สะใภ้หนานหย่งตอบอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” พาสืออีเหนียงไปดูหีบของที่สวีซื่อเจี้ยใกล้จะเก็บเสร็จแล้ว
สืออีเหนียงมองดูหีบของที่จัดวางอย่างเรียบร้อย แล้วมองดูสาวใช้ที่ยังคงเก็บข้าวของอย่างระมัดระวัง นางเงียบพลางครุ่นคิด
สาวใช้ในเรือนของสวีซื่อเจี้ยมีทั้งที่โตแล้วและที่ยังเป็นเด็กอยู่
ซวงอวี้กับสี่เอ๋อร์เป็นคนที่นางมอบให้ในปีนั้น คนหนึ่งอายุมากกว่าสวีซื่อเจี้ยแปดปี อีกคนหนึ่งอายุมากกว่าห้าปี
สามปีก่อนครอบครัวของซวงอวี้ได้หมั้นหมายให้นาง รอเพียงแค่ครบกำหนดอายุก็แต่งออกไปได้เลย ไม่ได้มีใจที่คิดจะชิงดีชิงเด่นมานานแล้ว และไม่คิดอยากจะทำให้ใครขุ่นเคือง ปลูกฝังจิตใจที่มีความเมตตา เรื่องส่วนใหญ่ของสวีซื่อเจี้ยเลยมักจะถูกจัดการโดยสี่เอ๋อร์ สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่สวีซื่อเจี้ยย้ายไปอยู่ที่เรือนนอก สะใภ้หนานหย่งก็จะไม่สามารถปรนนิบัติอยู่ข้างกายได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงเลือกสาวใช้น้อยที่มีไหวพริบมาสองคน คนหนึ่งชื่อชิงอวี้ อีกคนหนึ่งชื่อมั่วอวี้ ทั้งสองคนอายุไม่เกินแปดเก้าปี
เดิมคิดว่าอยู่ที่เรือนในมีนางคอยดูแล ย่อมไม่ต้องกังวล พอไปอยู่เรือนนอกมีสี่เอ๋อร์คอยดูแลนางก็วางใจ หลังจากเกิดเรื่องที่ตรอกซานจิ่ง นางก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถามสะใภ้หนานหย่ง “หากข้าจำไม่ผิด นิวเอ๋อร์ของพวกเจ้าเหมือนว่าจะอายุเท่ากับสวีซื่อเจี้ย?”
สะใภ้หนานหย่งชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินความจำดีจริงๆ ปีนี้อายุสิบปีพอดีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกับนางไปที่ห้องด้านในของสวีซื่อเจี้ย
“เจ้าก็รู้กฎเกณฑ์ของในจวนดี เพื่อไม่ให้เด็กผู้ชายโตขึ้นในการดูแลของสตรี เมื่ออายุครบสิบขวบก็ต้องย้ายออกไปอยู่เรือนนอก ไม่อนุญาตให้แม่นมที่คอยปรนนิบัติข้างกายกับบรรดาป้ารับใช้ตามออกไปด้วย ของกินของใช้ทั้งหมดจะถูกดูแลโดยสาวใช้ใหญ่ข้างกาย”
นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้แม่นมหรือป้ารับใช้อาศัยความผูกพันที่รับใช้มาตั้งแต่ยังเด็กยั่วยุให้เจ้านายทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
สีหน้าของสะใภ้หนานหย่งดูหม่นหมองเล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยเป็นเด็กที่นางเลี้ยงมากับมือ แต่สถานการณ์กลับน่าอึดอัดมากที่สุด ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่รู้ว่านางช่วยเขาให้พ้นจากปัญหามาเท่าไรแล้ว ตอนนี้นางไม่สามารถอยู่ดูแลข้างกายได้อีกต่อไป และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แค่คิดก็เป็นกังวลแทนเขาแล้ว
“…หลายปีมานี้เจ้าคอยรับใช้อยู่ข้างกายเจี้ยเกอ ปกตินิวเอ๋อร์ก็จะมาเล่นด้วย บางครั้งก็ช่วยเจ้าทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เจี้ยเกอ เป็นคนที่มีความสามารถมาก หากเจ้าเต็มใจ ไม่สู้ให้นิวเอ๋อร์มาคอยรับใช้ข้างกายเจี้ยเกอเถิด!”
นิวเอ๋อร์อายุสิบปีแล้ว นางกำลังคิดอยากจะช่วยของานให้นิวเอ๋อร์ จะดีมากหากได้รับใช้ข้างกายสวีซื่อเจี้ย หากสวีซื่อเจี้ยมีเรื่องอันใด นางก็จะรู้ได้ทันเวลา สืออีเหนียงเป็นคนเสนอขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะพอดี ราวกับคนที่ง่วงนอนแล้วเจอกับหมอนพอดีอย่างไรอย่างนั้น สะใภ้หนานหย่งจึงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก นางรีบคุกเข่าให้สืออีเหนียงแล้วโขกศีรษะขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยินที่เมตตา บ่าวจะกำชับให้นิวเอ๋อร์ปรนนิบัติคุณชายน้อยห้าเป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปจับมือของนาง “เจ้าดูแลคุณชายน้อยห้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเขาพึ่งมาถึงเป็นอย่างไร จนตอนนี้เขาเป็นอย่างไร จะลืมคุณงามความดีของเจ้าได้อย่างไร นิวเอ๋อร์ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า ไม่มีอะไรที่ข้าต้องเป็นกังวล” แล้วพูดต่อไปว่า “พอเจ้าว่างก็สามารถไปเยี่ยมนิวเอ๋อร์ที่เรือนได้ จะได้คอยไปดูคุณชายน้อยห้าและมาเยี่ยมข้าด้วย ส่วนเรื่องเงินเดือนก็ให้เป็นไปตามกฎในจวน ในปีแรกที่เข้ามาในจวนจะดูแลเพียงเรื่องของกินของใช้ หลังจากหนึ่งปีก็จะได้รับค่าแรงของสาวใช้น้อยระดับสี่ หากทำงานได้ดีก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น”
สะใภ้หนานหย่งเข้าใจเจตนาของนาง รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวจะไปเยี่ยมคุณชายน้อยห้าบ่อยๆ อย่างแน่นอน แล้วก็จะเข้าจวนมาคารวะท่านบ่อยๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า กลับไปหารือกับสวีลิ่งอี๋เกี่ยวกับวันย้ายเรือน “ย้ายปลายเดือนนี้ดีหรือไม่ พอเดือนสองฤกษ์งานยามดี อาจารย์จ้าวก็จะกลับมาแล้ว เขาจะได้เชิญอาจารย์จ้าวกับจุนเกอไปนั่งเล่นที่เรือนของตัวเอง” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้ายังอยากทำห้องพักผ่อนอีกสองห้องไว้หลังเรือนหลักเป็นห้องทำงานให้เจี้ยเกอ ท่านว่าดีหรือไม่”
สถานที่ที่สวีซื่ออวี้อาศัยอยู่มีห้องด้านหลังมากกว่าสวีซื่อเจี้ย คงจะไม่มากเกินไปหากจะสร้างห้องพักผ่อนเพิ่มให้สวีซื่อเจี้ย
สวีลิ่งอี๋ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเหล่านี้สืออีเหนียงเห็นว่าสมควรก็พอแล้ว
“เช่นนั้นข้าจะให้พ่อบ้านไป๋รีบสร้างห้องพักผ่อนในปลายเดือนนี้”
สืออีเหนียงพยักหน้า ทางด้านพ่อบ้านไป๋ได้ส่งคนไปทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อรีบสร้างห้องพักผ่อนให้เสร็จ ส่วนตัวเองก็ยุ่งอยู่กับการหาบ่าวรับใช้ให้สวีซื่อเจี้ย
เมื่อถึงสิ้นเดือน แม้ว่าห้องพักผ่อนจะยังคงมีกลิ่นฉุนของสีอยู่ แต่สวีซื่อเจี้ยก็ยังคงดำเนินการไหว้บรรพบุรุษ กล่าวลาไท่ฮูหยินแล้วย้ายเข้ามาอยู่
จากนั้นสืออีเหนียงก็เริ่มยุ่งอยู่กับเทศกาลซานเย่ว์ซานที่เป็นวันสตรี
ไท่ฮูหยินมีความสุขกับการเกิดมาของเฉิงเกอเป็นอย่างมาก มักจะพูดกับป้าตู้เป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ว่า “รอให้สืออีเหนียงมีหลานชายให้ข้าอีกหนึ่งคน ส่วนจุนเกอก็แต่งงานกับคุณหนูเก้าสกุลเจียงอย่างราบรื่น ข้าก็พอใจแล้ว สามารถตายตาหลับไปพบกับท่านโหวผู้เฒ่าและบรรพบุรุษสกุลสวีได้แล้ว” ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงได้มีท่าทางตื่นเต้นกับงานเทศกาลซานเย่ว์ซานครั้งนี้เป็นอย่างมาก “…เชิญคณะงิ้วใหญ่สามคณะมาให้หมด เล่นงิ้วติดต่อกันสามวัน จะฮูหยินของเหลียงเก๋อเหล่าหรือฮูหยินของโต้วเก๋อเหล่าก็ส่งเทียบเชิญไปให้หมด แล้วก็อย่าลืมไท่ฮูหยินสกุลกานด้วย” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดอีกว่า “สงสารคนที่อ่อนโยนและซื่อสัตย์อย่างนาง อยากให้ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง จะได้ไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจอยู่คนเดียวในเรือน แม้แต่คนจะปลอบใจก็ไม่มี หากนางมีเรื่องเป็นกังวล เจ้าก็บอกนางว่าข้าเชิญนางมาพูดคุยกับพี่สะใภ้สองของเจ้า” เมื่อพูดจบรอยยิ้มก็จางหายไป มีความสั่นเครือเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
การที่ไท่ฮูหยินพูดออกมาเช่นนี้นั้นมีเหตุผล
จวนจงฉินปั๋วก่อเรื่องขึ้นอีกแล้ว
เมื่อต้นปีมีคนฟ้องร้องว่าครอบครัวพวกเขาหลอกขายจวนเดียวถึงสองครั้ง คนที่ซื้อจวนคนหนึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ของโต้วเก๋อเหล่า อีกคนหนึ่งเป็นท่านอาของฟั่นเหวยกัง จวนนั้นมีทำเลที่ดี พอเรื่องแดงขึ้นมา ทั้งสองสกุลก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะยอมให้ นำหนังสือโฉนดไปยื่นฟ้องที่ศาลว่าการ หลานถิงมาหาสืออีเหนียงขอให้ช่วย สวีลิ่งอี๋จึงเขียนจดหมายถึงฟั่นเหวยกัง ท่านอาของฟั่นเหวยกังจึงได้ถอนฟ้อง ไม่รู้ว่าโต้วเก๋อเหล่าไปได้ยินคดีนี้จากที่ไหน มีคำสั่งให้หลานชายหาที่อยู่ใหม่ แต่สุดท้ายสกุลกานกลับไม่มีเงินสามหมื่นตำลึงคืนค่าซื้อเรือนให้แก่สองสกุลในตอนนั้น สกุลกานอยากจะตั้งราคาขายอีกครั้ง แต่เรื่องได้แพร่สะพัดออกไปแล้ว คนอื่นไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จึงหาคนมาซื้อไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง กานฮูหยินจึงได้พาบุตรชายบุตรสาวตัวน้อยมาคุกเข่าร้องไห้ที่เรือนกานไท่ฮูหยิน ขอร้องให้กานไท่ฮูหยินเห็นแก่เด็กๆ ให้เงินมาช่วยเหลือ ถ้าหากสกุลกานไม่สามารถหาเงินมาคืนผู้อื่นได้ อนาคตของเด็กๆ ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
กานไท่ฮูหยินใจอ่อนไปชั่วขณะหนึ่ง ให้สัญญาเช่าร้านกับกานฮูหยินไปสองห้อง กว่าพี่ใหญ่ของกานไท่ฮูหยินจะรู้แล้วรีบเดินทางมา จงฉินปั๋วก็ได้ขายร้านทิ้งไปแล้ว
สกุลโต้วและสกุลฟั่นต่างก็เป็นขุนนางที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของฮ่องเต้ กลัวว่าจะมีคนนำเรื่องนี้ไปเขียนฏีกาจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึง สกุลกานพูดกับคนนอกว่าผู้ดูแลจัดการผิดพลาด ซ้ำยังคืนเงินให้อย่างใจกว้าง เรื่องจึงได้สงบลงอย่างรวดเร็ว แต่สกุลสวีเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย สวีลิ่งอี๋จึงได้สอบถามถึงสถานการณ์ของสกุลกานโดยเฉพาะ บางคำหลานถิงก็ไม่ได้ปิดบังนาง สืออีเหนียงรู้ว่าเป็นเพราะความไม่สงบสุขในท้องทะเลของช่วงนี้ สกุลกานไม่เพียงสูญเสียเงินที่หาได้ในตอนแรกไปทั้งหมด ซ้ำยังรวมถึงเงินต้นด้วย ตอนนี้สกุลกานก็เหมือนกับชั้นวางของที่ว่างเปล่า
เมื่อได้เจอกานไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็พูดคุยกับนางเป็นการส่วนตัว “มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งที่สอง ข้าว่าหากท่านไม่คิดหาวิธีควบคุมเรื่องในจวน เช่นนั้นก็ต้องตัดใจไม่ไปสนใจเรื่องเหล่านี้ของพวกเขาอีก ให้คนสกุลกานไปขายไร่ขายนาเอง เมื่อถึงเวลานั้นท่านค่อยนำเงินส่วนตัวออกมาใช้จ่าย พวกเขาไม่เพียงแต่จะทำตามความต้องการของท่าน ซ้ำยังขอบคุณท่าน แต่หากท่านยังเป็นเช่นนี้ ต่อให้มีเงินทองกองเท่าภูเขา ก็ไม่สามารถนำมาใช้หนี้สินที่พวกเขาก่อขึ้นเช่นนี้ได้”
สีหน้าของกานไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความตกใจ “ให้สกุลกานขายไร่ขายนา จะ…จะทำได้อย่างไรกัน”
“ต้องหักดิบก่อนที่จะสายไป ถึงแม้ว่าผู้ใหญ่จะรับไม่ได้ แต่เด็กๆ ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดี” สืออีเหนียงรู้ว่านางกลัวว่าสกุลกานจะไม่มีที่พึ่งจึงได้ควักเงินออกมา “ท่านพิจารณาคำพูดของข้าให้ดีเถิด” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่ได้เห็นจิ่นเกอมานานแล้วใช่หรือไม่ เขาไปพายเรืออยู่ที่ท่าน้ำหลิวฟังแล้ว ข้าจะให้แม่นมกู้ไปอุ้มเขามาให้ท่านดู”
จิ่นเกอนั้นร่าเริงสดใส น่ารักน่าชัง ซ้ำยังปากหวาน สำหรับคนที่ไม่มีบุตรอย่างกานไท่ฮูหยิน แค่ได้ยินชื่อก็ใจอ่อนแล้ว
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางทันที “ให้เขาเล่นไปเถิด ให้เขาเล่นไปเถิด” พูดพลางลุกขึ้น “พวกเราไปดูเขากัน!”
สวีซื่ออวี้ไม่อยู่เรือน วันนี้คนที่ดูแลเป็นสวีซื่อเจี่ยน
แม้ว่าจะมีป้ารับใช้และสาวใช้อยู่ข้างกาย แต่สืออีเหนียงก็ไม่ค่อยวางใจ ไปที่ท่าน้ำหลิวฟังกับกานไท่ฮูหยิน
จิ่นเกอสายตาดี มองเห็นพวกนางมาแต่ไกล นั่งโบกมืออยู่ในเรือแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่ ไท่ฮูหยิน”
หญิงเฒ่าที่พายเรืออยู่รีบพายเรือขึ้นฝั่ง จิ่นเกอรีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง ออดอ้อนเล็กน้อยก่อนจะไปจับมือกานไท่ฮูหยิน “เหตุใดท่านถึงได้มาที่จวนของพวกเรา ให้ข้าพาท่านไปพายเรือเล่นดีหรือไม่ขอรับ!” ทำเอาทุกคนต่างก็หัวเราะ
สายตาของสืออีเหนียงกลับเหลือบไปเห็นสวีซื่อเจี่ยนที่ยืนอยู่เงียบๆ “เหตุใดถึงไม่เห็นจุนเกอกับเจี้ยเกอเล่า”
จินซื่อรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้าบอกว่าการพายเรือเป็นเรื่องน่าเบื่อก็เลยไปหาท่านย่าแล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกำลังฟังละครงิ้วอยู่ที่ห้องโถงบุปผา
ตอนที่สืออีเหนียงไปเชิญคณะงิ้วทั้งสามมาได้ทำตามคำแนะนำของไท่ฮูหยิน ตั้งใจให้คณะเต๋ออินปานแสดงเป็นวันสุดท้าย หลังจากความตื่นเต้นของสองวันแรก ในวันที่สามก็ไม่มีคนแปลกใจที่นางปล่อยให้สวีซื่อเจี้ยไปดูละครงิ้วเอง
แต่ก็มีบางสิ่งที่ต้องป้องกันไว้ นางกำชับจู๋เซียงด้วยน้ำเสียงปกติ “เจ้าไปดูสักหน่อย เผื่อว่าจะไม่มีคนคอยรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายน้อยทั้งสอง”
จู๋เซียงรับคำแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงกับกานไท่ฮูหยินนั่งอยู่ที่ศาลาน้ำถัดจากท่าน้ำหลิวฟังคอยเฝ้าดูเด็กๆ พายเรือเล่นกัน
เพราะคำพูดนั้นของสืออีเหนียงทำให้สีหน้าของกานไท่ฮูหยินดูเหม่อลอยตลอดเวลา
เสียงหัวเราะดังกังวานดั่งเสียงระฆังของจินซื่อดังขึ้น ความขี้เล่นที่ไร้เดียงสาของเด็กๆ ทำให้สติของกานไท่ฮูหยินค่อยๆ กลับมา
นางพูดอย่างลังเลว่า “ข้าได้ยินมาว่าเฉิงกั๋วกงสกุลเฉียวได้ซื้อร้านค้าทั้งหมดในซานตงและซานซีเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ขายที่ดินที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสองแปลง บุตรชายสกุลพวกเขาเดิมทีได้ไปพูดหมั้นหมายกับบุตรสาวของผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครไว้ พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิกลับเงียบหาย…”
หลังจากอาศัยอยู่ในสกุลกานมาหลายสิบปีโดยไม่เคยคิดที่จะจากไป ทันใดนั้นก็มีคนมาเกลี้ยกล่อมให้นางยอมแพ้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าทางเลือกนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด แต่กลับยากที่จะตัดสินใจ…สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของนางดี
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินจากนายหญิงสี่สกุลถังแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ฟังจากคำพูดของนายหญิงสี่สกุลถังแล้ว ดูเหมือนว่าสกุลเฉียวจะติดหนี้อยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแต่สกุลของพวกนาง ซ้ำยังมีของสกุลอื่นอีก จงซานโหวกลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นสกุลเฉียวจะหามาคืนไม่ได้ จึงได้ให้คุณนายสี่สกุลถังไปหาเฉียวฮูหยินถึงสองครั้ง”
“คุณนายสี่สกุลถังเป็นคนฉลาด การที่นางบอกเรื่องนี้กับเจ้า แน่นอนว่าย่อมได้รับการไหว้วานจากจงซานโหวให้มาสืบความเคลื่อนไหวของสกุลเจ้า” กานไท่ฮูหยินฟังด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เช่นนั้นท่านโหวว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านโหวรู้ตั้งนานแล้ว” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “เฉิงกั๋วกงเคยมาหาท่านโหวด้วยเรื่องนี้ ท่านโหวบอกว่าทั้งสองสกุลเป็นสหายเก่ากัน หากเป็นความเดือดร้อนชั่วคราว สกุลสวีจะยื่นมือเข้าไปช่วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนี้จวนเฉิงกั๋วกงต้องการขายทรัพย์สินของบรรพบุรษเปลี่ยนเป็นเงิน สกุลสวีจึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปแทรกแซง เพื่อไม่ให้ตกลงไปในกับดักจึงได้บอกปัดเฉิงกั๋วกงไปตามสมควร”
กานไท่ฮูหยินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “เช่นนั้น คนผู้นั้นในสกุลเจ้าร้องไห้หรือไม่”
“จะร้องหรือไม่ร้องข้าก็ไม่รู้” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวแพร่สะพัดมาถึงข้า”
กานไท่ฮูหยินกำลังจะถามต่อ แต่จู๋เซียงก็เดินเข้ามาพอดี