หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1391 คำสาปของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง

บทที่ 1391 คำสาปของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
สาเหตุที่บอกว่านี่คือความจริงใจก็เพราะในค่ำคืนนี้ เจ้าสามอารมณ์นั้นไม่กล้าทำอะไร หากลงมือจะต้องถูกเจ้าแห่งปรารถนาเสียงจับได้แน่ ดังนั้นการพบหน้าที่ดูเหมือนจะอันตรายนี้จึงไม่ใช่วิกฤตสำหรับหวังเป่าเล่อ
ความจริงแล้วต่อให้เขาไม่มีคุณสมบัติของร่างจริง ชั่วขณะที่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง เขาก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลทางอารมณ์พวกนั้นได้เช่นกัน
หวังเป่าเล่อยืนอยู่นอกบ้าน ไม่ได้เลือกก้าวเข้าไป ตอนนี้เขามองออกแล้วว่าทั้งนอกและในบ้านไม้หลังนี้เหมือนกับโลกสองใบ เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ทั้งสามท่านนี้สร้างออกมา แล้วบังคับให้ปรากฏขึ้นในยามราตรี ทั้งยังแฝงเร้นการปกปิดระดับสูงมากเอาไว้ ทำให้วิชาปรารถนาเสียงไม่อาจตรวจจับได้
แต่ทันทีที่ตนก้าวเข้าไปในบ้านไม้ ก็จะเท่ากับว่าก้าวเข้าสู่ภายในเขตแดนของทั้งสามแล้ว
“เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้นนี่นา ตัวเป็นร่างแยก เจ้าเศร้าเสียใจมากใช่หรือไม่”
“น่าสนใจ ดังนั้นก็หมายความว่า เจ้าสวาปามต่อสู้กับเจ้าปรารถนาเสียงก็เพื่อเจ้าหรือ”
“ฮึ…”
เสียงของทั้งสามดังออกมาจากในบ้านแล้วเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อ แต่ด้วยกลิ่นอายของคุณสมบัติร่างจริง อีกทั้งคนทั้งสามก็ยังควบคุมอารมณ์อยู่ ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางอารมณ์แบบก่อนหน้านี้
“ฝีมือยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ เอ่ยพูด เขาแน่ใจในคำตอบของคำถามสามข้อของเจ้าแห่งสุขได้ส่วนหนึ่งแล้ว บางทีเจ้าแห่งสุขอาจมีเป้าหมายอื่น แต่หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นการหลุดพ้นอย่างแน่นอน
ส่วนแผ่นหยกที่เจ้าแห่งสุขมอบให้แผ่นนั้น ในช่วงเจ็ดวันนี้หวังเป่าเล่อก็ได้ทำการศึกษาแล้ว เขาต้องยอมรับว่าเคล็ดวิชาในแผ่นหยกชิ้นนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถสะท้อนการกลืนกินได้
เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งสุขคาดเดาความกังวลของหวังเป่าเล่อได้ สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ในที่นี้ก็ย่อมรู้ดี ดังนั้นหลังจากเจ้าแห่งโกรธมองดูหวังเป่าเล่อพักหนึ่งจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เจ้ามีคำถามอะไร พวกข้าสามคนสามารถตอบได้”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม มองคนทั้งสามคราหนึ่ง ในใจเข้าใจผู้ฝึกตนระดับนี้ดีมาก เดิมทีพวกเขาก็ดูหมิ่นการโกหกอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเต๋าของทั้งสามยังขัดแย้งกับการโกหกด้วย
แต่ทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน ดังนั้นหลังจากเงียบไป หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ด้วยความสามารถของทั้งสาม มาเยือนกะทันหันเพื่อช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขในโอกาสนี้ ตามหลักเหตุผลแล้วก็มีโอกาสถึงแปดเก้าในสิบส่วน เหตุใดยังต้องการความช่วยเหลือจากข้าด้วยเล่า”
“ร่างเนื้อของเจ้าแห่งสุขอยู่ในยามค่ำคืน สำนึกรู้คิดอยู่ในโลกแห่งเสียง ถ้าหากเป็นอย่างแรก พวกข้ามีความมั่นใจอยู่สิบส่วนจริงๆ แต่อย่างหลัง…ร่างแปลงสองร่างของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงมีพลังหลักอยู่ในโลกแห่งเสียง พวกข้าจะถูกสยบให้อ่อนแอที่นั่น ความมั่นใจจึงมีเพียงห้าส่วน” เจ้าแห่งโกรธค่อยๆ เอ่ยพูด
“เดิมทีพวกข้าก็วางแผนจะฝืนทำเรื่องนี้แล้วล่ะ จะสำเร็จหรือไม่ แค่พยายามให้เต็มที่ก็พอ ตัวของเจ้าแห่งสุขเองก็คิดเช่นนี้ แต่การปรากฏตัวของเจ้าทำให้พวกข้ามองเห็นความหวังว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน”
“ดังนั้น พวกเราจำเป็นต้องให้เจ้าไปกลืนกินร่างแยกเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง ไม่ใช่ให้เจ้าไปยื้อเวลาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะอย่างหลังได้ผลไม่มากนัก แต่อย่างแรก…เมื่อเทียบกับการต่อสู้ของพวกข้า สิ่งที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงให้ความสนใจยิ่งกว่าการไม่ให้สำนึกรู้คิดของเจ้าแห่งสุขหลุดพ้น ย่อมเป็นการสูญเสียอำนาจของตนเอง”
“ดังนั้น หากเจ้าเข้าร่วมด้วย พวกข้าก็มั่นใจว่าต้องสำเร็จแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายนั้นเจ้าแห่งโศกเป็นผู้เอ่ยออกมา
“จะรับประกันได้อย่างไรว่าข้าจะกลืนกินร่างแยกของเจ้าปรารถนาเสียงสำเร็จ” หวังเป่าเล่อถามอีกครั้ง
“อันดับแรกถ้าหากเจ้าปรารถนาเสียงกลืนกินเจ้าแล้วเขารักษาตัวได้สมบูรณ์ ต่อให้พวกข้าช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขสำเร็จ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่า นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกข้าเลย และไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าต้องการด้วย”
“ดังนั้น การรับประกันว่าเจ้าจะกลืนกินสำเร็จแล้วทำให้เจ้าปรารถนาเสียงอ่อนแอตลอดกาลนั้นจึงเป็นเรื่องที่พวกข้าต้องกระทำอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เพื่อตัวของพวกข้าเอง”
“เพราะอย่างนั้น เรื่องจึงเกิดการพลิกผัน ไม่ใช่เจ้าปรารถนาเสียงที่มาหยุดพวกข้าไม่ให้ช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขก่อนแล้ว แต่เป็นพวกข้าที่หยุดยั้งร่างแปลงทั้งสองของนาง ไปขัดจังหวะการกลืนกินของนางแทน! ส่วนจะพิสูจน์ได้อย่างไร พวกข้าสามารถกล่าวคำสาบานด้วยเต๋าของตัวเองได้” เสียงของเจ้าแห่งโกรธดังก้องราวกับสายฟ้า เกิดเสียงสะท้อนขึ้นในบ้านไม้
หวังเป่าเล่อเงียบงัน หลังครุ่นคิดพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“จะรับประกันได้อย่างไรว่าเคล็ดวิชาย้อนกลับจะใช้งานได้”
“ยามที่ย้อนกลับ เจ้าไม่ได้ลงมือแค่คนเดียว แต่พวกข้าจะร่วมด้วย…” เจ้าแห่งโกรธพูดพลางก็ยกมือขวาขึ้นจับหน้าผากของตนทันที คล้ายจะดึงมันออกมา ก่อนโยนกลิ่นอายแห่งความโกรธเกรี้ยวมหาศาลที่แฝงเร้นอยู่ออกมารวมตัวกันเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าบนฝ่ามือ
ขณะเดียวกัน เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ละคนดึงส่วนหนึ่งของพลังตนเองออกมาก่อตัวเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า ทั้งสามคนมาอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ตัดการเชื่อมต่อระหว่างตัวเองกับเมล็ดพันธุ์เต๋า ทั้งยังลบรอยประทับของตัวเองบนเมล็ดพันธุ์เต๋าอีกต่างหาก
ทำให้เมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสามชิ้นกลายเป็นของบริสุทธิ์ไร้เจ้าของ ใครก็ตามที่ได้ไปล้วนสามารถใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสามเต๋านี้ได้
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ชั่วขณะต่อมา เจ้าแห่งโกรธก็โบกมืออีกครั้ง กลับมีเมล็ดพันธุ์เต๋าเมล็ดหนึ่งบินออกมา มันแผ่กลิ่นอายแห่งสุขเข้มข้น
นั่นก็คือเมล็ดเต๋าแห่งสุข
“เมล็ดเต๋าทั้งสี่ชิ้นนี้มอบให้เจ้าไปผสาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่เจ้าโคจรวิชากลืนกินย้อนกลับจะไม่ถูกก่อกวน การสยบยั้งจะทำให้ร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีบาดเจ็บหนัก ต้องสำเร็จแน่นอน!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกายแสงแรงกล้าออกมาทันที เขาได้ศึกษาเคล็ดวิชาย้อนกลับนั่นแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่าถ้าหากกฎเกณฑ์ของเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสี่ชิ้นนี้ผสานเข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตน เมื่อกฎเกณฑ์หกเต๋าส่งเสริมกัน การต่อกรกับร่างแปลงของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงที่บาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่งก็แทบจะไม่มีทางล้มเหลว
จะต้องสำเร็จแน่
เมื่อถึงจุดนี้ คำตอบและความจริงใจที่อีกฝ่ายมอบมาให้ก็เพียงพอแล้ว ตาชั่งในใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มเอนเอียง แต่เขายังไม่ได้ตัดสินใจในทันที ทว่าหลังจากนิ่งคิด เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“คำถามสุดท้าย ในเมื่อเจ้าปรารถนาเสียงมีเตาหลอมหลายคน เหตุใดไม่ครองร่างล่วงหน้าเล่า ทำไมต้องรอให้มีอันดับหนึ่งในการทดสอบแล้วถึงค่อยครองร่าง ทำเช่นนี้มันจะไม่ฟุ่มเฟือยหรือ”
คำถามนี้เป็นจุดสำคัญมาก และเป็นจุดที่ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจ
“นี่คือคำสาปที่ท่านเทพมอบให้กับเจ้าปรารถนาเสียง ให้นางต้องครอบงำร่างของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสามสำนักที่ตนสร้างมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล เพื่อสร้างความอัปยศให้นางที่เคยเลือกก้มหัวให้กับเทพเจ้าเพื่อปกป้องศิษย์ของตัวเอง”
“เทพเจ้า…ชอบทำแบบนี้”
“ในสายตาของเทพเจ้า เขาจะชื่นชมผู้ที่ไม่ยอมจำนน แต่ชอบเห็นความเจ็บปวดนิรันดร์ของผู้ยอมจำนนมากกว่า ตัวอย่างเช่นเจ้าปรารถนาเสียง เพื่อที่จะปกป้องศิษย์ นางจึงเลือกทรยศต่อมิตรภาพแล้วก้มหัวให้กับเทพเจ้า แล้วเทพเจ้าก็คิดว่านางควรแบกรับความเจ็บปวดของความโศกเศร้าทุกครั้งที่ต้องกลืนกินวิญญาณและจิตใจมุ่งมั่นจากชีวิตของศิษย์ที่นางต้องต้องการปกป้อง เป็นช่วงเวลานับอสงไขย”
“ทำลายความดีงามของเจ้า ทำลายจิตสำนึกที่ดีของเจ้า…นี่ก็คือเทพเจ้า”
“ดังนั้น การปรากฏตัวของเจ้า เมื่อได้เป็นอันดับหนึ่ง เจ้าปรารถนาเสียงจะต้องเลือกกลืนกินเจ้าแน่นอน เพราะว่า…ศิษย์เต๋าคนอื่นๆ นั้น ชาติก่อนของแต่ละคนล้วนเคยเป็นศิษย์ที่นางคิดทุ่มชีวิตเพื่อปกป้อง และศิษย์เช่นนี้มีเหลืออยู่ไม่มาก ช่วงหลายปีที่ผ่านมาถูกนางกินไปมากมายนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน
………………………………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท