สืออีเหนียงลูบผมของบุตรชายอย่างเบามือ วางสมุดภาพวาดในมือลงอย่างเงียบเชียบ ช่วยห่มผ้าให้จิ่นเกอแล้วขยิบตาให้อาจิน กำชับให้นางดูแลจิ่นเกอให้ดี จากนั้นก็เดินออกไปจากเรือนหน่วนเก๋อ
ข้างนอกมีลมพัดโชยมา แรงลมกระทบกับหน้าต่างจนทำให้เกิดเสียงดัง
สืออีเหนียงขึ้นไปบนเตียง
ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มที่ให้ความอบอุ่น
นางมองดูถุงหอมที่ห้อยอยู่บนม่าน จู่ๆ ก็นึกถึงตอนที่ตัวเองพึ่งจะแต่งงานเข้ามา…ราวกับว่าตัวเองเดินออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ…
นางพลิกตัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ข้างนอก
“เหตุใดถึงยังไม่นอนอีก” สวีลิ่งอี๋ที่นำพาไอเย็นมาด้วยเดินมานั่งข้างเตียง “ฤดูหนาวต้องดูแลตัวเอง วันนี้อากาศเปลี่ยนแล้ว เจ้าต้องรีบนอน!”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ดวงตาของเขาเป็นประกาย น้ำเสียงนุ่มทุ้ม บนใบหน้าไม่มีความเคร่งขรึมเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่นางคุ้นเคย
ดูเหมือนทุกคนล้วนแต่เปลี่ยนไป
“มีอะไรหรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วถามนาง
“ไม่มีอะไรเจ้าคะ!” สืออีเหนียงเม้มปากยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่ง “เหวินอี๋เหนียงเรียกท่านไปหาด้วยเรื่องอันใดหรือ”
สวีลิ่งอี๋ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า “สกุลเหวินเกิดเรื่องนิดหน่อย นางปรึกษาข้าว่าควรทำเช่นไร” เขาพูดอย่างเรียบเฉย
เขาไม่สนใจเรื่องของสกุลเหวินแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังอยู่ปรึกษากับเหวินอี๋เหนียงที่นั่นเล่า
สืออีเหนียงถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นกับสกุลเหวินหรือ”
เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของฮ่องเต้ตอนนั้น
“ข้าเคยช่วยเหลือสกุลเหวิน เพื่อขอบคุณข้าสกุลเหวินจึงส่งเงินมาให้ข้า” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด เขาคิดว่าจะเล่าเรื่องตอนนั้นให้สืออีเหนียงฟัง “ข้าไม่ได้รับมา แต่สกุลเหวินไม่ยอมนำกลับไป มันจึงตกไปอยู่ในมือของเหวินอี๋เหนียง สองสามปีก่อนสกุลเหวินอยากทำกิจการที่กรมราชกิจภายในผ่านทางสกุลหยาง พวกเขาเสียเงินไปไม่น้อย แต่ไม่ได้กำไรกลับคืนมา ต่อมาสกุลหยางเกิดเรื่องขึ้น ก็นำเงินออกมาจัดการไม่น้อย กิจการของสกุลเหวินไม่ใช่กิจการของคนคนเดียว สองสามปีมานี้คุณชายสามสกุลเหวินเป็นคนดูแลเรื่องในจวน ธุรกิจไม่ราบรื่นไม่พอ แล้วยังสูญเสียกิจการผ้าทอเจียงหนานไป อำนาจของพวกเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน ญาติผู้ใหญ่ของสกุลต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นาๆ แล้วยังมีคนเสนอว่าให้พี่ชายของเหวินอี๋เหนียงมาดูแลกิจการของตระกูล คุณชายสามสกุลเหวินไม่พอใจ จึงทำกิจการทางทะเล หาเงินได้บ้าง กอบกู้สถานการณ์ได้บ้าง แต่สุดท้ายเกิดเรื่องขึ้นกลับสกุลหวัง คนที่เคยติดตามหวังจิ่วเป่าก็เริ่มทำกิจการทางทะเลอีกครั้ง เรือของสกุลเหวินถูกปล้นไปสองครั้ง เสียเงินไปไม่น้อย เสียหายรุนแรง พี่ชายของเหวินอี๋เหนียงจึงส่งคนมาหาเหวินอี๋เหนียง บอกว่าอยากถือโอกาสนี้ขึ้นมาเป็นคนดูแลเรื่องในจวนตามที่ญาติผู้ใหญ่สนับสนุน แบบนี้ ชีวิตของทุกคนก็จะได้ดีขึ้น”
สืออีเหนียงนึกขึ้นมาได้ว่าสองสามวันมานี้คนของสกุลเหวินมักจะส่งคนนำผ้าไหมมาให้เหวินอี๋เหนียง แล้วเหวินอี๋เหนียงยังนำมาให้นางสองสามผืน พวกเขาน่าจะมาบอกเหวินอี๋เหนียงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
“ตอนนั้นพี่ชายของเหวินอี๋เหนียงทำอะไรเถรตรงเกินไป หลังจากที่บิดาของเหวินอี๋เหนียงเสียชีวิต ญาติผู้ใหญ่ของสกุลจึงเลือกให้คุณชายสามเป็นคนดูแลกิจการของตระกูล ตอนนี้พี่ชายของเหวินอี๋เหนียงถือโอกาสตอนที่อำนาจของคุณชายสามกำลังอ่อนแอ อยากช่วงชิงอำนาจในการดูแลกิจการของตระกูลคืน เหวินอี๋เหนียงตัดสินใจไม่ได้ จึงปรึกษาเรื่องนี้กับข้า” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปอีก “ข้าคิดว่า เงินพวกนั้นเดิมทีก็เป็นของสกุลเหวิน ในเมื่อเหวินอี๋เหนียงอยากใช้เงินพวกนั้นช่วยพี่ชายของตัวเอง เช่นนั้นก็คืนให้พวกเขาเถิด ถือว่าเป็นคำอธิบายของเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น!”
ถ้าอย่างนั้น…ความสัมพันธ์ของสองสกุลก็จะห่างเหินกันมากขึ้น
สืออีเหนียงตกใจ “แล้วเหวินอี๋เหนียงว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“นางแค่เอ่ยขอบคุณ” สวีลิ่งอี๋พูด “จากนั้นก็กำหนดวันให้คนสกุลเหวินมารับเงิน!”
มีเงินก้อนนี้ พี่ชายของเหวินอี๋เหนียงต้องได้รับการสนับสนุนจากญาติผู้ใหญ่ของสกุลอย่างแน่นอน
ไม่แปลกที่นางอยากคุยกับสวีลิ่งอี๋เป็นการส่วนตัว
เหวินอี๋เหนียงทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่านางเข้าไปยุ่งเรื่องกิจการในสกุลเหวิน!
แต่เมื่อวันที่คนของสกุลเหวินมา ท่าทีของเหวินอี๋เหนียงกลับไม่เหมือนที่สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋คิดเอาไว้
สวีลิ่งอี๋ให้สืออีเหนียงไปถามเหวินอี๋เหนียงว่าอยากจะเจอกับพี่ชายตัวเองหรือไม่ แต่เหวินอี๋เหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ตามหน้าที่แล้วนายท่านสกุลเหวินเป็นแขกของท่านโหว ข้าเป็นแค่อนุภรรยาของท่านโหวเท่านั้น ถ้าตามเรื่องส่วนตัว นายท่านสกุลเหวินเป็นพี่ชายของข้า แต่ข้าก็ยังเป็นอนุภรรยาของท่านโหว ไม่ว่าเช่นไร ข้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปเจอนายท่านสกุลเหวิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเจอเจ้าค่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
ถูกต้อง ตามหน้าที่แล้ว หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน ผู้หญิงไม่ควรออกไปเจอแขกผู้ชาย ตามเรื่องส่วนตัว พี่น้องของอนุภรรยาไม่ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิด ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปเจอคนของสกุลเหวินจริงๆ
นี่คือการเอาคืนที่ตอนนั้นสกุลเหวินส่งนางมาเมืองหลวงใช่หรือไม่
แต่ว่าการเอาคืนครั้งนี้มาช้าไปหน่อย…ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ฉินอี๋เหนียงเสียชีวิตไป…ตอนนั้น นางถึงได้รู้ที่มาของเงินก้อนนี้…
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง
แต่ดูเหมือนว่าสกุลเหวินจะเข้าใจผิดต่อความต้องการของเหวินอี๋เหนียง พวกเขาส่งคนที่พูดจาเป็นมาขอร้องไหว้วานสืออีเหนียง บอกว่าอยากเจอหน้าเหวินอี๋เหนียง
สืออีเหนียงไม่ได้ห้ามนาง แต่เหวินอี๋เหนียงกลับปิดประตูใส่หน้าคนคนนั้น
ตงหงเห็นเช่นนี้ก็เป็นกังวล “อี๋เหนียงเจ้าคะ ท่านโหวปิดร้านค้าของเราแล้ว ท่านไม่ยอมเจอนายท่านสกุลเหวิน เราทำเช่นนี้ ประเดี๋ยวเราจะไม่เหลืออะไรเลยนะเจ้าคะ!”
เหวินอี๋เหนียงตำหนินาง “พูดอะไรเหลวไหล ถึงแม้เรือจะพัง แต่ก็ยังมีตะปูอีกสามพันตัว ข้าไม่มีทางทำให้เจ้ากัดก้อนเกลือกินแน่นอน และยิ่งไม่มีทางทำให้เจ้าไม่มีสินเดิม!”
ตงหงได้ฟังแล้วก็หน้าแดงก่ำ
ชิวหงช่วยพูดเรื่องแต่งงานให้นาง หลังปีใหม่นางก็จะแต่งงานแล้ว
ซย่าหง สาวใช้น้อยยืนปิดปากยิ้มอยู่ข้างๆ
ตงหงแสร้งทำเป็นโมโหแล้วตีนาง “ยังไม่ไปช่วยอี๋เหนียงแยกด้าย! เอาแต่ยืนซื่อบื่ออยู่ตรงนี้!”
ซย่าหงยิ้มพลางเบี่ยงตัวหลบ พูดขึ้นว่า “อี๋เหนียงเจ้าคะ ข้าไปปักดอกไม้ดีกว่าเจ้าค่ะ” จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เหวินอี๋เหนียงยิ้มขึ้น
ตงหงรีบประจบประแจง “ปี่แป่ของอี๋เหนียงปักได้สวยมากเลยเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงมองดูผ้าเช็ดหน้าที่ปักมาเกือบครึ่งปี นางขมวดคิ้ว “ฮูหยินปักทำไมมันดูง่ายดาย แต่พอมาถึงมือของข้าถึงยากเย็นเช่นนี้” นางบ่นพึมพำ “ตอนนี้คุณหนูใหญ่แต่งงานแล้ว กิจการก็ไม่มีแล้ว เงินก็คืนให้สกุลเหวินไปหมดแล้ว ข้าไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ข้าอยากมีชีวิตที่สุขสบาย นั่งเย็บปักถักร้อยกับเขาบ้าง…” พูดจบ สายตาของนางก็เหลือบไปมองถุงหอมที่แขวนอยู่มุมเตียง
ในนั้นมีตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงที่มารดาของนางมอบให้นางตอนที่นางออกเดินทางมาทางตอนเหนือ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาหารและเสื้อผ้าของนางล้วนเป็นเงินของสกุลสวี คำนวณแล้วน่าจะเป็นเงินประมาณสามหมื่นสามพันตำลึงกระมัง
อีกสองสามวันต้องหาวิธีถอนเงินออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้น หากเวลาผ่านไปเนิ่นนานคลังฝากถอนเงินอาจจะคิดว่ามันคือบัญชีที่ไม่ได้ใช้งานแล้วคงจะยุ่งยาก ถึงตอนนั้นต้องไปเขียนหนังสือคำร้องเพื่อยืนยันที่ฝ่ายราชการ แบบนั้นนางก็จะถูกจับได้ ด้วยนิสัยของสวีลิ่งอี๋ เขาต้องสงสัยว่านางลอบเก็บเงินสามหมื่นตำลึงนั้นไว้แน่นอน
นางไม่อยากให้ความห่วงใยของท่านแม่ถูกเข้าใจผิดแบบนี้!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็พลันปวดหัว
คิดไปคิดมาสักพัก เหวินอี๋เหนียงก็บอกให้ซย่าหงไปถามมาว่าสวีซื่อฉินจะจัดพิธีครบเดือนให้บุตรชายตัวเองเมื่อไร
…คนทั้งสกุลจะไปร่วมพิธีที่ตรอกซานจิ่ง ถึงตอนนั้นต้องไปถอนเงินออกมา…
เหวินอี๋เหนียงคิดในใจ
แต่สืออีเหนียงกลับมองผู้ดูแลหญิงที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่หน้าตัวเองด้วยความตกใจ
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป เราก็ไม่ต้องส่งเงินน้ำมันงาไปให้ที่อารามต้าเจวี๋ยแล้วเช่นนั้นหรือ”
ผู้ดูแลหญิงพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว นางแอบเหลือบมองสีหน้าของสืออีเหนียง “พูดถึงจิ้งคง ไอ๊หยา ไม่ใช่เจ้าค่ะ…หยางอี๋เหนียงได้คารวะเป็นลูกศิษย์ของผู้ดูแลอารามต้าเจวี๋ยแล้ว ต่อไปก็กลายเป็นคนของอารามต้าเจวี๋ยแล้วเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้เราเลี้ยงดูแล้ว!”
หยางอี๋เหนียง ไม่ว่าสถานการณ์แบบใดก็สามารถอยู่รอดได้จริงๆ!
สืออีเหนียงพยักหน้า บอกให้จู๋เซียงนำป้ายคู่มาให้ผู้ดูแลหญิงคนนั้น ไปนำเงินค่าน้ำมันงาของหยางอี๋เหนียงที่ห้องซือฝัง จากนั้นก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋แค่ พยักหน้า จากนั้นก็พูดถึงพิธีครบเดือนของทางฝั่งตรอกซานจิ่ง “ถึงตอนนั้นคนเยอะแยะ ไม่เหมือนที่จวน เจ้าอย่าละสายตาจากจิ่นเกอเป็นอันขาด ต้องระมัดระวังให้ดี”
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่นเกอออกไปร่วมพิธีเช่นนี้
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะดูแลจิ่นเกออย่างดี”
วันที่ไปร่วมงานที่ตรอกซานจิ่ง สืออีเหนียงไม่ปล่อยให้จิ่นเกอคลาดสายตาไปจากตัวเอง แต่สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยกลับซุกซนพอๆ กัน ประเดี๋ยวก็วิ่งไปดูแขกข้างหน้า ประเดี๋ยวก็วิ่งไปดูคนเล่นไพ่ที่โถงบุปผาลานข้างใน
โชคดีที่บ่าวรับใช้ของพวกเขาทั้งสองคนคอยตามพวกเขาอยู่ตลอด ทำให้สืออีเหนียงไม่ต้องเป็นห่วง
เมื่อถึงยามบ่าย คนของคณะเต๋ออินปานก็มาร้องงิ้ว
สวีซื่อจุนลากสวีซื่อเจี้ยไปดู “…ประเดี๋ยวเราไปหลังเวที ที่นั่นมีดาบและปืนยาวด้วย!”
สวีซื่อเจี้ยมองดูสวีซื่อจุนอย่างเคารพ “พี่สี่รู้ได้เช่นไรว่าหลังเวทีมีดาบและปืนยาวขอรับ!”
สวีซื่อจุนอธิบายกับให้สวีซื่อเจี้ยฟัง “ครั้งก่อนที่ข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนโต้วเก๋อเหล่ากับท่านพ่อ หันเจี้ยนบอกข้า เขาบอกว่า ตอนที่พวกเขาร้องงิ้ว เขามักจะวิ่งไปเล่นที่หลังเวที แล้วยังได้เล่นดาบใหญ่!”
“หันเจี้ยนคือใครหรือ” สวีซื่อเจี้ยถามด้วยความสงสัย
“บิดาของเขาคือรองเจ้ากรมโยธาธิการ” พวกเขาพูดคุยกันพลางเดินไปที่ห้องโถงของลานหลัก “สนิทสนมกับโต้วจิ้ง หวังอวิ่นเองก็รู้จักเขา” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถามขึ้นว่า “เจ้าจำหวังอวิ่นได้หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า “บุตรชายของหวังลี่ ใต้เท้าหวัง”
“น้องห้าความจำดีจริงเชียว!” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดต่อไป “ไม่แปลกใจที่อาจารย์สอนเป่าขลุ่ย ข้าเป่าเป็นแค่ผิวเผิน แต่เจ้ากลับเป่าเป็นเพลงแล้ว!”
สวีซื่อเจี้ยก้มลงด้วยความเขินอาย
สำเนียงเกอหยางที่ไพเราะเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นมาในหูของพวกเขา
พวกเขาทั้งสองคนพลันตื่นเต้น จากนั้นก็พากันไปนั่งฟังงิ้วอยู่ในห้องปีกทางทิศตะวันออกอย่างสนุกสนาน
*****
ฟังซื่อพาสืออีเหนียงไปที่เรือนหน่วนเก๋อของตัวเอง “ท่านอาสะใภ้สี่พักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ”
จวนที่ตรอกซานจิ่งค่อนข้างเล็ก จัดเวทีไว้ที่ห้องโถงในลานหลัก ทันทีที่เสียงฆ้องและกลองดังขึ้น ก็ได้ยินกันทั้งจวน จิ่นเกอติดนอนกลางวัน ได้ยินเสียงร้องงิ้วเขาก็หงุดหงิดจนนอนไม่ได้ ช่วงบ่ายค่อนข้างเอะอะโวยวาย ฟังซื่อจึงหาที่ที่เงียบสงบให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงวางจิ่นเกอลงบนเตียงเตา
จิ่นเกอลืมตาขึ้นมา
“ท่านแม่ขอรับ!” เขายื่นมือไปให้สืออีเหนียงอุ้ม
แต่ตอนนี้สืออีเหนียงอุ้มเขาไม่ไหวแล้ว
นางครุ่นคิด จากนั้นก็ถอดรองเท้า ปีนขึ้นไปบนเตียงเตาแล้วโอบกอดจิ่นเกอ
จิ่นเกอผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของมารดา
ฟังซื่อเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แขกเยอะแบบนี้ เจ้าพึ่งจะคลอดได้ครบเดือน รีบไปพักผ่อนเถิด!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ
ฟังซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ มีแม่นมคอยดูแลลูก ข้าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง!”
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีเสียงโกลาหลดังขึ้นมาจากข้างนอก
ฟังซื่อรีบลุกขึ้นไปดู จากนั้นก็พาหวังซู่ บ่าวรับใช้ของสวีซื่อจุนกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยินขอรับ” หวังซู่หน้าถอดสี พูดด้วยน้ำเสียงและตัวที่สั่นเทา “คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าหายไปแล้วขอรับ!”