เผชิญกับการต้อนรับที่อบอุ่นของสกุลเซี่ยง ทำเอาสืออีเหนียงนั่งไม่ติด หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ นางก็อ้างว่าเป็นห่วงจิ่นเกออยู่ที่เรือนคนเดียว จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
นายหญิงเซี่ยงไม่ได้รั้งนางไว้ ออกไปส่งสืออีเหนียงพร้อมกับนายหญิงเกา นายหญิงเกาจะประคองสืออีเหนียงขึ้นรถม้า “เราไม่ได้มีญาติเยอะ หากเจ้ามีเวลา ก็มานั่งเล่นที่จวนบ่อยๆ เถิด!” นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่รักและเอ็นดูราวกับมารดามองบุตรสาวของตัวเอง ท่าทางก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใหญ่ของผู้ใหญ่ พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
สืออีเหนียงพยายามไม่ทำสีหน้าตกใจ นางยิ้มแล้วจับแขนป้าซ่งที่ยื่นออกมา “นายหญิงเกาเกรงใจข้าเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่กล้ามาหาท่านอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
นายหญิงเกายิ้มแล้วดึงมือกลับไป
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็แอบรู้สึกนับถือในใจ นางเหลือบมองฮูหยินสองที่อยู่ข้างหลัง
ฮูหยินสองขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถม้า
หากตัวเองเจอเช่นนี้ ก็คงจะรู้สึกอึดอัดเหมือนกันกระมัง
ดังนั้น ทันทีที่กลับมาถึงตรองเหอฮวาหลี่ สืออีเหนียงก็รีบเดินขึ้นไปบนรถลากแล้วบอกป้ารับใช้ที่ติดตามมา “ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน!” แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนไท่ฮูหยินแล้ว นางกลับเปลี่ยนใจ “ไปหาท่านโหว!”
ป้ารับใช้งุนงง นางรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม จากนั้นก็ไปส่งสืออีเหนียงที่ห้องหนังสือลานข้างนอก
สวีลิ่งอี๋กำลังปรึกษาเรื่องของปีหน้ากับบรรดาผู้ดูแล
สองสามปีนี้ถึงแม้ว่าเขาจะพักผ่อนอยู่ที่จวน ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก แต่เขาก็ยังมีอำนาจ แล้วยังใช้คนเป็น รายได้ของจวนตอนนี้มากกว่าตอนที่คุณชายสามเป็นคนดูแลจวนตั้งสองเท่า เขาอยากเชื้อเชิญเถ้าแก่สองสามคนมาทานข้าวที่จวนในช่วงปีใหม่ของปีนี้ ถือว่าให้เกียรติพวกเขาที่ทำงานหนักเพื่อเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ได้ยินว่าสืออีเหนียงมาหา เขาก็แปลกใจ รีบกำชับบ่าวรับใช้ “เชิญฮูหยินไปนั่งที่ห้องหนังสือเล็ก จากนั้นก็ชงชาแดงฝูเจี้ยน บอกให้โรงครัวทำของว่างสองสามอย่าง!”
ผู้ดูแลสองสามคนก้มหน้าก้มตาลง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เขาพูด
สวีลิ่งอี๋ปรึกษาเรื่องงานกับพวกเขาต่อ
แต่เห็นได้ชัดว่าใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร
คนที่สามารถทำให้สวีลิ่งอี๋เป็นเช่นนี้ได้ ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
พ่อบ้านไป๋ยังไม่ทันได้ขยิบตาส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ข้างๆ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวขอรับ บ่าวคิดว่าเรื่องนี้เราต้องคิดให้รอบคอบ หรือว่าให้พวกบ่าวไปปรึกษากันก่อน หากมีวิธีแล้ว ค่อยให้ท่านโหวตัดสินใจก็ได้ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋เองก็คิดว่ามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป ปรึกษากันต่อไปเช่นนี้ก็คงไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่สู้ให้ผู้ดูแลที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ปรึกษากันให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า
เขาพูดขึ้น “อืม” เบาๆ จากนั้นก็เดินออกไปที่ห้องหนังสือเล็ก ปล่อยให้ผู้ดูแลสองสามคนนั้นหันมามองหน้ากันอยู่ในห้อง
*****
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างหน้าต่าง นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างสง่างาม แต่เมื่อสวีลิ่งอี๋นึกถึงเรื่องที่นางมาหาตัวเอง ซึ่งขัดกับพฤติกรรมปกติของนาง เขาก็คิดว่าตอนนี้นางต้องเป็นกังวลมากแน่นอน
ไม่รอให้ภรรยาพูดอะไร เขาก็เอ่ยปากไล่บ่าวรับใช้ในห้องออกไปจนหมด
ทำให้สืออีเหนียงไม่ต้องเสียแรงไล่เอง
นางถามสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว ตอนนั้นท่านบอกว่านายท่านสกุลเซี่ยงเป็นคนดี เพราะท่านเห็นว่าต่อไปเขาจะได้เป็นสมุหนายก? หรือเห็นว่าเขาเป็นคนมือขาวสะอาดเป็นขุนนางที่ดีคนหนึ่งเจ้าคะ?”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังคำถามแล้วก็แปลกใจ
แต่เมื่อเห็นสืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ อีกทั้งนางไม่เคยพูดเรื่องที่ไม่มีจุดประสงค์ เขาเลยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากจะบอกว่าเป็นสมุหนายก ก็ต้องมีโอกาสที่ดี หากจะบอกว่าเป็นคนมือขาวสะอาด เกรงว่าคงจะผ่านขุนนางระดับสามไปได้ยาก ตอนที่นายท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยงมีชีวิตอยู่ เขาทำให้ใครหลายคนไม่พอใจ นายท่านเซี่ยงอาจจะได้รับความเดือดร้อนจากนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยง นายท่านเซี่ยงจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นเก๋อเหล่าหรือว่าราชทูตตำแหน่งเล็กๆ คนที่สนิทสนมกับเขานั้นมีไม่น้อย หากเขาอยากประสบความสำเร็จคงต้องมีคนคอยยื่นมือช่วยเหลือ ข้าคิดว่าหากเขามีโอกาสมากพอ เกรงว่าเขาคงจะได้เป็นสมุหนายก”
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ นางมองตาสวีลิ่งอี๋ “สกุลเซี่ยงอยากพูดเรื่องแต่งงานของอวี้เกอและคุณหนูสองสกุลเซี่ยงใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าประหลาดใจ รีบถามทันที “เช่นนั้นพี่สะใภ้สองว่าอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงพูดตามความจริง “พี่สะใภ้สองไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลย”
สวีลิ่งอี๋นิ่งเงียบ ทำสีหน้าครุ่นคิด
สืออีเหนียงเองก็กำลังคิดเรื่องเดียวกัน
ตอนที่นายหญิงเซี่ยงพูดเรื่องนี้ ฮูหยินสองที่อยู่ข้างๆ นั้นไม่พูดอะไรสักคำ ด้วยนิสัยของฮูหยินสองแล้ว หากไม่เห็นด้วย เกรงว่านางคงจะปฏิเสธตั้งนานแล้ว ในเมื่อนางไม่พูดอะไร เช่นนั้นก็หมายความว่านางคงจะเห็นด้วยอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าตอนนั้นตนจะคัดค้านการแต่งงานกับสกุลเซี่ยง แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะสกุลเซี่ยง แต่เพราะว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ให้เกียรติตน ต่อมาเรื่องราวพัฒนามาจนกระทั่งถึงงานเลี้ยงของวันนี้ ทำให้นางรู้สึกว่านายหญิงเซี่ยงทำอะไรตามใจตัวเองเกินไป ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยชอบสักเท่าไร
ต่อไปสวีซื่ออวี้จะมีอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะหาภรรยาที่ดีเหมือนคุณหนูสองสกุลเซี่ยงไม่ได้ แต่หาภรรยาที่ตระกูลมีภูมิหลังสะอาด หน้าตาสวยงามมาอยู่กับเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องราวซับซ้อนขนาดนี้
แต่ว่าไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูฮูหยินสองมาตลอด หากสวีซื่ออวี้ได้แต่งงานกับคุณหนูสองสกุลเซี่ยง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ดีต่อสกุลสวีและสกุลเซี่ยง หากไท่ฮูหยินไม่ยอมก็คงดี แต่กลัวว่าถึงแม้ไท่ฮูหยินจะตำหนิว่านายหญิงเซี่ยงไม่มีมารยาท แต่ก็ยังอยากให้ทั้งสองสกุลแต่งงานกัน
ตนจึงมาหาสวีลิ่งอี๋ก่อน
ตนอยากหาเหตุผลที่ไม่ควรปฏิเสธการแต่งงานระหว่างสองสกุลให้ตัวเอง แล้วก็ยังอยากฟังความคิดเห็นสำหรับเรื่องนี้ของสวีลิ่งอี๋ เมื่อเทียบกับสวีลิ่งอี๋แล้วนางราวกับกบในกะลา ไม่รู้เรื่องโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย
“หากไม่ใช่เพราะนายหญิงเซี่ยงผิดสัญญาก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าการแต่งงานกับสกุลเซี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูด “ข้าเลยอยากฟังความคิดเห็นของท่านโหวก่อน”
ความหมายก็คือนางไม่เห็นด้วย
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้าได้ยินเจ้าพูดครั้งก่อน ว่าหลานสาวของโต้วเก๋อเหล่ากำลังพูดเรื่องแต่งงาน โต้วฮูหยินเคยพูดถึงอวี้เกอของเราต่อหน้าเจ้าหรือไม่”
สืออีเหนียงตกใจ พูดขึ้น “ไม่เคยเลยเจ้าค่ะ!”
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
“ถึงแม้ว่าอวี้เกอจะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ แต่ก็ยังห่างไกลจากบัณฑิตชั้นสูง! ยิ่งไปกว่านั้น การสอบระดับที่สูงขึ้นก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “สกุลอย่างโต้วเก๋อเหล่าเลยไม่สนใจเขากระมัง”
“นี่เป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลทั้งหมด” สวีลิ่งอี๋พูด “ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ เราเป็นสกุลญาติของราชวงศ์ คนที่มองการณ์ไกลอย่างโต้วเก๋อเหล่า ไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของราชวงศ์ในอนาคต แน่นอนว่าพวกเขาไม่อยากเข้าใกล้เรา แต่คนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ตรงหน้า แน่นอนว่าพวกเขาต้องอยากแต่งงานกับสกุลเรา ขอบเขตการเลือกของเราจึงน้อยลง ดังนั้นตอนนั้นที่ใต้เท้าเซี่ยงไม่สนใจอนาคตของตัวเอง แล้วตอบตกลงการแต่งงานกับอวี้เกอทันที ข้าจึงรู้สึกซาบซึ้ง เพราะระหว่างคำว่าสกุลญาติของเชื้อพระวงศ์กับสกุลเดิมของพี่สะใภ้ที่เป็นม่ายนั้นต่างกันยิ่งนัก!”
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างเห็นด้วยกับการแต่งงาน
แต่สืออีเหนียงยังคงรู้สึกไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่นาน เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วจับมือนาง “หากเจ้าไม่ชอบจริงๆ ข้าจะไปพูดกับท่านแม่เอง!”
เขาพูดถึงขนาดนี้ สืออีเหนียงจึงไม่กล้าคัดค้านอีกต่อไป
นางดึงมือกลับมาเบาๆ “ท่านโหวให้เวลาข้าคิดสักประเดี๋ยวเถิด!” จากนั้นก็เดินเข้าไปยังลานข้างใน
ระหว่างทางก็บังเอิญเจอเข้ากับสวีซื่อจุน
“เหตุใดท่านแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ขอรับ” ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
สืออีเหนียงส่งยิ้มให้เขา พอเห็นทิศทางที่เขากำลังจะเดินไปจึงเอ่ยถาม “เจ้าจะไปหาท่านพ่อหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า “ท่านพ่อบอกให้ข้ามาหายามนี้ บอกว่าจะปรึกษาเรื่องเชิญเถ้าแก่มางานเลี้ยงช่วงเทศกาลตรุษจีนกับบรรดาผู้ดูแล บอกให้ข้าไปฟังอยู่ข้างๆ เรียนรู้การจัดการเรื่องในจวน”
“เช่นนั้นเข้าต้องตั้งใจเรียนรู้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดให้กำลังใจเขา “รายได้ส่วนใหญ่ของสกุลมาจากเรื่องพวกนี้”
สวีซื่อจุนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านพ่อก็พูดแบบนี้ ท่านเเม่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าจะตั้งใจเรียนรู้กับพ่อบ้านไป๋ให้ดี”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดเพียง “อืม” จากนั้นก็บอกลาสวีซื่อจุน
เงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นชายคาของเรือนสวีซื่ออวี้
นางจึงไปที่เรือนของสวีซื่ออวี้
“หากเราให้เจ้าแต่งงานกับหลานสาวของท่านป้าสอง เจ้าคิดอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงถามเขาด้วยท่าทีและสีหน้าที่จริงจัง
สวีซื่ออวี้พลันหน้าแดง มุมปากของเขากระตุก แต่กลับพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
นางกำลังทำให้เขาลำบากใจ
สืออีเหนียงลุงขึ้น “เจ้าอ่านหนังสือต่อเถิด ข้าขอตัวก่อน!”
สวีซื่ออวี้ขานรับ เดินไปส่งสืออีเหนียง แต่เมื่อนางกำลังก้าวขาออกไปได้ก้าวเดียว กลับมีเสียงของสวีซื่ออวี้ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “ท่านป้าสองดีกับข้ามาตลอด…แล้วท่านป้าสองก็ยังเป็นคนเฉลียวฉลาดขอรับ… “
เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ฮูหยินสองดีกับเขา เกี่ยวอะไรกับความฉลาดของฮูหยินสอง?
สืออีเหนียงแอบบ่นในใจ แต่ในหัวของนางกลับรู้สึกชาวาบ
สวีซื่ออวี้บอกความในใจของตัวเองแล้ว
พอกลับมาถึงเรือน นางก็ล้างหน้าล้างตาแล้วไปหาไท่ฮูหยิน
จิ่นเกอกำลังนอนกลางวันอยู่บนเตียงเตาของไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองนั่งพูดคุยกันอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ฮูหยินสองก็พยักหน้าให้สืออีเหนียงอย่างกระอักกระอ่วน “มาแล้วหรือ!”
“พึ่งออกไปข้างนอกมา จึงกลับไปล้างหน้าล้างตาก่อนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงอธิบายให้พวกนางฟัง
ฮูหยินสองลุกขึ้นขอตัวลา
ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียง “เกิดอะไรขึ้นหรือ ข้าเห็นสีหน้าของอี๋เจินดูไม่ค่อยไม่สบายใจ นายหญิงเซี่ยงพูดอะไรหรือไม่ ข้าถามนางตั้งเท่าไรแต่นางก็ไม่ยอมบอก!”
สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินไม่ได้โมโห แต่กลับมองสืออีเหนียงด้วยท่าทีที่เป็นห่วง “เจ้าหมายความว่า?”
หากสืออีเหนียงยังมองความคิดของไท่ฮูหยินไม่ออก เช่นนั้นนางคงจะโง่เกินไปแล้ว
“ข้าล้วนแต่ฟังท่านแม่เจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้ น้ำเสียงของนางหนักแน่น
ไท่ฮูหยินตบมือนางเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ปรึกษากับคุณชายสี่เถิด” พูดด้วยน้ำเสียงที่เห็นอกเห็นใจ
*****
สวีลิ่งอี๋กอดนางแน่น “ต่อไปเรื่องแต่งงานของเจี้ยเกอและจิ่นเกอ เจ้าชอบใครเราก็ไปสู่ขอสกุลนั้นเถิด”
สืออีเหนียงไม่เคยได้เลือกการแต่งงานของบุตรอนุภรรยาและบุตรภรรยาเอกด้วยตัวเอง เขาจึงรู้สึกผิดในใจ
แต่สืออีเหนียงไม่ใช่คนใจแคบ
เมื่อก่อนตนขี้ขลาด มักจะรู้สึกว่าตัวเองมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่
แต่ชีวิตล้วนรังสรรค์จากฝีมือของมนุษย์
ตนเลยไม่สนใจความชอบส่วนตัวของตัวเอง ในเมื่อทุกคนล้วนแต่คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เลว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ทุกคนล้วนแต่ต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเอง!
เห็นสวีลิ่งอี๋พูดจาเคร่งขรึม นางก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากยิ้มแล้วแกล้งพูดว่า “ได้เจ้าค่ะ ข้าอยากให้เขาแต่งงานกับบุตรสาวของซุ่นอ๋อง”
สวีลิ่งอี๋ทำหน้าไม่เข้าใจที่สืออีเหนียงพูด เขาเลยรับปากว่า “บุตรสาวของซุ่นอ๋องเช่นนั้นหรือ ได้สิ!”
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาเป็นคนพูดจริงทำจริง แต่ซุ่นอ๋องเป็นคนในราชวงศ์ จะอยากแต่งกับใครก็แต่งง่ายๆ ได้เสียที่ไหน
นางพลันหน้าซีด
แต่สวีลิ่งอี๋กลับกระซิบข้างหูนาง “แค่เจ้าไม่รังเกียจที่บุตรสาวของเขาอ้วนเหมือนเขาก็พอ!”
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความตะลึง ก่อนจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่