สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนไป นางพูดกับฟังซื่อทันที “เจ้าไปถามคนที่เฝ้าประตูทุกคน รวมถึงคนคุ้มกันชายที่พวกเราพามา ถามพวกเขาว่ามีใครเห็นสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยออกไปข้างนอกหรือไม่ หรือมีใครย้ายของชิ้นใหญ่ออกไปข้างนอกหรือไม่” พูดเสร็จก็หันไปถามหวังซู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หวังซู่พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้านั่งดูงิ้วที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก บ่าวยืนมองคุณชายน้อยสองคนอยู่ใต้บันไดตลอด มีพี่หญิงที่จวนยกของว่างมาให้บ่าว บ่าวจึงหันหน้าไปขอบคุณพี่หญิง แต่พอหันหน้ากลับมาอีกทีก็ไม่เห็นคุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้าแล้วขอรับ บ่าวจึงรีบไปตามหา แต่เดินหารอบๆ ก็ไม่เห็นคุณชายน้อยทั้งสองคนเลยขอรับ”
ที่นี่คือจวนของคุณชายสาม บางที่หวังซู่อาจจะไม่คุ้นเคย แล้วสะใภ้หนานหย่งก็คอยดูแลสวีซื่อเจี้ยอยู่
นางรีบพูด”ตอนที่เจ้าตามหาพวกเขาเจ้าเห็นคนของคุณชายน้อยห้าหรือไม่”
“ไม่เห็นขอรับ!” หวังซู่พลันได้สติกลับมา “บ่าวยืนอยู่ตรงบันไดห้องปีกทางทิศตะวันออก ส่วนคนของคุณชายน้อยห้ายืนอยู่ข้างหลังคุณชายน้อยทั้งสองท่านขอรับ”
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเช่นนี้ สืออีเหนียงส่งคนไปดูแลพวกเขาทั้งสองคนอยู่แล้ว คนของสวีซื่อจุนไม่เห็นสวีซื่อจุน แต่คนของสวีซื่อเจี้ยกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แล้วคนของพวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เจอกัน…
สืออีเหนียงรีบสงบสติอารมณ์ลง นางสวมรองเท้าพร้อมกับบอกให้หงเหวินดูแลจิ่นเกอให้ดี จากนั้นก็เรียกจู๋เซียงและชิวอวี่ “จู๋เซียงเจ้าพาอวี้เหมยและคนอื่นๆ ออกไปหาข้างนอก ส่วนชิวอวี่เจ้าไปหาที่หลังลานกับข้า” จากนั้นก็หันไปกำชับหวังซู่ “ไปตามสาวใช้ที่นำของว่างให้เจ้ามาหาข้า ข้ามีเรื่องจะซักถามนาง” พูดต่ออีกว่า “จากนั้นก็มาเจอกันที่ทางเดินข้างเรือนหลัก”
ทุกคนขานรับแล้วเดินออกไป
อาจจะเป็นเพราะว่าผู้คนไปดูงิ้วกันหมด หลังลานเลยไม่มีคนสักคน แต่มีเสียงฆ้อง เสียงกลองและเสียงหัวเราะดังมาจากหน้าลานเป็นครั้งคราว พลอยทำให้หลังลานยิ่งดูวังเวง
สืออีเหนียงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินไปตรงจุดที่นัดเจอกัน
ที่นั่นมีคนสามคนยืนอยู่ด้วยความไม่สบายใจ คนหนึ่งคือหวังซู่ คนหนึ่งคือป้ารับใช้ที่อายุสามสิบกว่าปี ส่วนอีกคนหนึ่งคือสาวใช้น้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองปี
เมื่อเห็นสืออีเหนียง พวกเขาทั้งสามคนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ป้ารับใช้วัยสามสิบกว่าปีและสาวใช้น้อยคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไม่สบายใจ “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ฮูหยินสามบอกให้บ่าวนำของว่างไปให้คุณชายน้อยทั้งสองท่านทานเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็ชี้ไปที่สาวใช้น้อยคนนั้น “นางคือคนดูแลห้องปีกทิศตะวันออกเจ้าค่ะ”
ในขณะที่นางพูด ฟังซื่อก็พาสาวใช้คนหนึ่งเดินหอบเข้ามา “ท่านอาสะใภ้สี่เจ้าคะ ข้าถามมาแล้ว ไม่มีใครเห็นคุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าออกไปข้างนอก แล้วก็ไม่มีใครย้ายของชิ้นใหญ่ออกไปข้างนอก” จากนั้นก็มองไปที่ป้ารับใช้และสาวใช้สองคนนั้น ก่อนจะพูดด้วยความสงสัย “เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” พูดจบ นางก็เข้าใจขึ้นมาทันที รีบหันไปพูดกับสืออีเหนียง “ท่านอาสะใภ้สี่ สองคนนี้คือผู้ติดตามของข้าเอง รับใช้ข้ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเจ้าค่ะ…”
เช่นนั้นก็หมายความว่า เรื่องนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน
สืออีเหนียงครุ่นคิด ก่อนจะพูดกับหวังซู่ “ไป เราไปดูข้างนอกกัน!”
ฟังซื่อไม่กล้ารอช้า รีบเดินตามไปทันที
เวทีสูงตั้งอยู่ทางทิศใต้หันหน้าไปทางทิศเหนือ รอบเวทีล้อมรอบไปด้วยผ้าสีแดง บนเวทีคนกำลังขับร้องเพลง ‘ชมโคมไฟ’ สองสามีภรรยากำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แขกผู้หญิงคนสำคัญอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก แขกผู้ชายอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก เพื่อนบ้านทั่วไปนั่งดูงิ้วอยู่ในลาน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยืนมองอยู่ตรงทางเดินระหว่างห้องหลักและห้องปีกทางทิศตะวันออก จู๋เซียงเดินออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออกพอดี พวกนางมองหน้ากัน
“เป็นเช่นไรบ้าง” สืออีเหนียงรีบถามขึ้น
“คนของคุณชายน้อยห้าบอกว่า ป้าหนานอยู่กับคุณชายน้อยห้าเจ้าค่ะ” จู๋เซียงพูดต่ออีก “บ่าวเลยบอกให้พวกเขาไปตามหาป้าหนาน ยังไม่มีข่าวคราวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงก้มหน้าครุ่นคิด
กลุ่มหญิงสาวที่หน้าตาสะสวยและแต่งตัวงามสง่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น มีบางคนกำลังจ้องมองมาที่พวกนาง
ฟังซื่อไม่กล้าพูดอะไร จู๋เซียงครุ่นคิดแล้วเรียก “ฮูหยินเจ้าคะ” นางกำลังจะเอ่ยเตือนสืออีเหนียง แต่สืออีเหนียงกลับชี้ไปที่ผ้าสีแดงใต้เวทีแล้วพูดว่า “ตรงนั้นพวกเจ้าหาแล้วหรือยัง”
ตรงนั้นคือที่ที่นักแสดงงิ้วใช้เปลี่ยนหน้ากากและพักผ่อน
จู๋เซียงและหวังซู่พลันตระหนักได้ พวกเขาสองคนรีบพูดขึ้นพร้อมกัน “บ่าวจะไปดูประเดี๋ยวนี้ขอรับ/เจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบมุดตัวเข้าไปข้างในผ้าสีแดง
สืออีเหนียงเองก็มุดตามเข้าไป
กลิ่นแป้งพุ่งเข้ามาเตะจมูก กวาดตาดูแล้ว ข้างในมีคนประมาณสิบคน หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สวมชุดสีฟ้านั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่มีเพียงตัวเดียวในซุ้มอย่างสบายใจ มีเด็กผู้ชายสองคนอายุราวเจ็ดแปดขวบกำลังรับใช้เขาอยู่ข้างๆ แล้วยังมีเด็กผู้ชายสามคน คนที่โตกว่านั่งเก็บเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ใช้สำหรับการแสดงงิ้วอย่างเงียบๆ ส่วนคนอื่นๆ กำลังรวมตัวพูดคุยหัวเราะกัน ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนบอกคนที่นั่งบนเก้าอี้ไท่ซือว่า “…ศิษย์พี่เจ็ด ท่านรีบมาดูเร็วเข้า เหมือนหลิ่วฮุ่ยฟังที่โด่งดังในเยี่ยนจิงตอนนั้นหรือไม่…” แต่กลับสังเกตเห็นสืออีเหนียงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
ชายคนนั้นเงียบไปทันที
คนที่อยู่รอบๆ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พวกเขาค่อยๆ หันหน้ามามองสืออีเหนียงทีละคน ก่อนจะกระจายตัวกัน
สืออีเหนียงเห็นสวีซื่อจุนและสะใภ้หนานหย่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วยังมีสวีซื่อเจี้ยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของนางยิ่งเคร่งขรึม
แต่จู๋เซียงและหวังซู่กลับไม่สังเกตเห็น
ความตกใจปนดีใจทำเอาอีกคนตะโกนเรียก “คุณชายน้อยสี่” ส่วนอีกคนหนึ่งก็ตะโกนเรียก “คุณชายน้อยห้า” จากนั้นก็วิ่งพรวดเข้าไปหาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
คนที่กำลังล้อมรอบสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมีสีหน้าไม่สบายใจ พวกเขาถอยออกไปด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
บรรยากาศข้างในพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือรีบยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยิน ท่านคือ?”
สืออีเหนียงไม่ชายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย
“ฮูหยินเจ้าคะ!” สะใภ้หนานหย่งหน้าซีด มองไปยังสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับวิ่งไปหาสืออีเหนียง
“ท่านแม่ขอรับ!” เขามองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อยาวๆ “สวยหรือไม่ขอรับ”
ผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ประดับใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของสวีซื่อเจี้ย ราวกับดอกกล้วยไม้หยกสีขาวที่ผลิบานในต้นเดือนสี่ก็ไม่ปาน
มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวใจของสืออีเหนียง ทำให้นางรู้สึกเจ็บตรงหน้าอกจนตาลาย
“ท่านแม่ขอรับ!” เสียงตื่นตระหนกของสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยดังขึ้นมาข้างหู มีคนช่วยประคองนาง “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ได้สติกลับมา
เมื่อเห็นใบหน้าที่ทั้งเป็นห่วงทั้งหวาดกลัวที่อยู่ตรงหน้า นางก็ยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยปลอบใจสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย “แม่ไม่เป็นอะไร ที่นี่แออัดเกินไป!”
“อ้อ!” นางเห็นสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นพวกเขาก็กลับมายิ้มอีกครั้ง
“ท่านแม่ ข้าประคองท่านออกไปข้างนอกดีกว่าขอรับ!” พวกเขาทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาเบียดจู๋เซียงและสะใภ้หนานหย่งที่กำลังประคองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวพวกเขาทั้งสองคน สวีซื่อเจี้ยราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วยื่นให้คนที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็วิ่งมาหาสืออีเหนียง ยิ้มแล้วประคองสืออีเหนียงออกไปข้างนอก
วันนี้ไม่ค่อยมีแดด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่ออกมาจากใต้เวที สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าแสงแดดแยงตายิ่งนัก
มือข้างหนึ่งจับสวีซื่อจุน มืออีกข้างหนึ่งจับสวีซื่อเจี้ย
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ทำเอาพวกข้าตกใจจนวิ่งหากันจนทั่ว” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีกลิ่นอายของความโมโหเลยแม้แต่น้อย “ต่อไปจะทำเช่นนี้ไม่ได้ รู้หรือไม่” นางพูดกับสวีซื่อจุน “หากจะไปไหน ก็อย่าลืมบอกคนของตัวเอง”
สวีซื่อจุนอธิบายให้สืออีเหนียงฟังด้วยความรู้สึกผิด “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้าขอรับ ข้าไม่ควรพาน้องห้าไปหลังเวที!”
สวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้นมองสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของพี่สี่ ข้าอยากไปเองขอรับ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับไหล่พวกเขาทั้งสองคนพลางเดินเข้าไปในเรือนหน่วนเก๋อ
จิ่นเกอยังหลับอยู่
ฟังซื่อเห็นว่าเรื่องราวนั้นคลี่คลายลงแล้ว จึงลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วถามสวีซื่อจุน “เมื่อครู่นี้เหตุใดคนเหล่านั้นถึงล้อมรอบพวกเจ้าแล้วหัวเราะ”
สวีซื่อจุนหน้าแดง “มีคนบอกว่าน้องห้าหน้าตาเหมือนคนที่มีนามว่าหลิ่วฮุ่ยฟัง น้องห้าจึงถามว่าใครคือหลิ่วฮุ่ยฟัง คนคนนั้นจึงบอกว่า คือนักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง ที่ขับร้องเพลง ‘หอกุ่นโหลว’ อันโด่งดังขอรับ แล้วเขายังร้องให้ฟังสองสามท่อน พอน้องห้าได้ยินจึงร้องตาม” พูดจบ เขาก็มองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น “น้องห้าร้องเหมือนมากเลยขอรับ!” พูดต่ออีกว่า “พอคนคนนั้นได้ยิน จึงตะโกนขึ้นมา แล้วสอนน้องห้าร้องอีกสองสามท่อน พอน้องห้าฟังแล้วก็ร้องได้ทันที คนเหล่านั้นได้ยินเช่นนี้จึงเดินเข้ามาล้อมรอบพวกข้า สะใภ้หนานหย่งเลยจะพาน้องห้าออกมา แต่น้องห้ากลับอยากให้คนคนนั้นสอนเขาร้องต่ออีกสักสองสามท่อน…” พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลง “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ที่ไม่ช่วยสะใภ้หนานหย่งพาน้องห้าออกมาขอรับ…”
สวีซื่อเจี้ยทำสีหน้าหวาดกลัวแต่กลับพูดขึ้นเบาๆ “ท่านแม่ขอรับ ข้า…ข้าร้องตามได้ทันที…แล้วยังขับร้องได้ไพเราะกว่าคนคนนั้นเสียอีก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกวักมือเรียกสวีซื่อเจี้ยเข้ามาใกล้ๆ กอดเขาพลางเอ่ยถามสวีซื่อจุน “น้องห้าชอบร้องเพลงงิ้ว แล้วยังร้องได้ดี เหตุใดเจ้าถึงจะลากน้องห้าออกมาเล่า”
สวีซื่อจุนเบิกตากว้าง เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเบาๆ “เพราะคนเหล่านั้นหัวเราะ…หัวเราะ… “ ราวกับไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“หัวเราะจนทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจใช่หรือไม่” สืออีเหนียงถามเขา
“ใช่ขอรับ!” สวีซื่อจุนพยักหน้า “แล้วพวกเขาก็ยังพูดจาแปลกๆ ราวกับกำลังหัวเราะเยาะพวกข้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห
มาจัดแสดงงิ้วในจวนของสวีลิ่งหนิง ถึงแม้ว่านักแสดงงิ้วเหล่านั้นจะไม่รู้จักพวกเขาสองคน แต่เมื่อเห็นสวีซื่อจุนสวมเสื้อผ้าไหมทอลาย เห็นสวีซื่อเจี้ยสวมผ้าไหมสู่จิ่น พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าเด็กทั้งสองคนนี้ไม่ใช่เด็กจากตระกูลธรรมดา ให้สวีซื่อเจี้ยร้องงิ้วยังไม่พอ แล้วยังหัวเราะเยาะ นี่แสดงถึงนิสัยเนื้อแท้ของคนเหล่านี้
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องไปที่นั่นอีก รู้หรือไม่” สืออีเหนียงพูดต่อไป “ที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ที่สุภาพบุรุษที่ดีควรไป”
“รู้แล้วขอรับ!” สวีซื่อจุนตอบรับเสียงดัง
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วพลางถามสวีซื่อเจี้ย “เจ้าชอบขับร้องเพลงงิ้วมากหรือ”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยพอใจ จึงรีบพูดปฏิเสธ “ข้าไม่ชอบขอรับ!” แต่พอพูดจบ ก็รู้สึกเสียใจ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ทำใจแข็ง โอบตัวเขาเข้ามากอดเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เด็กดี” นางพูดเบาๆ “ร้องเพลงใครก็ร้องได้ แต่ว่าดีดพิณ เป่าขลุ่ย ใช่ว่าใครก็เล่นเป็น! เจ้าดูพี่สี่ของเจ้าสิ เขาฉลาดขนาดนี้ แต่ยังเรียนเป่าขลุ่ยไม่เก่งเท่าเจ้าเลย!”
สวีซื่อจุนพยักหน้า
สวีซื่อเจี้ยได้ฟังแล้วก็ดีใจ มุดหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงอย่างเขินอาย
สามแม่ลูกหัวเราะคิกคัก พลอยทำให้จิ่นเกอตกใจตื่น เขาลุกขึ้นนั่งอย่างงงงวย เมื่อเห็นสืออีเหนียงกำลังโอบกอดสวีซื่อเจี้ย เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไป “ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงจึงปล่อยสวีซื่อเจี้ยแล้วอุ้มจิ่นเกอ
จิ่นเกอดีใจ กอดคอมารดาแน่นแล้วตะโกนเรียก “พี่ชาย” ด้วยท่าทีเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้าเรียกเจ้าแล้ว เจ้าอย่ามาแย่งท่านแม่ของข้า’
สวีซื่อจุนเห็นแล้วก็หัวเราะ
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับลูบหัวตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบก้นจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอยิ่งกอดมารดาแน่นขึ้นกว่าเดิม
สืออีเหนียง สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยต่างก็พากันหัวเราะด้วยความขบขัน
บรรยากาศในห้องพลันครื้นเครงขึ้นมา
จากนั้นมีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ โจวเต๋อฮุ่ย หัวหน้าคณะเต๋ออินปานมาขอพบเจ้าค่ะ”