ตนเองจะได้ถือโอกาสรับปากให้นางสมปรารถนา จากนั้นก็จงใจกลั่นแกล้งนางต่อหน้าซื่อเชี่ยที่มาใหม่สองนาง ทำลายความน่าเกรงขามของนาง ดูสิว่าหลังจากนี้นางจะเงยหน้าขึ้นต่อหน้าอนุภรรยาได้อย่างไร
ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อนางรั้งตัวเอา มั่วเชียนเสวี่ยก็ถือโอกาสนั่งลง และเอ่ยปากสั่งให้อนุภรรยาสองคนนั้นปรนนิบัตินาง บอกว่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนสักรอบ ในภายหลังไปปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลขึ้นมา จะได้รู้จักขอบเขต
นางหากระทั่งเหตุผลในการบอกปัดไม่ได้ นางไม่อาจเป็นฝ่ายไปขอให้มั่วเชียนเสวี่ยปรนนิบัตินางต่อหน้าซื่อเชี่ย[1]สองคนนี้ หากเรื่องลอยเข้าหูบุตรชายกับหลานชายขึ้นมา จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
“วั่นอี๋เหนียงกับสวี่อี๋เหนียง พวกเจ้าสองคนไม่ต้องปรนนิบัติข้า ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าให้ดีก็พอปรนนิบัติ บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าเป็นบรรพบุรุษตระกูลหนิง ปรนนิบัติได้ดี ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมีรางวัลให้”
วั่นจื่ออิ๋งและสวี่หยวนหยวนนัยน์ตาทอประกายขึ้นในเวลาเดียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากลับโมโหเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ขัดขวางนาง ยังจะหลอกนาง อีกประเดี๋ยวยังต้องให้รางวัล ความรู้สึกรังเกียจในใจของฮูหยินผู้เฒ่า ทำให้นางกินอะไรก็ไม่อร่อยไปหมด
มั่วเชียนเสวี่ยกินอาหารที่เรือนฉือหย่าง และรับมือกับฮูหยินผู้เฒ่าที่ปากหวานก้นเปรี้ยว ดึงเรื่องในครอบครัวมาเกี่ยวอ้อมๆ และให้คนส่งซื่อเชี่ยสองนางนั้นกลับไป นางไม่อยากให้สองคนนี้ตามตนเองกลับไป ทำให้หนิงเซ่าชิงขัดตา และสร้างความหงุดหงิดใจให้ตนเอง
รอจนมั่วเชียนเสวี่ยกลับถึงเรือนจื่อจู๋หว่าน ฟ้าก็มืดแล้ว
นี่เป็นฤดูหนาวเดือนสิบสอง เหลืออีกครึ่งเดือนก็จะฉลองปีใหม่แล้ว ด้านนอกหิมะตก ลมหนาวเสียดแทงกระดูก เป็นตอนที่หนาวที่สุดในปีพอดี
แม้ว่าจะมีเสลี่ยงให้นั่งตลอดทาง แต่ช่วงเวลาตกดึกเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในวันวันหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็เกือบจะถูกทำให้แข็งค้างไปแล้ว
โชคดีที่ในห้องอุ่นมาก กระถางทองสัมฤทธิ์ในห้องโถงด้านนอกเผาถ่านทั้งวันทั้งคืน มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเข้าไปผิงไฟครู่หนึ่ง ค่อยรู้สึกดีขึ้น และนั่งอยู่ในห้องโถงด้านนอกชั่วครู่ หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว ถึงได้เข้าไปในห้อง
หนิงเซ่าชิงกลับมาที่เรือนนานแล้ว ตอนนี้อาบน้ำเสร็จและกำลังนั่งพิงตัวบนตั่งอ่านหนังสือใต้แสงไฟอยู่
แม้ว่าวันนี้ตาของหนิงเซ่าชิงจะจ้องหนังสืออยู่ แต่มุมปากกลับไม่ได้โค้งขึ้น คิ้วก็ขมวดเล็กน้อยแตกต่างจากยามปกติที่อ่านหนังสืออย่างสนุกสนานและร่าเริง
มั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาได้ครู่หนึ่ง ตอนที่เพิ่งเข้ามา เขาเหลือบตาขึ้นมองนางแวบหนึ่ง หลังจากเอ่ยทักทายแล้ว ก็เงียบอยู่ตรงนั้นมาตลอด
ไม่แม้แต่จะพลิกหนังสือสักหน้ากระดาษ และยิ่งไม่ได้เป็นฝ่ายเข้ามาคลอเคลีย โดยเฉพาะวันนี้ที่มี ซื่อเชี่ยสองคนนั้นมาปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ด้วยนิสัยของเขาจะต้องแสดงความซื่อสัตย์ออกมาปลอบใจนางให้สงบ
ทว่าเขากลับจิตใจเหม่อลอย จะต้องมีเรื่องในใจแน่นอน อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยล้างเครื่องประทินโฉมและถอดเครื่องประดับศีรษะ หลังจากอาบน้ำภายใต้การปรนนิบัติจากชูอีกับสืออู่เรียบร้อย ก็โบกมือให้ทั้งสองคนออกไป
นางก้าวเท้าเดินเข้าไป นั่งลงข้างตั่ง แย่งหนังสือในมือเขามา “เซ่าชิง ท่านพ่อเอ่ยอันใดกับท่านหรือ”
หนิงเซ่าชิงใช้มือสองข้างรองศีรษะ หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ก็ไม่มีอะไร”
เป็นถึงขั้นนี้แล้วยังจะไม่มีอะไรอีก มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ได้คล้อยตาม “หรือว่ากระทั่งข้า ท่านก็จะปิดบังด้วย”
น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังเจือไปด้วยความโกรธเล็กน้อย
หนิงเซ่าชิงไม่ได้ลืมตา แต่กลับดึงมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามากอด พลางถอนหายใจ เขาไม่อยากให้นางเป็นกังวล แต่เห็นได้ชัดว่า หากไม่บอกนาง นางก็ไม่อาจวางใจได้
“เชี่ยนเสวี่ย วันนี้ท่านพ่อให้ข้าเตรียมตัวหาทางถอยอย่างเป็นทางการแล้ว”
“ทางถอยอะไร”
“เจ้าเคยคิดไหมว่า พวกเราเพิ่งจะแต่งงาน ฮ่องเต้ก็พระราชทานอนุภรรยามาให้ เบื้องหน้าคือเป็นห่วง แต่ความจริงกลับเป็นการยั่วยุอย่างหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่พอใจตระกูลขุนนางถึงขีดสุดแล้ว พยายามอดกลั้นมาหลายรุ่น ถึงยามที่จะระเบิดออกมาแล้ว ความหมายของท่านพ่อก็คือ ให้ข้าลงมือเตรียมหาทางถอยให้กับตระกูลหนิงในตอนนี้ ความพ่ายแพ้ของตระกูลหลูกับตระกูลเซี่ยก่อนหน้านี้ เป็นบทเรียนให้กับพวกเรา!”
“ท่านพ่อให้ท่านเตรียมทางถอยแบบใด”
“เหมือนกับตระกูลอวี้ฉือล้อมหุบเขาที่ซ่อนตัวหลายลูกเพื่อเป็นแหล่งบัญชาการใหญ่ ในภายหลังมีภัยจะได้หลบเลี่ยงได้…”
เมื่อเทียบกับการคงอยู่ของคนทั้งตระกูล ชีวิตผู้คนมากมายมหาศาล ซื่อเชี่ยสองคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรจึงปลิวออกจากสมองพวกเขาไปทันที
“ไม่ใช่ว่ายังมีที่ดินศักดินาที่ฮ่องเต้พระราชทานให้หรอกหรือ”
“เจ้าก็รู้ว่าที่ดินศักดินานั้น ประการแรกไกลเกินไป ประการที่สองสภาพแวดล้อมที่นั่นเลี้ยงคนไม่ได้ ยากที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หากขาดเสบียงอาหาร ไม่ต้องโจมตี เวลาผ่านไปนานเข้า ตนเองก็หิวตายก่อนแล้ว”
หนิงเซ่าชิงเอ่ยแล้วถอนหายใจยาว “ตระกูลเซี่ยก็พ่ายแพ้ในที่ดินศักดินา ที่แห่งนั้นเลี้ยงดูทหารนับหมื่นแล้วอย่างไร เพียงแต่ล้อมเอาไว้แต่ไม่โจมตี ไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ก็ถูกขังไว้จนตายทั้งอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังไม่มีความคิดดีๆ อะไรชั่วคราว นางอยากเอ่ยว่า ให้ตระกูลหนิงย้ายไปยังชายแดนตะวันตกมาก
ทว่า ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลหริง หากไปถึงชายแดนตะวันตก ทั้งสองชนเผ่าจะรับไหวหรือ
ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในความจงรักภักดีของทั้งสองชนเผ่า แต่ตอนที่นางยังไม่ได้ก้าวก่ายผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาย่อมดูแลปกป้องนางเป็นอย่างดี เพราะเห็นแก่หน้าบิดา
แต่หากตระกูลหนิงไป ย่อมกลายเป็นผู้นำในชายแดนตะวันตก ถึงตอนนั้นถูกหนีบอยู่ระหว่างชาวชังกับเทียนฉีสองชายแดน เกรงว่าจะไม่สะดวกพอที่จะให้อาศัยอยู่รอดไปได้
มั่วเชียนเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เซ่าชิง ข้าคิดว่าพวกเราควรมีแผนสำรอง ทางหนึ่ง ท่านก็ไปหาหุบเขาที่เหมาะสม บวกกับจัดการพื้นที่ให้เรียบร้อย อีกทางหนึ่ง ท่านก็ให้คนส่งน้ำกับดินในเป่ยต้าฮวงมาเยอะหน่อย”
หนิงเซ่าชิงจะไม่เตรียมแผนสำรองไว้ได้อย่างไร แต่เขารับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลมาใกล้จะปีหนึ่งแล้ว ข่าวสารที่ได้รับจากคนที่ถูกส่งไปเป่ยต้าฮวงล้วนท้อแท้และผิดหวัง “เจ้าต้องการน้ำกับดินที่นั่นไปทำอะไร”
“ท่านส่งมาก็พอ จะต้องเป็นน้ำกับดินของเป่ยต้าฮวงนะ ยิ่งมากยิ่งดี”
ยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมาย และมีผลผลิตทางการเกษตรมากเสียยิ่งกว่ามาก ขึ้นทางทิศตะวันออกไม่ได้ แต่กลับเจริญเติบโตได้ดีในทิศตะวันตก นี่คือคุณสมบัติเฉพาะของเนื้อดิน
นางต้องตั้งใจศึกษาค้นคว้าสักหน่อย ว่าน้ำและดินที่นั่นมีปัญหาอะไรกันแน่ แม้กระทั่งหญ้าก็ยังขึ้นไม่ได้
กล่าวตามตรง สถานที่แห่งนั้นถึงจะเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ควบคุมไม่ได้
กล่าวตามตรง แม้ว่าที่นั่นจะมีผู้คนน้อยมาก แต่พื้นที่กว้างใหญ่ ทั้งยังเป็นชัยภูมิซึ่งมีสิ่งกีดขวางตามธรรมชาติปกป้องเอาไว้ ที่นั่นอาจสามารถเป็นรากฐานและทางถอยที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลหนิง
ทั้งสองคนศึกษาค้นคว้ากัน เจ้าประโยค ข้าประโยค ช่วยกันวิเคราะห์ลักษณะชัยภูมิของเทียนฉีกันใหม่อีกรอบ
สตรีที่เอาจริงเอาจังนั้นงามที่สุด!
แม้ว่าฟ้าจะมืดสนิทแล้ว แต่หิมะที่ถูกแสงส่องนั้นกลับไม่มืด สะท้อนแสงภายในห้องจนเกิดแสงจางๆ เปลวเทียนที่ติดกับมุมกำแพงสว่างจนทำให้ภายในห้องสลัวเลือนราง ทอประกายใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยให้มีสีแดงอมชมพูชั้นหนึ่ง จนสะท้อนแสงสดใสพร่างพราวออกมา
จิตใจกังวลไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้ามั่วเชียนเสวี่ยไร้เครื่องประทินโฉมแต่งแต้ม เอี๊ยมสีขาวบนร่างทอประกายจนใกล้เคียงกับเทพเซียนปกคลุมนางเอาไว้ ขับเน้นให้นางโดดเด่นมากยิ่งขึ้น หนิงเซ่าชิงเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มอีกแล้ว!
ทว่า คิดถึงวันนี้ที่นางวิ่งวุ่นไปทั่วตลอดทั้งวัน กลางคืนยังต้องเป็นกังวลอนาคตของตระกูลหนิงด้วยกันกับเขา หนิงเซ่าชิงก็ปวดใจเป็นระลอก
วันนี้นางเหนื่อยเกินไป หนิงเซ่าชิงพยายามควบคุมเพลิงอารมณ์ที่ลุกโชน แล้วจุมพิตหน้าผากนาง จากนั้นก็ใช้มือลูบนัยน์ตาเปล่งประกายของนาง “นอนเถอะ”
“อืม ราตรีสวัสดิ์!” มั่วเชียนเสวี่ยหาท่านอนที่สบายในอ้อมแขนหนิงเซ่าชิงแล้วหลับไป
หนิงเซ่าชิงจับเรือนผมอันงดงามของนางเบาๆ เขาจะต้องพยายามปกป้องนางสุดความสามารถ! มอบความสุขที่นางต้องการให้นาง ให้นางได้ใช้ชีวิตผ่านคืนวันที่สงบ
[1] ซื่อเชี่ย คืออนุภรรยาที่มาจากสามัญชน