หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1392 ผสานอารมณ์

บทที่ 1392 ผสานอารมณ์

คำพูดของเจ้าแห่งโกรธทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงเตาขนาดใหญ่ใบนั้นที่มีร่างจริงของเจ้าปรารถนารสอยู่ เช่นเดียวกับเจ้าปรารถนาเสียง เห็นได้ชัดว่าล้วนทรมานอยู่ใต้คำสาปทุกชาติทุกภพ กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่อาจหนีพ้นได้แม้แต่นิด

และสาเหตุของทั้งหมดนี้ก็มาจากมหาเทพ

หวังเป่าเล่อเงียบไป แววตาฉายแววซับซ้อน เมื่อรวมกับความลับเหล่านั้นที่เขาค้นพบในโลกชั้นที่หนึ่ง คำตอบบางอย่างก็ปรากฏออกมาแล้ว

ครั้งหนึ่ง…แม่ทัพ 108 นายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดเคยสู้รบอย่างดุเดือดและต่อต้านกับมหาเทพผู้สูงส่งองค์นั้น ผลลัพธ์คือมหาเทพได้รับชัยชนะ ในบรรดาแม่ทัพทั้ง 108 คน ส่วนใหญ่ถูกสยบเอาไว้ในโลกาชั้นแรก กลายเป็นตัวตนที่เหมือนกับตัวจ่ายพลัง จะต้องส่งสารอาหารไปให้กับมหาเทพทุกครั้ง กลายเป็นพลังต้นกำเนิดเพื่อรักษามหาเทพ

ส่วนอดีตแม่ทัพส่วนน้อยก็ต้องเลือกทรยศต่อมิตรภาพด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อก้มหัวให้กับมหาเทพ แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กลายเป็นแหล่งอาหารแบบคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกาชั้นที่สอง อีกทั้งในแง่หนึ่งก็ยังไม่มีข้อจำกัดมากขนาดนั้น แต่…

สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือคำสาปจากมหาเทพ

คำสาปนี้กลืนกินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับฝังอยู่ในวิญญาณ ทุกวันทุกคืน ทุกชั่วทุกขณะ ล้วนกัดกินอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาต้องทนรับความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ไปเรื่อยๆ

บางทีอาจเป็นเช่นที่เจ้าแห่งโกรธกล่าวมา

‘เทพเจ้าชื่นชอบผู้ไม่ยอมจำนน แต่เขาชอบเห็นความเจ็บปวดนิรันดร์ของผู้ยอมจำนนมากกว่า…’ หวังเป่าเล่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังท้องฟ้า เขานึกถึงผู้พิทักษ์ในโลกาชั้นแรกผู้นั้น

แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาล้วนไม่เคยได้พบกับผู้พิทักษ์คนนั้นอย่างแท้จริง แต่การโจมตีทางอ้อมหลายครั้งระหว่างพวกเขาก็ทำให้เขาคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจได้ไม่มากก็น้อยแล้ว

ผ่านไปนาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจแผ่วเบา

จู่ๆ เขาก็ต้องการทำลายโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องร่างจริงกับมหาเทพ แต่ยังมีความต้องการของเขาด้วย เขาคิดว่าโลกแบบนี้ไม่ควรมีอยู่

 พวกนี้ก็คือคำอธิบายหรือคำตอบที่พวกข้าให้เจ้าได้ เช่นนั้น…มอบคำตอบของเจ้า…ให้พวกเราสิ  เจ้าแห่งโกรธอยู่ในบ้าน จ้องมองหวังเป่าเล่อ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้ามองไปยังหวังเป่าเล่อเหมือนกัน

หวังเป่าเล่อเงียบไปนาน ทันใดนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมา คว้าเข้าไปในบ้านไม้ ตอนนั้นเองเมล็ดเต๋ากฎเกณฑ์ทั้งสี่ซึ่งถูกลบดวงจิตและรอยตราที่อยู่ตรงหน้าเจ้าแห่งโกรธก็พุ่งมาหาเขา

ระหว่างนี้ เจ้าแห่งโกรธหรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้หยุดยั้ง เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นก็เช่นเดียวกัน ยังคงมองไปที่หวังเป่าเล่อ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสี่บินออกไปจากบ้านไม้ ก่อนจะถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ หวังเป่าเล่อตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วเก็บมัน ก่อนค่อยๆ เอ่ยปาก

 ตกลง! 

ทันทีที่คำพูดของเขาถูกเปล่งออกมา เจ้าแห่งโกรธก็พยักหน้า เมื่อโบกมือ บ้านไม้ทั้งหลังก็เลือนราง พริบตาต่อมาก็คล้ายถูกลบหายไปอย่างนั้น สลายไปทีละนิดๆ จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ บ้านไม้หลังนี้และเจ้าทั้งสามจากเจ็ดอารมณ์ในนั้นก็หายไปในยามราตรีโดยสมบูรณ์

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น เงียบงันอยู่นาน ยามหันกายกลับก็แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาด หายไปจากที่เดิมเช่นกัน

ราตรีเงียบสงัด

เมื่อค่ำคืนจากไปอย่างช้าๆ และรุ่งอรุณย่างกรายเข้ามา อาทิตย์แรกโผล่พ้นปลายขอบฟ้าไกล สาดแสงไปทั่วพื้นพิภพ ขจัดความมืดมิด เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นในห้องพักโรงเตี๊ยมที่เขาอาศัยอยู่

สาเหตุที่ปรากฏตัวได้แม่นยำขนาดนี้ก็เพราะหลังจากหวังเป่าเล่อแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาด โลกที่เขาอยู่เป็นที่ที่คนอื่นไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ และในโลกแห่งนั้น เขาสามารถตามหาสถานที่เช่นโรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่ได้อย่างแม่นยำ

ตอนนี้เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา เดินไปเปิดหน้าต่างออกแล้วมองออกไปบนถนนข้างนอกที่สว่างขึ้น ผ่านไปนานเขาถึงเปิดหน้าต่างลง แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากนั่งขัดสมาธิ เขาก็สะบัดมือขวา ทันใดนั้นรอบกายก็มีพลังขวางกั้นปรากฏขึ้นมา ทำให้กลิ่นอายของที่นี่ไม่อาจแผ่ออกไปข้างนอก หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกแล้วนำเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งสุขจากสี่เมล็ดเต๋าเจ็ดอารมณ์ที่เขาได้รับออกมา

ชั่วขณะที่เขานำมันออกมา กฎเกณฑ์แห่งเมล็ดพันธุ์เต๋าก็แผ่กลิ่นอายน่าตะลึง ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อเปี่ยมไปด้วยความปรีดาอย่างไม่อาจควบคุม แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนดูดซับ ทว่าตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงแผ่พลังคุณสมบัติของร่างจริงในตัวออกไปสยบมัน

หลังจากตรวจสอบอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติ หวังเป่าเล่อจึงบีบมันแรงๆ ทันใดนั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เมล็ดนี้ก็ผสานเข้าไปที่กลางฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ หลังจากหลอมรวมกับร่างกายของเขา กลิ่นอายแห่งสุขก็พลันระเบิดอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อ

โชคดีที่ระดับกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาไม่ธรรมดา และคุณสมบัติของร่างจริงก็มีผลในการสยบ ที่สำคัญที่สุดคือภายในเมล็ดพันธุ์เต๋านี้ไม่มีรอยประทับของเจ้าแห่งสุขแม้แต่นิด ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้ใดเปรียบ ทำให้การดูดซับของหวังเป่าเล่อไม่เจอกับอุปสรรคใดๆ

เมล็ดพันธุ์เต๋าที่ไร้รอยประทับเช่นนี้ เดิมตัวมันเองก็คือส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่แล้ว ไม่ว่าใครที่ได้ไปล้วนสามารถดูดซับได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไร้ซึ่งอันตราย

นับประสาอะไรกับที่ตัวหวังเป่าเล่อมีกลิ่นอายและตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นในด้านการผสานรวมก็ยิ่งไม่มีอุปสรรค ไม่นานขณะที่ดูดซับอยู่นั้น ทะเลตระหนักรู้ของเขาก็มี…รอยประทับพิเศษหนึ่งรอยปรากฏขึ้น

ลักษณะของรอยประทับนี้กลับเป็นใบหน้ายิ้ม และเมื่อมองดูดีๆ จะเห็นว่ารูปร่างของหน้ายิ้มนี้ก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง

นี่ก็คือความแตกต่างของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา รอยประทับของอย่างหลังแตกต่างกัน แต่อย่างแรกล้วนเป็นหน้าคน เพียงแต่สีหน้าแตกต่างกัน และอารมณ์ที่ตอบสนองก็ไม่เหมือนกันด้วย

เมื่อใบหน้ายิ้มก่อร่างขึ้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงดังก้องทันใด กฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขากลับเหมือนจะทะลวงโซ่ตรวน ระเบิดออกมา ส่วนกฏเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าเจ็ดอารมณ์สามารถส่งเสริมเติมเต็มกับหกปรารถนาได้

แม้ว่าระดับการเพิ่มขึ้นของมันจะไม่มากนัก แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าการเพิ่มระดับเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ล้วนค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกชั่วขณะ

มันทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกายเจิดจ้า หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็นำเมล็ดพันธุ์เต๋าเจ็ดอารมณ์ชิ้นที่สองออกมา มันคือเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งโศก

เขาตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้งเช่นกัน กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีปัญหา หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเล ผสานมันเข้าไปในร่างเหมือนอย่างเมล็ดเต๋าแห่งสุข

ในไม่ช้า ทั่วร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ภายในทะเลตระหนักรู้ของเขามีรอยประทับคล้ายใบหน้าร่ำไห้ปรากฏขึ้น เมื่อการเพิ่มระดับตามมาจากการระเบิดส่วนเล็กๆ มันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ดูดซับผสานเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งแค้นและเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งโกรธเข้าไปในร่างทั้งหมด เมื่อรอยประทับใบหน้าที่แตกต่างกันทั้งสี่เปล่งประกายอยู่ในทะเลตระหนักรู้ของเขา กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นถึงสี่ครั้ง ราวกับได้ทะลวงขอบเขตบางอย่าง จนบรรลุถึงระดับที่น่าอัศจรรย์

แม้ว่าในระดับเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะไม่มีโอกาสแสดงร่างแห่งกฎเกณฑ์ของตนออกมา แต่เขาก็สัมผัสได้ว่า มันเหมือนกับว่า…อย่างน้อยก็สูงใหญ่กว่าหนึ่งพันจั้งแน่นอน!

ส่วนทางด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน แต่ในด้านการแสดงออกกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนัก

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังคิดดูเขาก็ถอนการขวางกั้นทั้งสี่ด้านออก แล้วเดินออกไปจากห้องพักขณะครุ่นคิด แต่เมื่อเขาเดินออกจากห้องพักและได้ยินเสียงอึกทึกภายในโรงเตี๊ยมดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เบิกตาโพลงทันที

จากนั้นลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย วาบร่างออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวอยู่บนถนนในเมืองปรารถนาเสียง ในชั่วขณะที่เสียงอื้ออึงพลุกพล่านมากมายรอบตัวประเดประดังเข้ามา ภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็สะเทือนก้อง

ท่วงทำนองตัวแล้วตัวเล่าก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างของเขาด้วยความเร็วเหนือจริง

สิบ ร้อย พัน…

หวังเป่าเล่อที่กำลังตกตะลึงอยู่ตอนนี้ตระหนักได้แล้วว่า การเพิ่มพูนของกฏเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงหลักๆ จะแสดงออกมาด้านความสามารถในการตระหนักรู้ หรือก็หมายความว่า มันปรากฏขึ้นมา…ที่คุณสมบัติของการฝึกตน!

 

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท