เรื่องบางเรื่อง พูดให้ตรงประเด็นก็พอแล้ว พูดมากเกินไปก็จะทำให้คนรู้สึกไม่พอใจกันเสียมากกว่า บางครั้งเรื่องที่สมเหตุสมผลก็อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอาได้
สืออีเหนียงมองดูสวีซื่อจุนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม นางยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ข้าให้ชิวอวี่ตักน้ำมาให้พวกเจ้าล้างหน้าดีกว่า สถานที่วุ่นวายเช่นนั้น ประเดี๋ยวยังต้องไปคารวะท่านย่า อย่าให้ความสกปรกมอมแมมไปโดนตัวท่านย่า” จากนั้นก็เรียกชิวอวี่เข้ามา “ทำให้คุณนายน้อยใหญ่ตกใจเสียแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องรบกวนนาง บอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาเถิด คอยรับใช้คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้าล้างหน้าล้างตา” กำชับให้นางพาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยไปทีห้องเอ่อร์ฝัง จากนั้นก็เรียกจู๋เซียงเข้ามา “ไปรายงานไท่ฮูหยิน บอกว่าวันนี้แขกเยอะ ข้ากลัวว่าจิ่นเกอจะตกใจกลัว ประเดี๋ยวคงจะไม่ออกไปฟังงิ้วแล้ว”
จู๋เซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงหุบยิ้ม จากนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิด
ปีก่อนๆ ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสวีซื่อเจี้ยจะหน้าตาหล่อเหลา แต่ว่าเขายังเด็ก ถูกเลี้ยงดูในลานข้างใน คนที่ไปมาหาสู่กันล้วนแต่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย เด็กๆ คนอื่นของสกุลสวีก็หน้าตาดีทุกคน ทุกคนจึงไม่ได้คิดอะไร แต่สองสามปีมานี้พวกเขาเริ่มโตขึ้น สวีซื่อเจี้ยเริ่มมีหน้าหล่อเหลาที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นในสกุลสวี หากไม่พูด คงจะคิดว่าเด็กคนนี้หน้าตาดีเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับมีคนพูดขึ้นมา รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีใครนึกถึงเรื่องในอดีต และเชื่อมโยงสวีซื่อเจี้ยกับหลิ่วฮุ่ยฟังเข้าด้วยกัน แทนที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นจนทำให้เกิดปัญหา ไม่สู้หาข้ออ้างอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อ รอให้การแสดงงิ้วจบลงแล้วค่อยออกไปยังจะดีกว่า
สืออีเหนียงให้ความสำคัญกับเรื่องของจิ่นเกอมาตลอด ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เด็กสองคนนั้นก็ถูกสืออีเหนียงลากไปคุยเรื่องสนุกด้วย พวกเขาสองคนดูตื่นเต้น พูดคุยกันอย่างมีความสุข ไท่ฮูหยินจึงไม่รู้ว่าสืออีเหนียงคิดอะไร มีแค่จิ่นเกอที่นอนอิ่มแล้ว เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง เสียงกลองและเสียงหัวเราะข้างนอก เขาก็นั่งไม่ติด เอะอะโวยวายอยากออกไปดูความสนุกข้างนอก
สวีซื่อเจี้ยที่นั่งอยู่ติดกับสืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าตื่นเต้น เขาเม้มปาก ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ก้มหน้าลง
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นนางก็แอบถอนหายใจ บอกให้จู๋เซียงไปพาเซินเกอของฮูหยินห้ามา “…มีคนเล่นด้วย จิ่นเกอจะได้ไม่วุ่นวาย”
ฮูหยินห้าไม่พอใจที่ฮูหยินสามเชิญเพื่อนบ้านมาเยอะเช่นนี้อยู่แล้ว นางกลัวว่าจะทำให้เซินเกอตกใจ การมาของจู๋เซียงจึงทำให้นางมีทางออก ไม่เพียงแต่บอกให้แม่นมพาเซินเกอไปที่เรือนหน่วนเก๋อ แล้วยังบอกให้นางพาซินเจี่ยเอ๋อร์ไปด้วย
ฟังซื่ออยู่กับไท่ฮูหยินและมารดาของตัวเองที่ห้องปีก นึกขึ้นมาได้ว่าในห้องมีแต่เด็กผู้ชาย มีแค่ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่เป็นเด็กผู้หญิง แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าซินเจี่ยเอ๋อร์สนิทสนมกับจินซื่อ นางจึงรีบบอกให้จินซื่อไปอยู่เป็นเพื่อนซินเจี่ยเอ๋อร์
ผู้ใหญ่พูดคุยกัน คนหนุ่มสาวได้แต่นั่งฟัง จินซื่อกำลังเบื่อหน่ายอยู่พอดี ครั้นได้ยินเช่นนี้นางก็รีบลุกออกไปด้วยความดีใจ
ฮูหยินสามไม่พอใจ
ตั้งแต่ที่ฟังฮูหยินมาถึงเยี่ยนจิง นางก็ทำสงครามเย็นกับฟังฮูหยินสองสามครั้งแล้ว แล้วทุกครั้งฮูหยินสามคือคนี่พ่ายแพ้ตลอด ครั้งนี้นางจงใจให้จินซื่ออยู่กับไท่ฮูหยิน ก็เพราะอยาให้ฟังฮูหยินดูว่าไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูจินซื่อมากแค่ไหน แต่ใครจะรู้ว่าไท่ฮูหยินยังไม่ทันได้พูดอะไร จินซื่อก็ถูกฟังซื่อไล่ออกไป แล้วจินซื่อก็ยังออกไปด้วยความเต็มอกเต็มใจ นางอดไม่ได้ที่จะคิดว่าจินซื่อเป็นคนที่ใช้ไม่ได้
ตั้งแต่ซินเจี่ยเอ๋อร์โกรธจิ่นเกอเรื่องนกขมิ้นท้ายทอยดำ ทุกครั้งที่นางเจอกับจิ่นเกอก็จะหันหน้าหนี แต่จิ่นเกอกลับลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว เขาวิ่งเข้าไปแล้วเรียก “พี่หญิง” ซินเจี่ยเอ๋อร์ยังโกรธเขาอยู่ แต่เห็นสืออีเหนียงเดินมาด้วย จะไม่สนใจเขาก็ไม่ได้ นางจึงเรียก “น้องหก” ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้ววิ่งไปหาสวีซื่อจุน “พี่สี่ เราเล่นขว้างถุงทรายกันดีกว่าเจ้าค่ะ” แล้วยังเหลือบมองจิ่นเกอด้วยสายตาที่เยาะเย้ย
เซินเกอกำลังวิ่งตามจิ่นเกอ “พี่หก พี่หก เราไปขี่ม้ากันดีกว่า!”
ไม่เหมือนซินเจี่ยเอ๋อร์ เซินเกอชอบเล่นกับจิ่นเกอเป็นที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะว่าพวกเขาสองคนอายุใกล้เคียงกัน แต่เพราะว่าในห้องของจิ่นเกอมีของเล่นเยอะแยะ สืออีเหนียงไม่เหมือนฮูหยินห้า ที่มีข้อจำกัดมากมายในตัวเขา เรื่องที่ทำที่ห้องของตัวเองไม่ได้ แต่เขาสามารถมาทำที่ห้องของจิ่นเกอได้อย่างเต็มที่ ทำให้เขามีความรู้สึกอิสระ
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้องก็ดิ้นลงจากอ้อมแขนของแม่นม ดึงเสื้อจิ่นเกอ แล้วพูดอย่างประจบประแจงว่า “พี่หกขอรับ เราไปขี่ม้ากันเถิด!” เขาพูดด้วยท่าทีที่ประจบสอพลอ
ซินเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าแล้วตะโกนเรียก “เซินเกอ ระวังข้าจะกลับไปฟ้องท่านแม่ ฟ้องว่าเจ้าเล่นอะไรเหลวไหลที่ห้องของจิ่นเกอ!”
ท่านพ่อชอบตามใจซินเจี่ยเอ๋อร์มากที่สุด พี่หญิงของเขาจึงมีนิสัยเช่นนี้ เซินเกอไม่สนใจนิสัยขี้โมโหของซินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งนานแล้ว เขาพูดกับจิ่นเกอต่อ “ดีหรือไม่พี่หก”
จิ่นเกอเองก็ชอบเล่นกับเซินเกอ
ในความทรงจำของเขา สวีซื่ออวี้ประเดี๋ยวก็มา ประเดี๋ยวก็ไป เขาไม่ค่อยสนิทสนมกับสวีซื่ออวี้สักเท่าไร จะไปจะมาก็ไม่สำคัญอะไร สวีซื่อจุนถึงแม้ว่าจะดี แต่เขาเป็นคนขี้กลัว ชอบห้ามไม่ให้เขาทำนู่นทำนี่ ห้ามเขามากกว่าป้ารับใช้ที่ดูแลเขาเสียอีก สวีซื่อเจี้ยอยู่กับเขา เขาอยากทำอะไร สวีซื่อเจี้ยก็จะทำกับเขาด้วยความอดทน แล้วยังทำไก่น้อยนกน้อยให้เขาอีกด้วย แต่มันกลับเทียบกับเซินเกอไม่ได้ เวลาพวกเขาสองคนเล่นด้วยกันมักจะสนุกสนาน ทำให้เขารู้สึกอิสระเต็มที่
เขารีบวิ่งขึ้นไปบนเก้าอี้ไท่ซื่อบนโต๊ะยาว หยิบไม้ปัดขนไก่ในแจกันดอกไม้ออกมา
อาจินเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินไปช่วย
จิ่นเกอยื่นไม้ปัดขนไก่ให้เซินเกอ
เซินเกอนำมาหนีบไว้ตรงขาทำท่าทีราวกับกำลังขี่ม้า กระโดดไปรอบห้องแล้วตะโกนเรียกจิ่นเกอ “พี่หกมาเล่นด้วยกันสิขอรับ!”
จิ่นเกอวิ่งไปหยิบแส้ขนหางจามรีบนเตียงเตา พวกเขาสองคนเล่นด้วยกันในห้องอย่างมีความสุข
ซินเจี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าไม่พอใจ
สวีซื่อจุนรีบพูด “น้องหญิงสอง เราไปเล่นขว้างถุงทรายกันเถิด!”
จินซื่อก็เกลี้ยกล่อมซินเจี่ยเอ๋อร์ “นั่นสิ เราไม่ได้เล่นด้วยกันนานแล้ว!”
สีหน้าของซินเจี่ยเอ๋อร์ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ตอนนี้พวกเด็กๆ ไม่ชอบหน้ากัน แต่เมื่อโตขึ้นแล้ว มันกลับเป็นความทรงจำที่งดงาม
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ นางก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นจากเตียงเตา ปล่อยให้ซินเจี่ยเอ๋อร์เล่นขว้างถุงทราย
แต่เจ้าตัวเล็กสองคน คนหนึ่งถือไม้ปัดขนไก่ อีกคนหนึ่งถือแส้ขนหางจามรีกลับทะเลาะกันขึ้นมา
บรรยากาศในห้องคึกคักกว่าขึ้นปีใหม่เสียอีก
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อกลับมาที่จวน นางถามสวีลิ่งอี๋ “คนข้างนอกพูดถึงเรื่องเจี้ยเกอเช่นไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ “เจ้าได้ยินข่าวลืออะไรหรือ”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง เราปกป้องเขาตลอดชีวิตไม่ได้ ต้องวางแผนล่วงหน้าเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “เจ้าหมายความว่า?”
“พรุ่งนี้เจี้ยเกอต้องย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอกแล้ว” สืออีเหนียงพูด “ข้าอยากให้เขาย้ายไปอยู่ลานที่ห่างไกลออกไปหน่อย จากนั้นก็ให้พ่อบ้านไป๋เลือกบ่าวรับใช้ที่เฉลียวฉลาดไหวพริบดีให้เขาสักสองสามคน มีเรื่องอันใด จะได้ไม่แพร่กระจายไปถึงตัวเขา ผ่านไปสักสองปี รอให้เขารู้ความมากกว่านี้ ค่อยเล่าเรื่องของเขาให้เขาฟัง ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น บอกแค่ว่าท่านแม่ที่ให้กำเนิดเขาคือภรรยานอกสมรสของท่านโหว ต่อมาท่านแม่ของเขาเสียชีวิต ท่านโหวจึงอุ้มเขากลับมาเลี้ยงที่จวนเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ทำตามที่เจ้าบอกเถิด!”
*****
ไม่กี่วันต่อมาก็เข้าฤดูหนาว สืออีเหนียงถือโอกาสตอนที่ช่วยไท่ฮูหยินแขวนภาพเก้าสิบเก้าคลายหนาว พูดเรื่องนี้กับนาง “…ลานเงียบสงบ เขาจะได้ตั้งใจอ่านหนังสือเจ้าค่ะ”
บุตรชายสกุลสวีเมื่ออายุสิบขวบแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอก จะจัดการแบบใด สืออีเหนียงก็คือมารดา แน่นอนว่าต้องทำตามที่นางบอก ไท่ฮูหยินจึงไม่ได้ขัดอะไร นางยิ้มแล้วป้อนลูกพลับแห้งให้จิ่นเกอ “เจ้าตัดสินใจเถิด!”
“เช่นนั้นข้าเริ่มเตรียมการเรื่องย้ายเรือนให้เจี้ยเกอแล้วนะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดพร้อมกับยื่นพู่กันจุ่มสีแดงให้ไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินวาดกลีบดอกเหมยบนภาพเก้าสิบเก้าคลายหนาว เมื่อวาดกลีบดอกเหมยครบเก้าสิบเก้าดอกแล้ว ก็จะหมดฤดูหนาวพอดี
จิ่นเกอยืนขึ้น “ท่านย่าขอรับ ข้าช่วยท่านวาดดีกว่าขอรับ”
“ได้ๆๆ” ไท่ฮูหยินยื่นพู่กันให้จิ่นเกอด้วยความรักและเอ็นดู “ให้จิ่นเกอช่วยท่านย่าวาด” พูดจบ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางพูด “ครั้งก่อนที่ฟังงิ้ว ฟังฮูหยินบอกว่าอีกสองสามวันก็จะออกเดินทางกลับหูโจวแล้ว เงินของขวัญออกเดินทาง เจ้าบอกให้จู๋เซียงไปเอาที่อวี้ป่านเถิด!”
ตามกฎเกณฑ์ของจวนแล้ว สกุลญาติอย่างฟังฮูหยิน เงินของขวัญออกเดินทางคือยี่สิบสองตำลึง ไท่ฮูหยินบอกให้ไปเอาที่อวี้ป่าน เช่นนั้นก็หมายความว่ามันคือเงินของไท่ฮูหยิน เห็นได้ชัดว่านางอยากจะเพิ่มเงินให้ฟังฮูหยิน
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีใจกว้างของฟังฮูหยินเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน นางรู้ว่าไท่ฮูหยินชอบฟังฮูหยิน จึงยิ้มแล้วตอบรับ เมื่อฟังฮูหยินใกล้จะกลับหูโจว นางก็จัดโต๊ะเลี้ยงหนึ่งโต๊ะ นอกจากมอบเงินของขวัญของไท่ฮูหยินแล้ว ยังมอบเงินของขวัญของตัวเองอีกด้วย
ฟังฮูหยินยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ออกเดินทางกลับหูโจว ของขวัญเทศกาลตรุษจีนที่นางส่งให้ปีถัดมา นางส่งโสมอายุห้าสิบปีมาให้ไท่ฮูหยินสองชิ้น ส่งรังนกชั้นดีมาให้สืออีเหนียงสองกล่อง มีมูลค่ามากกว่าของที่ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงส่งไปให้นางถึงสองเท่า
สืออีเหนียงเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าถึงได้บอกว่าสกุลเช่นนี้จะเอาเปรียบไม่ได้ เจ้าไม่ส่งของอะไรให้พวกเขา พวกเขาก็จะคิดว่าเจ้าเสียมารยาท เจ้าส่งของไปให้พวกเขา พวกเขาก็จะส่งของที่มีค่ามากกว่าหนึ่งเท่ากลับมาให้ น่าเบื่อหน่ายที่สุด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าทูตตรวจการณ์ของสำนักตรวจการณ์มองฟังทั่นฮวาเอาไว้ อยากเชิญฟังทั่นฮวาไปรับตำแหน่งที่สำนักตรวจการณ์หรือเจ้าคะ เรื่องนี้จริงหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ สกุลเราก็จะมีตุลาการเพิ่มอีกคนแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ถามด้วยความสงสัย “เจ้าไปฟังใครมา”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อนุญาตให้ท่านโหวรู้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้ารู้หรือเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ของขวัญจากเกาชิงและหนานจิงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
บรรดาผู้ดูแลลานข้างนอกเป็นคนเก็บสิ่งของพวกนั้นเข้าห้องเก็บของ หากมีท่านป้าที่ติดตามมา พวกนางจะเข้ามาคารวะสืออีเหนียง แล้วมอบของขวัญ
สืออีเหนียงทิ้งสวีลิ่งอี๋แล้วไปที่โถงบุปผา
ของที่มาจากหนานจิงส่วนมากคือเครื่องประดับ ตอนนี้ไท่ฮูหยินไม่พบปะแขกแล้ว สืออีเหนียงมอบเงินรางวัล บอกให้พวกนางไปทานอาหาร พักผ่อน ชีเหนียงส่งยาสมุนไพรมาให้ นอกจากส่งผู้ดูแลหญิงมาคารวะสืออีเหนียงแล้ว ยังส่งจดหมายมาอีกสองฉบับ
“ฉบับหนึ่งมอบให้ฮูหยิน อีกฉบับหนึ่งมอบให้ฮูหยินห้าเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงคนนั้นมีสีหน้าดีใจ “นายหญิงของเรามีข่าวดีเมื่อเดือนเก้า ตอนนี้ทุกอย่างปลอดภัยราบรื่น คิดว่าฮูหยินและฮูหยินห้าเป็นห่วงนายหญิงมาตลอด ต้องเขียนจดหมายมาให้พวกท่านทั้งสองก่อนเจ้าค่ะ ฮูหยินห้าก็ใกล้จะคลอดแล้ว นายหญิงทำเสื้อผ้าเด็กน้อยมาให้สองสามชุด จึงส่งของขวัญพวกนี้มาช้าหน่อย จัดการเรื่องสองสามเรื่องพร้อมกัน ฮูหยินโปรดอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ย่อเข่าคำนับ
“จริงหรือ!” สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ปิติยินดีเป็นอย่างมาก นางรีบแกะจดหมายแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มแล้วเรียกชิวอวี่ “พาผู้ดูแลไปหาฮูหยินห้า”
ผู้ดูแลหญิงคนนั้นเดินออกไปด้วยความดีใจ
หลังจากนั้น สืออีเหนียงก็นึกถึงเด็กที่ถูกชีเหนียงรับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม.