยิ้มอย่างมีเมตตามาก ส่งสายตาไป ฉือหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างก็ยกถาดมงคลที่ห่อด้วยผ้าสีแดงเข้ามา
ด้านบนมีเตือนหญิงเล่มหนึ่ง เหอเปาถุงหนึ่ง กำไลข้อมือคู่หนึ่งและหยกประจำกาย ของขวัญสี่อย่าง
มั่วเชียนเสวี่ยรีบรับมาแล้วคารวะขอบคุณ
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางลุกขึ้น
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น ส่งถาดมงคลให้ซุนหมัวมัว
แล้วหันไปทางหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน คุกเข่าโขกศีรษะ
การโขกศีรษะนี้ นางโขกด้วยความยินยอมพร้อมใจ ดังยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนรับชามา รีบจิบคำหนึ่ง พร้อมกับวางของขวัญที่เตรียมเอาไว้แต่แรกลงบนถาดมงคลในมือซุนหมัวมัว เขายกมือขึ้น “เด็กคนนี้ซื่อสัตย์จริงใจจริงๆ รีบลุกขึ้นเถอะ”
ยกน้ำชาคารวะผู้เป็นแกนหลักของตระกูลหนิงทั้งสองคนเรียบร้อย ก็ถึงคราวทุกคนที่อยู่ในห้องโถงแล้ว
คนในตระกูลหนิงที่มีฐานะเหล่านี้ นางทำความเข้าใจชัดเจนจากคำอธิบายของจื่อจิงเรียบร้อยแล้ว ขาดแค่จับคู่ชื่อกับหน้าตา แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะมอบจื่อจิงให้นาง แต่จื่อจิงย่อมเป็นคนที่มีความคิดความอ่านดี และรู้ความมากคนหนึ่ง
นางพอจะรู้อุปนิสัยของแต่ละคนเล็กน้อย
ในรุ่นของฮูหยินผู้เฒ่า สตรีที่ท่านปู่ของหนิงเซ่าชิงทิ้งเอาไว้ นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คนที่มีฐานะยังมีฮูหยินอนุภรรยาอีกสองนาง…อิ๋งฮูหยินผู้เฒ่ากับอวี่ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นอนุภรรยาทั้งสองคน ปกติล้วนอยู่ในห้องพระ หากไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ก็จะไม่ออกงาน
มั่วเชียนเสวี่ยแต่งเข้ามา ก็เป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูล ผู้ใหญ่และเด็กที่มีงานหรือไม่มีงานในจวน ขอเพียงแค่มีฐานะล้วนจำเป็นต้องมาร่วมงาน ในรุ่นของหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน เซี่ยซื่อตายแล้ว กุ้ยเสี่ยวซีก็สิ้นใจเช่นกัน หนิงเซ่าอวี่ถูกเนรเทศ สายตรงมีเพียงแค่ครอบครัวหนิงเซ่าชิงเท่านั้น
ด้วยฐานะของหนิงเซ่าชิง นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากับหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อน มั่วเชียนเสวี่ยไม่จำเป็นต้องคุกเข่าทำความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นอนุภรรยาทั้งสองคนและทุกคนที่อยู่ที่นี่อีก
สุดท้ายก็มีลำดับอาวุโสกั้นอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยย่อตัวทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นอนุภรรยาทั้งสองคน
ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นอนุภรรยาสองคนไม่กล้ารับ ล้วนเอียงกายเล็กน้อย ตามกฎแล้ว การพบกันในครั้งหน้า ก็จะถึงคราวที่พวกนางต้องทำความเคารพมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว
[1] ฉื่อ เป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งฉื่อเท่ากับสิบนิ้ว
[2] เตือนหญิง เป็นหนึ่งในวรรณกรรมสอนสตรีของจีนที่โดดเด่น ประพันธ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
[3] สุนัขกัดไม่เห่า หมายถึง คนที่โอ้อวดว่าตนเก่ง หรือปากเก่ง แต่พอเอาเข้าจริงก็หวาดกลัวไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า