เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลง
แม้นางจะไม่อยากยอมรับ แต่นางก็เจอศัตรูหัวใจเข้าแล้วจริงๆ
นางคือพี่หนีหรือ นางเป็นเชื้อสายของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหรือ
เป็นไปได้หรือเปล่าว่านางคือหนีเฟิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปอีกทาง สายตาของนางหยุดลงที่เด็กสาวในชุดสีชมพูอีกครั้ง
ถ้านางคือคนคนนั้น เช่นนั้นทุกอย่างก็ยิ่งดูสมเหตุสมผล
ไม่แปลกใจเลยที่หยวนหมิงมักพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับวิญญาณที่อยู่ในร่างของนาง
กลับกลายเป็นว่าคนที่ต้องการทวงร่างนี้คืนจากนางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อน
แต่เป็นหนีเฟิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย และรอคอยเวลาอันเหมาะสมที่จะเข้าควบคุมร่างนี้ต่างหาก
ที่หนีเฟิ่งอยากกลับไปยังโลกมนุษย์ ไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่านางต้องการขัดขวางไม่ให้ผนึกขับไล่วิญญาณร้ายถูกทำลาย แต่เป็นเพราะว่านางยังมีเยื่อใยให้กับฝ่าบาทอยู่นั่นเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจ ถ้านางมีความรู้สึกให้เขาจริง นางจะยืนอยู่เฉยๆ และมองดูคนคนนั้นตายต่อหน้าต่อตาตัวเองได้อย่างไร
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางเข้าใจได้ นั่นคือการที่ทุกอย่างดูจะซับซ้อนขึ้นทุกที นางต้องรีบหาทางแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางต้องพาฝ่าบาทกลับบ้าน
หนีเฟิ่งเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไป ดังนั้นนางจึงพยายามทำลายความเงียบ นางเคลื่อนสายตาไปมองนางแล้วเอ่ยว่า ”ข้าคิดว่าเจ้าเองก็คงไม่อยากถูกล่ามอยู่ในนี้เหมือนกัน ถูกหรือเปล่า”
“ใครบอกหรือว่าข้าไม่อยาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมุมปากขึ้น ”มีคนนำทั้งอาหารและน้ำดื่มมาให้ อยู่ในนี้ต่อก็ไม่เลวนัก”
หนีเฟิ่งหัวเราะ ”เหตุผลเดียวที่เจ้ายังสามารถดื่มกินได้ในเวลานี้เป็นเพราะสำหรับปีศาจแล้ว การหล่อเลี้ยงวิญญาณย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลา หากเขาเลิกสนใจเจ้าเมื่อใด และเมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าย่อมได้บอกลาชีวิตของตัวเองแน่ พอเป็นเรื่องของมนุษย์แล้วเขาค่อนข้างไร้ความอดทนทีเดียว”
คำอธิบายของหนีเฟิ่งตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันของเฮ่อเหลียนเวยเวยทุกประการ
นางเป็นคนฉลาดมากจริงๆ น้ำเสียงที่นางใช้พูดนั้นไม่มีความตื่นตระหนกแฝงอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ”ถ้าเจ้าอยากออกไปจริงๆ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้นะ อย่างน้อยข้าก็สามารถช่วยชีวิตเจ้า และส่งเจ้ากลับไปยังโลกมนุษย์อย่างปลอดภัยได้ ถ้าเจ้าตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ เช่นนั้นข้าก็คงไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้าจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้า ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่พวกเราก็ไม่อาจละสายตาจากเป้าหมายของตัวเองเพียงเพื่อชีวิตของเจ้าคนเดียวได้ ลองคิดดูให้ดีเถิด วันพรุ่งนี้เจ้าค่อยให้คำตอบข้าก็ยังได้”
“ไม่จำเป็น ข้าสามารถให้คำตอบเจ้าได้ในตอนนี้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น ร่างเพรียวของนางปรากฏสู่สายตา ระหว่างที่ริมฝีปากนั้นค่อยๆ เผยรอยยิ้มบางออกมาขณะมองหนีเฟิ่ง ”ข้าไม่ไป”
หนีเฟิ่งขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ นางไม่เคยพบเจอคนที่ไม่ให้ความร่วมมือเช่นนี้มาก่อน
เสี่ยวขุยโมโหขึ้นมาในทันที ”ข้าบอกท่านแล้วนี่เจ้าคะ พี่หนี หญิงผู้นี้ไร้ซึ่งความละอาย นางวางแผนที่จะแย่งตำแหน่งราชินีไปจากท่าน บอกข้ามาสิว่ามีใครบ้างหรือที่ไม่รู้ว่าคนที่องค์ราชาเป็นผู้เลือกมาด้วยตัวเองย่อมต้องกลายเป็นภรรยาในอนาคตของเขา เจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
ฟุ่บ!
เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะนาง
เสียวขุยมองตรงไปที่ใบมีดสีเงินบางราวกระดาษที่ทิ้งรอยแผลเป็นทางยาวไว้บนใบหน้านาง ความเจ็บปวดอันรุนแรงแล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้นางระเบิดโทสะออกมา!
“นังนี่ กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายข้า!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นกับมีดสีเงินในมือ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ”ข้าทำร้ายเจ้าแล้วมีปัญหาอะไรหรือ”
“เจ้า!” เสี่ยวขุยเดือดปุดๆ นางตั้งท่าจะกระโจนใส่นาง
หนีเฟิ่งใช้มือข้างหนึ่งห้ามนางเอาไว้ จากนั้นจึงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับบอกว่า ”ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกเจ้าเป็นราชินีของเขาอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่สนใจที่จะเป็นราชินีอะไรนั่นเสียหน่อย” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเกียจคร้าน ”เจ้าไม่ต้องเตือนข้าบ่อยนักหรอก”
หนีเฟิ่งเม้มริมฝีปาก ”ดูเหมือนว่าเจ้าก็ไม่ได้มีแผนการที่จะอยู่ที่นี่เช่นกัน”
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยจับจ้องอยู่ที่หนีเฟิ่งขณะพยายามคาดเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ นางไม่อยากให้หนีเฟิ่งเข้ามาขวางทางนาง เวลามีจำกัด และนางไม่อยากเสียเวลาส่วนมากของนางไปกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า ”แน่อยู่แล้ว”
ทันทีที่นางพูดจบ ดวงตาของหนีเฟิ่งก็เบิกกว้าง สายตาของนางเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ร่างที่อยู่ด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยทันที ”ฝ่าบาท…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น นางรู้สึกถึงความเย็นที่มาจากด้านหลังได้อย่างชัดเจน ความหนาวเย็นนั้นทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้าน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ปิดแขน ขนของเสื้อตัวนั้นทำมาจากขนสุนัขจิ้งจอกคุณภาพสูง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการให้ความอบอุ่นได้อย่างดีเยี่ยม
ครั้งแรกที่เขาเห็นเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวนี้ เขาก็นึกถึงเหยื่อที่เขาเพิ่งจับได้ขึ้นมาในทันที
นางจะต้องชอบแน่ถ้าหากมันอยู่บนร่างของนาง
เพียงแค่มอง เขาก็รู้แล้วว่านางชอบของแพง
นางคงจะมีความสุขน่าดูตอนที่เห็นเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวนี้
ทุกคนที่เข้าใกล้เขาล้วนแต่พยายามที่จะหาผลประโยชน์จากเขาไม่มากก็น้อย
แต่นางกลับมีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้
เขารู้ว่านางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะทนความหนาวไม่ไหว เขาคิดว่านางจะคลายมือออกจากตัวเขา แต่เขานึกไม่ถึงว่านางจะกอดเขาแน่นและทนหลับต่อไปเช่นนั้นทั้งคืน
มิหนำซ้ำนางยังเคยขโมยจูบเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
เขาเข้าใจความอัปยศของมนุษย์อย่างพวกนางดี โดยเฉพาะกับมนุษย์ผู้หญิง และเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายความรู้สึกของนาง เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ยกพฤติกรรมของเหยื่อตัวน้อยตัวนี้ขึ้นมาพูด
เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ แต่นางกลับไม่เคยคิดที่จะอยู่เคียงข้างเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฮ้อ ช่างย้อนแย้งเสียจริง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอียงศีรษะไปด้านหนึ่ง ทันใดนั้นอุณหภูมิโดยรอบก็ลดลงอย่างฉับพลัน เหลือเพียงความหนาวเย็นที่ปกคลุมร่างของพวกเขาอยู่!
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเขาได้ยินทุกอย่าง รวมถึงสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่นี้ด้วย ดูจากนิสัยของเขาแล้ว เขาคงไม่พอใจอย่างมากหลังจากได้ยินทุกอย่างเข้า แย่แล้ว เขาอาจจะเมินนางไปตลอดกาลเลยก็ได้
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังยืนอยู่ข้างหลังนาง สายตาของเขาไร้ซึ่งความอบอุ่นราวกับใบมีดน้ำแข็งอันไร้รูปร่างที่ทิ่มแทงทะลุกลางใจของนาง
“ท่าน…” เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากขอให้เขาเปิดโอกาสให้นางได้แก้ตัว
แต่ทันทีที่นางพยายามขยับตัว นางก็ตระหนักได้ว่านางยังถูกล่ามเอาไว้ในกรงเพราะเสียงโซ่ที่ดังกระทบกันอยู่ข้างหลัง
เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของนาง เขาละสายตาออกจากนาง ทุกคำที่เขาเอ่ยออกมานั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความเย็นชา ”กิเลน เหยื่อตัวนี้มีสิทธิ์เข้ามาในวิหารแห่งแสงสว่างตั้งแต่เมื่อใดหรือ หืม”
กิเลนอัคคี : ก็เป็นท่านเองมิใช่หรือที่กลัวว่าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่จะเบื่อ ก็เลยอนุญาตให้นางออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ! เพราะเรื่องนี้ ทั้งเขาและชิงหลงจึงอิจฉาตาร้อนยิ่งนัก! ตอนที่เขาเลี้ยงพวกมัน เขาไม่เคยปล่อยให้พวกมันได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เลยสักครั้ง แค่มีอาหารกินก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะสามารถร้องขอได้แล้ว!
แต่เวลานี้กิเลนอัคคีไม่กล้าพอที่จะทำให้ผู้เป็นนายโมโหไปมากกว่านี้ เขาก้มศีรษะลงและกล่าวขอโทษเขาทันที ”เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ ข้าไม่ควรนำกรงมาที่นี่ ข้าจะย้ายมันกลับไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ เขากำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ว่ากรงที่อยู่ใต้เท้าของนางเริ่มขยับ นางรู้ว่าถ้านางไม่แก้ตัวตอนนี้ นางอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีกเลย แต่ทันทีที่นางเริ่มอ้าปากขึ้น จู่ๆ ที่ด้านหลังของเขาก็มีหมอกหนาสีดำสนิทปรากฏขึ้น!
‘ระวัง’ นางยังไม่ทันที่จะเอ่ยสองคำนี้ออกมา
ใครบางคนกระโจนออกมาจากทางด้านหลังและเข้าขวางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ นิ้วของคนคนนั้นแทงเข้าที่หน้าท้องของนางจนเลือดทะลัก ใบหน้าเล็กๆ ของนางซีดเผือดในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
คนคนนั้นคือหนีเฟิ่ง...
นางยกใบหน้าเล็กๆ ของตัวเองขึ้น ราวกับว่าสิ่งเดียวที่นางมองเห็นมีแค่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป นัยน์ตาสีเข้มของเขาคมกริบ หมอกสีดำเผยรูปร่างที่แท้จริงออกมาทันที คนจำนวนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นด้วยความทุกข์ทรมาน
ทันใดนั้นกิเลนอัคคีก็กลับสู่ร่างเดิม มันยกขาขึ้นหมายจะใช้กรงเล็บของมันเหยียบชายชุดดำคนนั้นให้ตาย
“จับเขาไว้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่ง ดวงตาของเขาสูญเสียความอบอุ่นไปโดยสมบูรณ์ขณะที่เคลื่อนสายตาของตัวเองกลับไปมองที่หนีเฟิ่งอีกครั้ง
หนีเฟิ่งฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับสบตาเขาอย่างอ่อนแอ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกราวกับเรี่ยวแรงของนางถูกดูดหายไปทันทีที่เห็นภาพนี้ นางมองโซ่ที่เพิ่งคลายออกด้วยสายตาเย้ยหยัน…